บทที่ 787 : ใครยิง.. คนนั้นตาย!
กล้าพูดว่าเกาเฉินเฉินอวดต้นขาแล้วยังกล้ากักรถของหลิงหยุนอีกด้วย..
ความผิดแค่นี้ก็เพียงพอให้ชายร่างใหญ่ทั้งสองคนต้องถูกตบหน้าจนไม่สามารถกินอะไรได้ไปหลายวันเลยทีเดียวและพวกมันก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งตัวด้วยซ้ำไป..
หลิงหยุนมักสร้างเสียงฮือฮาเช่นนี้ได้เสมอเพียงแค่เขาก้าวเท้าลงจากรถ ก็สามารถตบหน้าพวกมันไปได้ถึงสี่ฉาด นอกจากถังเมิ่งและเกาเฉินเฉินที่นั่งอยู่ในรถแล้ว ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบก็ถึงกับมองตาค้าง!
ร่างสง่างามของหลิงหยุนยืนยิ้มเหยียดอย่างไร้ความเกรงกลัวและไม่สนใจกับสิ่งรอบตัว ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างใหญ่สองร่างที่ยังคงยืนนิ่ง..
“อ๊าก!”
“โอ๊ย!”
สิ้นเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชของชายร่างใหญ่ทั้งสองคนพวกมันก็ได้แต่คิดว่าผ่านมาครึ่งวัน.. ในที่สุดพวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเข้าเสียแล้ว!
พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลเฉินและการที่พวกมันต้องมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อทำหน้าที่คอยจัดการกับผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจค้น แต่เมื่อพบคนจริงอย่างหลิงหยุนเข้า พวกมันก็แทบไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกเลย..
“เอาไงดีล่ะ..”
“เจ้าหนู..นี่แกกล้าทำร้ายคนเชียวรึ!” หนึ่งในสองชายร่างใหญ่ร้องตะโกนออกมาพร้อมกับชี้หน้าหลิงหยุน
ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงกลุ่มคนชั้นล่างกลุ่มเล็กๆเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่าคฤหาสน์ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปักกิ่งหลังนี้เป็นคฤหาสน์ของตระกูลเฉิน อีกทั้งที่นี่ก็ยังเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเฉิน มีหรือที่ใครจะกล้าเข้ามาสร้างความวุ่นวายได้!
แต่ยังไม่ทันที่ชายร่างใหญ่จะพูดจบดีเสียงเพียะ.. เพียะ.. เพียะ.. เพียะ.. ทั้งสีครั้งก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ จากนั้นหลิงหยุนก็ยกขาขึ้นเตะชายร่างใหญ่ซ้ำอีกครั้ง!
เกาเฉินเฉินที่นั่งอยู่บนรถถึงกับแอบคิดอยู่ในใจว่าตราบใดที่เป็นคนตระกูลเฉิน หลิงหยุนไม่เคยคิดที่จะปราณีเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังผู้คน!
สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเย็นชาและหันไปทางชายร่างใหญ่พร้อมกับพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ฉันจะถามอีกครั้ง..จะปล่อยให้รถของฉันผ่านไปได้หรือยัง ถ้ายัง.. ฉันจะจัดการให้พวกแกไปนอนกลิ้งกับพื้นแทน!”
“เอ่อ..”ชายร่างใหญ่ถึงกับตกตะลึง และได้แต่อ้ำอึ้ง เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน!
นับว่ามันเองก็คาดเดาได้ถูกต้องเพราะคนธรรมดาคงจะไม่สามารถมองออกว่าพวกมันอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-7 แล้ว!
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น..เสียงคลิ๊ก.. คลิ๊ก.. ก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณเช่นกัน และมันก็คือเสียงสับไกปืนของเหล่าตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ เวลานี้ตำรวจทุกนายต่างก็เล็งปืนมาทางหลิงหยุน!
