บทที่ 789 : ซุปเปอร์สตาร์!
การแต่งกายที่แปลกประหลาดของคนทั้งเก้านั้นดึงดูดสายตาของผู้โดยสารมากมายในสนามบิน ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองพร้อมกับชี้นิ้วไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น และเริ่มซุบซิบกัน
“ดูนั่นสิ..เขากำลังถ่ายหนังกัน!”
“สงสัยจะรีบกันมาก..ถึงกับแต่งตัว ใส่วิกลงมาจากเครื่องเลย!”
“จะมีละครจอมยุทธเรื่องใหม่หรือไงแต่ล่าสุดเรื่องจอมเทพกระบี่ก็เพิ่งถ่ายทำเสร็จไป และเริ่มออนแอร์แล้วด้วย!”
“ไม่น่าจะใช่การถ่ายละคระนะ!ฉันแอบมองมาตั้งนานแล้ว คนพวกนั้นหน้าตาดูไม่เหมือนดาราเลย! แต่วันนี้ก็จะมีดารามาจริงๆด้วยล่ะ เพราะฉันเห็นแฟนคลับมารอรับกันเต็มสนามบินเลย!”
“นั่นสิ..ฉันเองก็เห็นคนถือป้ายไฟมารอกันเต็มอีกเทอร์มินัลหนึ่งเลย”
“จริงเหรอถ้างั้นฉันต้องรีบไปดูบ้างแล้ว!”
แต่ระหว่างที่ผู้คนกำลังซุบซิบกันอยู่นั้นหลิงหยุนกลับกำลังนั่งกลั้นหายใจนิ่ง และจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาทางเขา..
‘ศัตรูของข้างั้นรึ’
‘อีกยี่สิบก้าว..อีกสิบก้าว.. อีกแปดก้าว..’
เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้หลิงหยุนมากขึ้นเรื่อยๆทั้งท่วงท่า และสีหน้าบ่งบอกว่าต้องการหาเรื่องเขาเต็มที่ สายตาเย็นชาของเด็กหนุ่มจ้องมองหลิงหยุนราวกับว่าพรัอมที่จะจู่โจมเขาได้ทุกเมื่อ..
แต่หลิงหยุนยังคงสงบนิ่งริมฝีปากของเขาแย้มยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย และมือยังคงโอบไหล่เกาเฉินเฉินไว้เช่นเดิม พร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่า หากพวกมันไม่ยุ่งกับเขาก่อน เขาก็จะไม่ยุ่งกับพวกมัน แต่ถ้าพวกมันกล้าลงมือกับเขาในที่สาธารณะเช่นนี้ หลิงหยุนก็จะจัดการกับพวกมันเช่นกัน!
แต่จู่ๆเสียงกระแอมก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเด็กหนุ่ม และจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็จับภาพของชายชราคนหนึ่งในกลุ่มกำลังขยับปากไปมาได้ แต่ไม่สามารถอ่านออกว่าชายชราผู้นั้นกำลังพูดอะไร
เด็กหนุ่มชะงักไปทันทีแล้วหันไปขยิบตาให้กับเกาเฉินเฉินที่นั่งอยู่ข้างหลิงหยุนพร้อมกับส่งยิ้มให้แต่ไม่พูดอะไร..
แต่เสียงของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นในหูของหลิงหยุน
–สหาย..ดูเหมือนเจ้าจะไม่ธรรมดาเลยนี่ เจ้าอยู่ในขั้นใหนแล้วรึ-
แต่หลิงหยุนกลับแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรและไม่ใส่ใจกับคำถามของเด็กหนุ่มนั่น
เมื่อเด็กหนุ่มถูกหลิงหยุนเมินใส่และไม่แยแสเช่นนี้เขาก็ถึงกับโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เด็กหนุ่มจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับส่งกระแสจิตบอกด้วยความอาฆาตแค้น
“เจ้าหนู.. อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกครั้งก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าต้องประมือกับเจ้าแน่!”
หลิงหยุนกลับไม่สนใจและแสร้งเมินหน้าหน้าหนี แล้วหันไปมองผู้โดยสารคนอื่นๆที่เดินออกมาแทน
“ฮึ่ม..!”
เด็กหนุ่มเห็นว่าหลิงหยุนยังคงนิ่งเฉยไม่สนใจคำท้าทายของตนเองก็ยิ่งโมโหจนอยากจะกระโจนเข้าใส่หลิงหยุน แต่เพราะถูกห้ามไว้ จึงไม่กล้าขัดขืน และได้แต่ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินกลับไปรวมกับคนอื่นๆอีกแปดคนในกลุ่ม แล้วทั้งหมดก็เดินออกจากสนามบินไปทันที
“หลิงหยุน..เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ฉันเห็นหมอนั่นเหมือนกำลังจะเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา..”
