วันถัดมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้เตรียมตัวที่จะออกจากเมืองกลับไปยังสำนักของตนเอง
“คนส่วนใหญ่ของสำนักอื่นได้ออกจากเมืองและกลับไปยังที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว แต่นิกายดอกบัวเพลิงและสำนักหงส์สวรรค์กล่าวว่าพวกเขาจักมาเยี่ยมพวกเราเร็วๆนี้” โหลวหลานจีกล่าวกับซูหยางขณะที่พวกเขาเตรียมตัวที่จะออกจากเมือง
“เช่นนั้นพวกเราควรจะกลับไปก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจมาเยี่ยมพวกเรา” ซูหยางกล่าว
เวลาต่อจากนั้นเหล่าศิษย์ก็เข้าไปในรถม้าและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เดินทางออกจากเมืองหิมะโปรย
ระหว่างที่พวกเขาเดินทางกลับนั้นซูหยางก็ได้อธิบายเรื่องของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสถานการณ์ของพวกเขาให้กับชินเหลียงหยูฟัง ซึ่งเธอได้อยู่ภายในรถม้าคันเดียวกับเขา ฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และโหลวหลานจี
เมื่อเขาอธิบายให้เธอฟังว่าพวกเขาเชี่ยวชาญในด้านการฝึกวิชาคู่ ชินเหลียงหยูก็มีท่าทางไม่เชื่อ แม้กระทั่งในความเฟ้อฝันอันกว้างไกลของเธอก็ไม่มีจินตนาการถึงความเป็นไปได้ถึงสำนักที่ส่งเสริมให้ศิษย์ร่วมฝึกฝนวิชาคู่อย่างเปิดเผยจะมีปรากฏอยู่ในโลกนี้
อย่างไรก็ตามทวีปตะวันออกได้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากทวีปใต้ ดังนั้นจึงไม่ถึงกับน่าตกใจจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเองก็ประกอบกามกิจคู่กับซูหยาง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่เช่นนี้เพียงหนึ่งเดียวในทั่วทั้งทวีปตะวันออก พวกเรายังคงเป็นสำนักแรกที่แนะนำสถานที่แบบนี้ให้กับโลก” โหลวหลานจีพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ไม่ว่าอย่างไรข้าเองก็เป็นถึงผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย โหลวหลานจี” เธอแนะนำตัวเองให้กับชินเหลียงหยู
“ผู้นำนิกายรึ… แต่ข้าคิดว่าซูหยางเป็นผู้นำนิกายมิใช่รึ” ชินเหลียงหยูเอียงคอ ในทวีปใต้แต่ละสำนักควรจะมีผู้นำนิกายเพียงคนเดียว หรือว่าสิ่งต่างๆที่ทวีปตะวันออกนี่แตกต่างออกไป
“ปกติแล้วจะมีเพียงเจ้าสำนักเพียงคนเดียวสำหรับแต่ละสำนัก แต่ว่าเนื่องมาจากปกติวิสัยของพวกเรา พวกเราจึงได้ถ่วงสมดุลให้เท่าเทียมกันเพื่อปกป้องศิษย์ของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงมีผู้นำนิกายถึงสองคน หนึ่งชายและหนึ่งหญิง” โหลวหลานจีอธิบาย
ชินเหลียงหยูพยักหน้าด้วยท่าทางเข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว…”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าอายุเท่าไหร่ เจ้าดูเหมือนว่าอายุยังเยาว์มากสำหรับคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ” โหลวหลานจีพลันถามเธอ
“ข้าอายุยี่สิบปี”
“ย-ยี่สิบปี” เหล่าหญิงสาวในรถต่างพากันมองดูเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง
“จ-เจ้าช่วยเธอด้วยรึ ซูหยาง” โหลวหลานจีมองดูเขาซึ่งเพียงแค่ส่ายหน้า
“เป็นไปไม่ได้”
พวกเธอเปลี่ยนเป็นยิ่งตื่นตระหนกเมื่อได้ยินว่าซูหยางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาของเธอ
เหตุผลเดียวที่ซุนจิงจิงและฟางซีหลานเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณก็เพราะว่าซูหยาง การที่เข้าถึงเขตนี้โดยไม่มีเขานั้นเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งที่ไม่อาจจะคาดคะเนได้
“เพราะว่าวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมของพวกเรา พวกเราจึงได้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอยู่เสมอเกือบทุกวัน ดังนั้นพวกเราจึงต้องเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด แน่นอนว่าพวกเราก็ยังคงกินเนื้อวิญญาณจำนวนมากจากสัตว์ร้ายที่พวกเราล่าเช่นกัน”
“ต่อสู้กับสัตว์ร้ายทุกวันรึ นั่นฟังดูเหมือนกับเป็นวิถีชีวิตที่โหดร้าย… นี่หมายความว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของทวีปใต้นั้นแข็งแกร่งกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับทวีปตะวันออกอย่างนั้นรึ” ซุนจิงจิงถาม
“ข-ข้ามิรู้เรื่องราวเหล่านี้… ขอโทษด้วย…” ชินเหลียงหยูส่ายหน้า
จากนั้นซูหยางก็ได้พูดขึ้น “แม้ว่าพลังการฝึกปรือโดยรวมที่นั่นจะสูงกว่าที่แห่งนี้ พวกเขาก็ขาดวิชาการและพื้นฐานการต่อสู้ ผู้ฝึกวิชาทั่วไปในระดับหนึ่งเขตคัมภีร์วิญญาณในที่แห่งนี้บางทีอาจจะสามารถเอาชนะคนที่อยู่ในระดับสี่หรือห้าในเขตเดียวกันของทวีปใต้ได้ ข้ามิอาจพูดถึงผู้ฝึกวิชาที่อยู่กับสำนักได้ ในเมื่อข้ามิได้เห็นพวกเขาระหว่างการเดินทางไปที่นั่น”
“น้องชิน เจ้ามีเจตนาที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือไม่” โหลวหลานจีพลันถามเธอ
“เจ้าย่อมจักพลันได้รับการแต่งตังให้เป็นศิษย์หลักในทันทีอย่างแน่นอน”
“อืออ..”
ชินเหลียงหยูดูงงงันเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำถามของอีกฝ่าย จากนั้นเธอก็หันไปดูซูหยางชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าเสียใจท่านผู้นำนิกาย แต่ข้ามิอาจจะเข้าร่วมกับสำนักของท่านหรือสำนักอื่นในเรื่องนี้ได้”
“ข้าเข้าใจ…” โหลวลานจีดูท่าทางขัดใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ช่างโชคร้ายนัก เจ้าพอจะบอกข้าถึงเหตุผลสำหรับการตัดสินใจของเจ้าได้หรือไม่”
“เพราะว่าข้าได้ให้คำสัญญากับซูหยางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นข้าจึงมิอาจจะผูกมัดตัวเองกับคนอื่นหรือสถานที่อื่นได้…” เธอตอบด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“…”
ทั้งที่นั้นพลันเงียบไป
“ข-ข้าพอจะสอบถามได้หรือไม่ว่า เจ้ามีความสัมพันธ์อะไร และทำไมเจ้าจึงติดตามเขา” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ ถามคำถามที่อยู่ในใจของโหลวหลานจีและฟางซีหลานในขณะนั้นออกมา
“ค-ความสัมพันธ์ของพวกเรา…” ชินเหลียงหยูพลันใบหน้าว่างเปล่า
ตอนนี้เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนั้น แท้จริงแล้วเธอมีความสัมพันธ์อะไรกับซูหยาง แม้ว่าเธอได้ร่วมฝึกฝนวิชาร่วมกับเขาก่อนหน้านั้นเช่นเดียวกับหญิงสาวทั้งสามสิบสองคนในหมู่บ้านหมูป่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะมีความแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างไร
“เธอเป็นคู่ของข้า” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น จนทำให้ทุกคนที่นั่นหันไปมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ข้าได้พรากแก่นหยินบริสุทธิ์ของเธอ และเธอได้ตัดสินใจที่จะติดตามข้า ดังนั้นพวกเราตอนนี้จึงเป็นคู่กัน”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูชินเหลียงหยูและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าจะยังคงมิมีพันธสัญญาอย่างจริงจังระหว่างพวกเราในตอนนี้ ในอนาคตหากว่าเจ้าได้มั่นใจแล้วว่าเจ้ายินดีที่จะอยู่กับข้าไปตลอดชั่วชีวิต ข้าก็จักทำให้มันเป็นเรื่องจริงจัง ดังนั้นจึงมิจำเป็นที่จะต้องรีบตัดสินใจ จนกว่าจะถึงตอนนั้นเรายังคงถือว่าเป็นคู่กัน”
“ซูหยาง…” ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก และเธอก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะเห็นเธอเป็นคู่ของเขาอย่างจริงจัง
ในเวลานั้น โหลวหลานจีและฟางซีหลานจ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อเขาไม่ได้ทำให้พวกเธอเห็นว่าเขาเป็นคนประเภทที่มีความสัมพันธ์ “อย่างจริงจัง” กับคนอื่น
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างซุนจิงจิงกับเขายังคงเป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคน ดังนั้นในสายตาของโหลวหลานจีและฟางซีหลาน ชินเหลียงหยูจึงเป็นคู่ครองที่มีศักยภาพอย่างแท้จริงคนแรกขึ้นมาในทันใด และไม่ใช่เพียงแค่คู่ร่วมฝึกวิชาคู่เหมือนกับพวกเธอทั้งสองคนและเหล่าศิษย์คนอื่นในนิกาย แต่เป็นคู่ครองที่แท้จริง คนที่จะติดตามเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่