“ไม่มีอะไรหรอก..”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไหล่เกาเฉินเฉินเป็นการปลอบโยน
“หลิงหยุน..เมื่อครู่นายได้ยินคนพูดกันมั๊ย เห็นว่าเดี๋ยวจะมีซุปตาร์มาลงที่สนามบินนี้ด้วยนะ นายอยากจะรอดูบ้างมั๊ยล่ะ?”
เกาเฉินเฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรเมื่อครู่นี้เธอจึงสนใจกับเรื่องดาราดังที่กำลังจะลงเครื่องมามากกว่า
และดาราดังที่กำลังจะลงเครื่องมานั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นซุปเปอร์สตาร์สาวสวยที่กำลังโด่งดังที่สุดในนาทีนี้ และแทบไม่ต้องสาธยายถึงความสวยของเธอ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ขึ้นแท่นซุปเปอร์สตาร์อย่างแน่นอน!
หลิงหยุนรีบปฏิเสธทันที“ซุปเปอร์สตาร์งั้นเหรอ ไม่ล่ะ.. เครื่องของครูกงลงเมื่อไหร่ รับครูแล้วพวกเราก็จะออกจากสนามบินทันที”
เมื่อครู่ระหว่างทางที่มาท่าอากาศยานหนานหยวนนั้นตระกูลเฉินก็ได้สกัดรถของหลิงหยุนไว้ หากตระกูลเฉินส่งคนมาจับตัวเกาเฉินเฉินถึงสนามบิน หลิงหยุนก็คงเลี่ยงที่จะปะทะกับพวกมันไม่ได้ และถึงตอนนั้นก็จะยิ่งเป็นที่จับตามองของผู้คนมากมาย
หลิงหยุนเอาแต่ฝึกฝนวิชาจึงไม่ค่อยได้ดูภาพยนตร์ หรือละครทีวี อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจข่าวบันเทิงอะไรพวกนั้นด้วย ดังนั้นหลิงหยุนจึงไม่รู้จักซุปเปอร์สตาร์ที่เกาเฉินเฉินพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
แล้วก็ไม่ต้องการรู้ด้วย..
เมื่อเกาเฉินเฉินเห็นหลิงหยุนไม่สนใจที่จะอยู่ดูดาราเธอก็ได้แต่แอบผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มให้หลิงหยุน และไม่เซ้าซี้อะไรอีก
“นี่พี่หยุน..เมื่อครู่ฉันเห็นใครไม่รู้แต่งตัวเหมือนตู้กู่โม่เลย พวกเขามากันทั้งหมดเก้าคน แล้วระหว่างที่เดินออกจากสนามบินก็ยังมองมาทางฉันด้วยนะ!”
ถังเมิ่งวิ่งเลิกลั่กมาหาหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนบอกอย่างตื่นเต้นราวกับว่าได้ค้นพบโลกใบใหม่ก็ไม่ปาน..
“นายเห็นมั๊ยว่าคนพวกนั้นโดยสารรถอะไรออกไป”หลิงหยุนเริ่มสนใจกลุ่มคนประหลาดทั้งเก้ามากขึ้น
จู่ๆก็มียอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยากเช่นนี้มาที่ปักกิ่ง แสดงว่าคงต้องมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
แต่ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่โตอย่างที่หลิงหยุนคาดคิดก็ย่อมหมายความว่ามีคนเชิญยอดฝีมือเหล่านี้มาที่ปักกิ่งเพื่อช่วยงานนั่นเอง..
“เห็นสิ..พอคนพวกนั้นเดินออกจากสนามบิน ก็มีรสบัสหรูหรามารอรับเลย”
“แล้วนายจำทะเบียนรถได้มั๊ย”หลิงหยุนถามต่อทันที
“ทะเบียนรถงั้นเหรอ!”
ถังเมิ่งพึมพำออกมาพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดแต่แล้วก็ยกมือขึ้นเกาศรีษะ ถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า
“ดูเหมือนรถนั่นจะไม่มีป้ายทะเบียน..”
“อะไรนะไม่มีป้ายทะเบียนงั้นเหรอ? เป็นไปได้ยังไงกัน?!” หลิงหยุนถึงกับงุนงง
เกาเฉินเฉินที่กำลังฟังอยู่ก็รู้สึกผิดปกติเช่นกันใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พร้อมกับถามถังเมิ่งย้ำอีกครั้ง
“ถังเมิ่ง..นี่นายแน่ใจนะว่ารถคันนั้นไม่มีป้ายทะเบียนจริงๆ!”
ถังเมิ่งเองก็คาดไม่ถึงว่าหลิงหยุนกับเกาเฉินเฉินจะสนใจคนทั้งเก้ามากขนาดนี้เขาจึงตอบกลับไปว่า
“เอาจริงๆฉันก็ไม่ได้สนใจดูป้ายทะเบียนรถเท่าไหร่ เพราะมัวแต่สนใจอยู่กับทรงผมแล้วก็การแต่งตัวของพวกเขามากกว่า..”
“ห๊ะ..ไม่แน่ใจงั้นเหรอ”
เกาเฉินเฉินมองถังเมิ่งด้วยความหงุดหงิดจากนั้นจึงหันไปบอกกับหลิงหยุนว่า “ เป็นไปได้.. ในปักกิ่งรถบางคันก็ไม่ต้องมีป้ายทะเบียนด้วยซ้ำ เพียงแค่อาศัยเครดิตของใครบางคน ก็สามารถวิ่งไปได้ทั่วเมืองแล้ว..”
“อย่างคนพวกนั้นไงล่ะ..ดูเหมือนคนพวกนั้นน่าจะเป็นยอดฝีมือของตระกูลใดตระกูลหนึ่งในหกตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน!”
แม้ตระกูลเกาจะเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่แต่เกาเฉินเฉินก็มั่นใจว่ายอดฝีมือทั้งเก้าคนนี้ไม่ใช่คนของตระกูลเกา เธอจึงเพ่งเล็งไปยังหกตระกูลที่เหลือ..
หลิงหยุนเองก็คิดเช่นนั้นและยิ่งได้ฟังความเห็นของเกาเฉินเฉิน เขาก็ยิ่งมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนของตระกูลใหนเท่านั้นเอง
แต่ก็มั่นใจว่าต้องไม่ใช่คนของตระกูลเกาและตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!
“นี่พี่หยุน..เฉินเฉิน.. เมื่อครู่ฉันเห็นมีเด็กนักเรียนถือป้ายไฟมากันด้วย ไฟลท์นี้มีซุปตาร์ด้วยเหรอ โชคดีจัง.. จะได้ชื่นชมเป็นอาหารตา!”
ถังเมิ่งเปลี่ยนเรื่องและร้องบอกทั้งสองคนด้วยความตื่นเต้น..
“อาหารตางั้นเหรอเชิญนายดูไปคนเดียวเถอะ!” หลิงหยุนจ้องมองแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของถังเมิ่งพร้อมกับพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เกาเฉินเฉินก็ช่วยเสริมต่อว่า“เสียใจด้วย.. ซุปเปอร์สตาร์ที่นายรอดูไม่ได้ลงที่เทอร์มินัลนี้ ถ้านายอยากจะดู ก็เชิญไปคนเดียวเถอะ! แต่ถ้าครูกงมาถึง แล้วพวกฉันหนีไปก่อนก็อย่ามาว่ากันล่ะ!”
เวลานี้รอบกายหลิงหยุนมีสาวงามอยู่มากมายแล้วหลังจากที่ใคร่ครวญอย่างละเอีดรอบครอบ เกาเฉินเฉินก็ไม่อยากให้หลิงหยุนไปดูซุปเปอร์สตาร์สาวสวยเช่นกัน..
เธอไม่ได้กลัวว่าหลิงหยุนจะไปตกหลุมรักซุปเปอร์สตาร์สาวแต่กลับกลัวว่าดาราสาวที่โด่งดังจะเป็นฝ่ายมาตกหลุมรักหลิงหยุนต่างหาก! และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอแน่..
แต่หากเกาเฉินเฉินได้รู้ว่าครูประจำชั้นคนสวยของเธอที่กำลังจะมาถึงนั้นต่อไปในวันข้างหน้าจะกลายมาเป็นผู้หญิงของหลิงหยุนอีกหนึ่งคนแล้วล่ะก็ เธอจะรู้สึกอย่างไรนะ
“แหม..ฉันก็พูดไปแบบนั้นเอง เรื่องของพี่หยุนก็ต้องสำคัญกว่าเรื่องอื่นอยู่แล้ว!”
ถังเมิ่งตอบเกาเฉินเฉินและไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วรีบบอกเรื่องของฉางหลิงแทน
“เฉินเฉิน..ฉางหลิงกำลังจะมาปักกิ่ง ตอนนี้เธออยู่บนเครื่องแล้ว อีกสองชั่วโมงก็คงจะมาถึงสนามบินปักกิ่งแล้วล่ะ…”
เกาเฉินเฉินได้ยินชื่อฉางหลิงก็ตื่นเต้นดีใจจนลืมเรื่องซุปเปอร์สตาร์สาวไปทันที..
“จริงเหรอฉางหลิงกำลังมาที่นี่จริงๆเหรอ?”
ถังเมิ่งพยักหน้า“จริงสิ! ฉางหลิงเพิ่งจะโทรบอกฉัน แล้วเครื่องก็น่าจะถึงสนามบินปักกิ่งประมาณบ่ายโมงตรง..”
เมื่อเกาเฉินเฉินได้ยินว่าเพื่อนสนิทกำลังจะมาปักกิ่งเธอก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมากและรีบกอดแขนหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน..พวกเรารับครูกงเสร็จแล้ว ก็ไปรับฉางหลิงที่สนามบินปักกิ่งนะ แล้วค่อยไปกินข้าวเที่ยงพร้อมหน้าพร้อมตากัน!”
หลิงหยุนเห็นเกาเฉินเฉินมีท่าทีกระตือรือร้นเช่นนี้เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ได้สิ! ทำตามที่คุณบอก!”
ถังเมิ่งทำท่าทางคล้ายจะพูดอะไรสักอย่างกับหลิงหยุนแต่แล้วสนามบินก็ประกาศไฟลท์ที่จะลงต่อไป
และแล้วกงเสียวลู่ก็มาถึง!
สิ้นเสียงประกาศไม่นานนักผู้โดยสารมากมายก็พากันเดินออกมาตามทางออก ถังเมิ่งกับเกาเฉินเฉินได้แต่ยืนเขย่งเพื่อส่องหาร่างของกงเสี่ยวลู่
ส่วนหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องทำอะไรลำบากเช่นนั้นเขาเพียงแค่เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจก่อนหน้านี้ ก็สามารถจับภาพเรือนร่างที่สวยงามของกงเสี่ยวลู่ได้แล้ว
กงเสี่ยวลู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและผูกปลายเสื้อไว้ที่เอว เน้นให้เห็นหน้าอกใหญ่โตในแบบผู้ใหญ่ของเธอให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยิ่งเน้นส่วนบนมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนหน้าอกใหญ่โตนั้นพร้อมที่จะพุ่งออกจากเสื้อได้ทุกเวลา
กงเสี่ยวลู่สวมกระโปรงเหมือนเช่นทุกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช่กระโปรงสีดำอีกแล้ว แต่เป็นสีแดงพร้อมด้วยถุงน่องสีสันสดใส และรองเท้าส้นสูง ผมยาวสยายที่มันวาวราวกับน้ำตกนั้นก็น่ามอง
สีหน้าของกงเสี่ยวลู่ดูเปลี่ยนไปอย่างมากไม่มีความเคร่งเครียดเหมือนเช่นเคยอีก คิ้วก็ไม่ขมวดเข้าหากันเหมือนทุกครั้ง ทำให้ความสวย และรูปร่างที่สง่างามนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนได้มาก
และทันทีที่เดินออกมาสายตาของกงเสี่ยวลู่ก็กวาดหาคนที่ตนเองต้องการพบมากที่สุด..
และคนคนนั้นก็คือหลิงหยุน!
กงเสี่ยวลู่มองเห็นหลิงหยุนแล้วใบหน้าของเธอก็แดงและร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้..
หลังจากที่จบการศึกษาไปแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย
นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนกลับเข้าไปเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์กงเสี่ยวลู่ก็ได้เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อหลิงหยุนไว้ภายในใจ และไม่ยอมแสดงออกมา เธอกลับไปเป็นคุณครูประจำชั้นที่เข้มงวดเช่นเดิม
ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆและตลอดเวลาครึ่งเดือนก่อนสอบเอนทรานซ์นั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้เปลี่ยนเป็นมิตรภาพระหว่างครูกับลูกศิษย์เท่านั้น
แม้กระทั่งสอบเอนทรานซ์เสร็จแล้วกงเสี่ยวลู่ก็ยังคงรักษาระยะห่างไว้เช่นเดิม อีกทั้งหลิงหยุนเองก็เอาแต่ฝึกฝนจนทำให้ความรู้สึกหว่างคนทั้งสองกลับกลายเป็นห่างเหินยิ่งขึ้นกว่าเดิม..
บทที่ 790 : ผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งในสายศิลป์!
เวลานี้ทั้งกงเสี่ยวลู่และหลิงหยุนต่างก็รู้สึกห่างเหินกันมากกว่าเดิม และมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น อีกทั้งเรื่องแบบนี้ใช่ว่าเพียงคำพูดไม่กี่คำก็จะสามารถสลายกำแพงเหล่านี้ลงได้..
ปัจจัยหนึ่งคือเรื่องความแตกต่างของอายุและปัจจัยที่สองคือเรื่องสถานภาพของคนทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นครู ส่วนอีกคนเป็นลูกศิษย์ และนั่นคือเหตุผลหลักที่กงเสี่ยวลู่ต้องทำสีหน้าเคร่งขรึม และทำตัวห่างเหินกับหลิงหยุน
ส่วนปัจจัยสุดท้ายก็คือเรื่องอาการป่วยด้านจิตใจของเกงเสี่ยวลู่นั่นเองถึงแม้ว่าจะดีขึ้นมาก แต่ภายในจิตใจของเธอก็ยังคงมีเงาดำปกคลุมอยู่
ก่อนสอบเอนทรานซ์สองอาทิตย์ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ต่างก็เป็นไปด้วยดี และด้วยความใกล้ชิดกัน ทำให้หลิงหยุนมีโอกาสได้รักษาสภาพจิตใจของกงเสี่ยวลู่จนดีขึ้นมาก แต่กลับเป็นเธอเองที่ไม่ยอมให้หลิงหยุนรักษาต่อ
นับตั้งแต่นั้นมาหลิงหยุนก็ไม่ได้คะยั้นคะยอที่จะทำการรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตใจให้กงเสี่ยวลู่อีก เพราะในช่วงเวลานั้นหลิงหยุนเองก็ค่อนข้างยุ่งมากทั้งเรื่องการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ และการฝึกฝน ทำให้เงามืดในใจกงเสี่ยวลู่เริ่มกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
และในเมื่อความเจ็บป่วยเริ่มกลับมาอีกครั้งอีกทั้งยังต้องเก็บงำความรักที่เกิดขึ้นในใจไว้อีก การทำเช่นนี้จึงไม่ต่างจากภูเขาไฟที่รอการระเบิด.. ไม่วันใดก็วันหนึ่ง!
เวลานี้กงเสี่ยวลู่อายุยี่สิบแปดปีแล้วไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพ หรือทางด้านจิตใจ ก็ย่อมต้องการชายสักคนมาคอยปลอบโยน และชายคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้.. นอกจากหลิงหยุน!
ช่วงเวลาก่อนสอบเอนทรานซ์นั้นมีหลายเรื่องเกิดขึ้นกับกงเสี่ยวลู่ และเธอก็ได้ตกหลุมรักหลิงหยุน ภายในจิตใจของเธอนั้นมีคลื่นอารมณ์มากมายที่พลุ่งพล่านอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน..
แต่หลิงหยุนนั้นกลับแตกต่างกัน..เขายังคงสงบนิ่งได้อย่างเป็นปกติ!
สภาพจิตใจของผู้ที่บ่มเพาะพลังอย่างหลิงหยุนนั้นตั้งแต่เริ่มต้นจนมาถึงตอนนี้ จิตใจของเขายังคงสงบนิ่ง มั่นคง และไม่หวั่นไหว!
เหล่าสาวงามดั่งเทพธิดาที่อยู่รอบกายหลิงหยุนนั้นแม้กระทั่งหลินเมิ่งหาน และเหยาลู่ซึ่งนับว่าเป็นภรรยาของหลิงหยุน ทุกคนล้วนไม่ใช่คนโง่.. พวกเธอจึงไม่กล้าแม้แต่จะถามหลิงหยุนด้วยคำถามว่า ‘คุณรักฉันมั๊ย’
และยังไม่มีใครกล้าพอที่จะถามคำถามนี้กับหลิงหยุนสักคนเดียว..เพราะแม้แต่เด็กสาวตัวแสบอย่างเสี่ยวเม่ยหนิง และสาวใจกล้าอย่างหลงหวู่เองก็ยังไม่กล้า!
เพราะทุกคนต่างก็กลัวคำตอบที่จะได้รับและมีแนวโน้มว่าจะเป็นคำตอบที่พวกเธอต่างก็ไม่อยากได้ยิน!
ชอบก็เรื่องหนึ่งรักก็เรื่องหนึ่ง สองเรื่องนี้ล้วนแตกต่างกัน!
จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีสักครั้งที่หลิงหยุนจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดคำว่า ‘รัก’ กับสาวงามคนใหนเลยแม้แต่คนเดียว อย่างมากเขาก็จะพูดคำว่า ‘ชอบ’ เท่านั้น
การจะได้ใกล้ชิดกับหลิงหยุนนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่การจะได้รับความรักจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน!
หลายคนอาจนึกแปลกใจว่าการที่หลิงหยุนทำอะไรมากมายเพื่อเฉิงเม่ยเฟิง เพื่อเกาเฉินเฉิน ยอมสังหารคนตระกูลซัน และคนตระกูลเฉินไปตั้งมากมาย เช่นนี้ไม่เรียกว่ารักอย่างนั้นหรือ
นอกเหนือที่จะไม่พูดคำว่ารักแล้ว..หลิงหยุนยังไม่เคยยอมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองด้วย!
หลิงหยุนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะและมุ่งมั่นที่จะเดินบนเส้นทางนี้ เส้นทางที่จะนำเขาไปสู่การมีชีวิตนิรันดร..
เป้าหมายเป็นตัวกำหนดความมุ่งมั่นของจิตใจและพฤติกรรมของคนผู้คน และเป้าหมายของนักบ่มเพาะอย่างหลิงหยุนนั้นก็ย่อมเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป!
หลิงหยุนจึงตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงและไม่ปล่อยให้จิตใจของตนเองถลำไปรักหญิงสาวคนใหนจนไม่อาจถอนใจได้..
หรืออาจเป็นไปได้ว่าหญิงสาวที่จะมีอำนาจสั่นคลอนจิตใจของหลิงหยุนได้นั้นจะยังไม่ปรากฏตัวก็เป็นได้!
แม้ว่า‘ชอบ’ กับ ‘รัก’ จะไม่เหมือนกัน แต่ ‘ความใคร่’ กับ ‘ความรัก’ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันเช่นกัน!
และด้วยเหตุผลนี้ทำให้หลิงหยุนสามารถตัดสินใจทิ้งทุกอย่างในจิงฉูเพื่อมาปักกิ่งได้อย่างไม่ลังเล..
และด้วยเหตุผลนี้เช่นกันหลิงหยุนจึงสามารถออกเดินทางมาปักกิ่งพร้อมกับเกาเทียนหลงได้ทันที โดยไม่คิดที่แม้แต่จะร่ำลาเหล่าสาวงามของเขาเลยแม้แต่คนเดียว
ด้วยนิสัยเช่นนี้ของหลิงหยุนทำให้เขาเป็นคนที่ไม่เคยต้องพะวักพะวันในการที่จะลงมือทำอะไรแม้แต่ครั้งเดียว !
แม้แต่โทรศัพท์มือถือหลิงหยุนก็ยังโยนทิ้งไว้ในแหวนพื้นที่แทบจะตลอดเวลา และไม่เคยที่นายน้อยหนุ่มผู้นี้จะคิดโทรหาหญิงสาวของตนเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้บรรดาสาวงามของหลิงหยุนต่างก็รู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า และรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถยึดเหนี่ยวหัวใจของหลิงหยุนไว้ได้!
ดังนั้น..จึงมีเหตุผลมากมายที่ทำให้กงเสี่ยวลู่ต้องทำตัวห่างเหินหลิงหยุน แต่หลิงหยุนกลับไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก เพราะในสมองของเขามีแต่เรื่องการฝึกฝน และการต่อสู้เท่านั้น..
ในจิตใจของหลิงหยุนนั้นเขาสนใจเพียงแค่เรื่องของความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น!
และไม่ว่าหลิงหยุนจะตัดสินใจทำอะไรทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่มาจากเหตุผลของความต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่าย หรือแม้กระทั่งยอมให้ถังเมิ่งเป็นผู้บริหารจัดการเงินของเขา
ทุกอย่างที่หลิงหยุนทำก็เพื่อให้ตนเองได้มีเวลามีเงินทุนสำหรับหาซื้อทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝนของตนนั่นเอง..
หลิงหยุนนั้นเข้าใจลึกซึ้งดีกว่าใครว่ามีเพียงการสร้างตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้คนที่เขารัก และเพื่อนรอบตัวสามารถแข็งแกร่งตามเขาได้!
เมื่อกงเสี่ยวลู่เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายหลิงหยุนก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตระหนกตกใจ..
“เกาเฉินเฉิน!”
“ครูกง!”
เกาเฉินเฉินนั้นนับว่าตาดีมาก..เพราะเธอสามารถมองเห็นร่างของครูประจำชั้นมาแต่ไกล จึงรีบยกมือขึ้นโบกทักทายพร้อมกับร้องตะโกนเรียกทันที
กงเสี่ยวลู่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับลูกศิษย์ของตนเองพร้อมกันทีเดียวถึงสองคนเธอจึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก และรีบวิ่งฝ่าฝูงชนไปหาคนทั้งคู่ทันที
หลิงหยุนและถังเมิ่งต่างเองก็ร้องทักทายกงเสี่ยวลู่เช่นกัน
“ครูกง..ทางนี้ครับ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับวิ่งตรงไปหากงเสี่ยวลลู่และรีบขยิบตาข้างซ้ายให้กงเสี่ยวลู่อย่างเจ้าเล่ห์
แต่ถึงกระนั้นกงเสี่ยวลู่ก็ไม่ว่างที่จะทักทายหลิงหยุนได้ในเวลานั้นเพราะเธอกำลังกอดเกาเฉินเฉินไว้แน่นพร้อมกับร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เฉินเฉิน..ในที่สุดครูก็ได้พบหน้าเธออีกครั้ง! สองสามเดือนที่ผ่านมาครูพยายามติดต่อเธอ แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย ครูเป็นห่วงเธอมากรู้มั๊ย”
เกาเฉินเฉินตอบพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย“ครูกงคะ.. หนูก็คิดถึงครูเหมือนกันค่ะ!”
กงเสี่ยวลู่ลูบไล้แผ่นหลังของเกาเฉินเฉินอย่างอ่อนโยนสองสามครั้งจากนั้นจึงยืดตัวตรงพร้อมกับสำรวจทั่วตัวเกาเฉินเฉิน แล้วจึงร้องถามขึ้นว่า
“เฉินเฉิน..เธอผอมลงไปมากเลยใช่มั๊ย!”
เกาเฉินเฉินน้ำตาไหลพรากพร้อมตอบกลับไปว่า“ครูกงคะ.. เรื่องมันค่อนข้างยาว.. พอดีเกิดเรื่องขึ้นที่บ้านน่ะค่ะ ก็เลย..”
กงเสี่ยวลู่ถึงกับตกอกตกใจอย่างมากและได้แต่แอบคิดว่าสิ่งที่เธอคาดเดานั้นเป็นความจริง ‘เกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวของเกาเฉินเฉินจริงๆด้วย!’
กงเสี่ยวลู่นั้นพอจะรู้ภูมิหลังของเกาเฉินเฉินดีและการที่เกาเฉินเฉินหายเงียบไปถึงสามเดือนเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าตระกูลเกากำลังเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
“ครูกงครับ..สนามบินเสียงดังหนวกหู พวกเรารีบไปที่รถกันดีกว่า..”
ถังเมิ่งเห็นว่าในเมื่อครูกงก็มาถึงแล้วจึงไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่สนามบินนานนัก จึงชักชวนให้รีบไปขึ้นรถ..
“อืมม..ก็ดีเหมือนกัน!”
กงเสี่ยวลู่ตอบพร้อมกับเหลือบมองหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วงจากนั้นจึงเดินจับมือเกาเฉินเฉินออกไปด้านนอก
ทั้งสี่คนเดินออกจากสนามบินไปที่ลานจอดรถและครั้งนี้หลิงหยุนก็เลือกที่จะไปนั่งข้างคนขับกับถังเมิ่ง และให้เกาเฉินเฉินกับกงเสี่ยวลู่นั่งที่เบาะหลังด้วยกัน
จากนั้นรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนก็ขับออกจากท่าอากาศยานหนานหยวนไป..
ก่อนที่จะออกไปถังเมิ่งยังไม่วายที่จะพูดออกมาอย่างนึกเสียดาย “น่าเสียดาย.. เครื่องของซุปเปอร์สตาร์กำลังจะลง แต่ก็ไม่รู้ว่ากี่โมง..”
ถังเมิ่งยังคงครุ่นคิดเรื่องที่จะได้เห็นดาราระดับซุปเปอร์สตาร์..
“ครูกงคะ..ครูสบายดีมั๊ยคะ แล้วผลสอบเอนทรานซ์ของเพื่อนๆเป็นยังไงกันบ้าง?” เกาเฉินเฉินเป็นฝ่ายชวนครูกงพูดคุย
กงเสี่ยวลู่ตอบพร้อมกับยิ้มให้“ครูสบายดีจ้ะ.. ส่วนผลสอบเอนทรานซ์ของเพื่อนๆในห้องก็ค่อนข้างดี เพียงแต่..”
เพียงแต่ว่าหลิงหยุนได้ไข่มาใบเบ้อเร่อเพียงคนเดียวเท่านั้นเองและนั่นทำให้กงเสี่ยวลู่ค่อนข้างกังวลใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นความกระวนกระวายใจในแววตาของกงเสี่ยวลู่เกาเฉินเฉินก็เข้าใจในสิ่งที่กงเสี่ยวลู่ต้องการจะพูดได้ดี เธอจึงยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ครูกงคะ..ครูไม่ต้องเป็นห่วง หรือกังวลใจเรื่องผลสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนเลย เรื่องนี้พวกเราคงจะสืบหาความจริงได้ในไม่ช้านี้..”
“เฮ้อ..อย่าไปเสียเวลาสืบหาเลย มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเธอคิดหรอก! ครูสอนหนังสือมาตั้งหลายปี ก็ไม่เคยได้ยินว่าหลังจากประกาศผลการสอบเอนทรานซ์ไปแล้ว จะสามารถเปลี่ยนแปลงทีหลังได้..”
สีหน้าของกงเสี่ยวลู่ดูสิ้นหวังและเศร้าสร้อย เพราะนี่เป็นเรื่องที่เธอกังวลใจมากที่สุด!
หลิงหยุนจึงพูดขึ้นมาว่า“ครูกงครับ.. ครูสบายใจได้! ตราบใดที่ผมสืบรู้ความจริงจนหมด ผลการสอบเอนทรานซ์จะต้องเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน..”
น้ำเสียงของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความมั่นใจเพราะเพียงแค่ตระกูลฉินตระกูลเดียว ยังไม่นับตระกูลหลิงกับตระกูลเกา ก็สามารถทำการแก้ไขเปลี่ยนผลสอบของหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน..
หลังจากที่พูดกับกงเสี่ยวลู่ไปแล้วหลิงหยุนก็หันไปทางถังเมิ่งพร้อมกับถามขึ้นว่า “แล้วเรื่องคนที่ได้คะแนนสูงสุดของสายศิลป์ล่ะ.. นายไปเช็คให้ฉันรึยัง”
เพราะจากการคาดเดาของหลิงหยุนนั้นผู้ที่จะได้คะแนนสูงสุดนั้นก็มีเพียงเขากับฉีเสี่ยวชิงเท่านั้น และจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้!
ถังเมิ่งกำลังจะอ้าปากพูดแต่กงเสี่ยวลู่ที่นั่งฟังอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “คนที่สอบได้คะแนนสูงสุดในสายศิลป์เป็นนักเรียนจากโรงรียนจิงฉูจิ่วที่ชื่อหลี่เทียน ขาดไปแค่คะแนนเดียวก็จะได้เต็มแล้ว และเป็นคะแนนสูงสุดในมณฑลเจียนหนานด้วย!”
“อะไรนะ!หลี่เทียน!”
หลิงหยุนกับถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาพร้อมกันจากนั้นทั้งคู่ก็หันไปมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองคนมองตากันด้วยความตื่นตกใจ แต่ก็เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี..
กงเสี่ยวลู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงหยุนกับถังเมิ่งจึงต้องมีสีหน้าท่าทางเช่นนั้นเธอขมวดคิ้วพร้อมกับพูดอย่างประหลาดใจเช่นกัน..
“ครูเองก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกันจากข้อมูลที่มี คนที่มีความสามารถและมีศักยภาพมากที่สุด และน่าจะได้คะแนนสอบสูงสุดในเจียงหนาน น่าจะเป็นนักเรียนหญิงที่ชื่อฉีเสี่ยวชิงมากกว่า.. ไม่น่าจะเป็นหลี่เทียน..”
ผลจากการจำลองการสอบเอนทรานซ์ทั้งสามครั้งนั้นก็ปรากฏออกมาทุกครั้งว่าผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในสายศิลป์ก็คือฉีเสี่ยวชิงจากโรงเรียนจิงฉูจิ่ว ส่วนสายวิทย์ก็คือหนิงหลิงยู่จากโรงเรียนมัธยมจิงฉู..
“ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า..”
จู่ๆหลิงหยุนกับถังเมิ่งก็หัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกัน!
และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีการสลับเอาข้อสอบของหลิงหยุนไปให้หลี่เทียนแทน!