-ถังเมิ่ง..นายอยู่บนรถ ไม่ต้องลงมา!-
หลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกถังเมิ่งแล้วจึงเดินเข้าไปหาตำรวจที่กำลังตรวจสอบเอกสารของถังเมิ่งอยู่
“เอกสารนั่นมีปัญหาอะไรงั้นรึคุณตำรวจ!”หลิงหยุนเข้าไปใกล้พร้อมกับร้องตะโกนถามเสียงดัง
“เอ่อ..ไม่.. ไม่มีปัญหาอะไร!” ตำรวจจราจรลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบหลิงหยุนไปตามความจริง
“ถ้าไม่มีอะไรก็คืนเอกสารนั่นมาแล้วปล่อยพวกเราไปได้แล้ว!” หลิงหยุนไม่เสียเวลาพล่ามไร้สาระอีก เขาสั่งตำรวจให้คือเอกสาร และปล่อยพวกเขาไปทันที
“เอ่อ..”ตำรวจจราจรถึงกับอึ้งไป..
ปกติแล้วพวกเขารับคำสั่งโดยตรงจากผู้บังคับบัญชาของตนเองเท่านั้นและครั้งนี้พวกเขาก็ได้รับคำสั่งให้มาทำหน้าที่ตรวจรถราที่ผ่านไปผ่านมาหน้าคฤหาสน์ตระกูลเฉิน แต่เวลานี้ตระกูลเฉินกลับส่งคนของตนเองมากำกับดูแล และสร้างความวุ่นวายจนทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้เจ้าของรถในที่เกิดเหตุก็ยังเร่งเร้าให้เขารีบปล่อยรถ ตำรวจเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจมองหลิงหยุนทีและหันไปมองชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างตนเองที ในใจก็ได้แต่คิดว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่โชคร้ายมากจริงๆ
“ปล่อยมันไปไม่ได้นะ!”
ชายร่างใหญ่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะร้องบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน
“เจ้าหนู..ฉันขอเตือนแกไว้ก่อน ตำรวจที่อยู่ที่นี่เป็นตำรวจจริง แล้วปืนในมือของพวกเขาก็เป็นของจริง ถ้าแกกล้าขัดขืนล่ะก็.. รับรองว่าตำรวจยิ่งแกจริงๆแน่!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ถามกลับไปอย่างไม่แยแส“ยิงข้านี่นะ”
จนถึงเวลานี้หลิงหยุนก็ยังไม่เห็นตำรวจเจ็ดแปดนายอยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว..
“แน่จริงก็ยิงเลยสิ!ฉันเองก็ไม่เชื่อว่าตำรวจจะกล้ายิง..”
“ถ้าไม่เชื่อ..พวกแกก็ลองสั่งให้ตำรวจยิงฉันดูสิ!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับคิดในใจว่าหากตำรวจคนใหนกล้ายิงปืนใส่เขาแล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่ามันจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาดูตะวันอีกครั้งแน่!
หลิงหยุนหันไปมองตำรวจจราจรอีกครั้งดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งขณะที่ร้องบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ผมให้เวลาพวกคุณอีกแค่ครึ่งนาทีถ้ายังไม่ปล่อยให้รถของพวกเราผ่านไปแล้วล่ะก็ อย่าหาว่าผมโหดร้ายก็แล้วกัน!”
อีกไม่นานเครื่องของกงเสี่ยวลู่ก็จะลงจอดแล้วหลิงหยุนจึงไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่นานมากไปกว่านี้
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ถูกหลิงหยุนจัดการจนลงไปนอนดิ้นขลุกขลักอยู่ที่พื้นกำลังพยายามที่จะดึงโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคน
หลิงหยุนเพียงแค่แสยะยิ้มพร้อมกับเคลื่อนลมปราณส่งผ่านนิ้วชี้ไปที่กลางหลังของชายร่างใหญ่ทันที!
และครั้งนี้ก็รุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้านี้มากมือขวาของมันถึงกับสั่นเทิ้มจนต้องปล่อยโทรศัพท์ตกลงกระแทกกับพื้นทันที
ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างก็พากันตกตะลึงและแววตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความหวาดผวา คนขับรถคันอื่นที่พากันลงมามุงดูนั้น ก็ถึงกับถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“ยังไม่ลุกขึ้นอีกงั้นรึไม่อายผู้คนหรือยังไงกัน?”
หลิงหยุนร้องบอกและเมื่อสังเกตเห็นแววตาหวาดผวาของตำรวจจราจร เขาก็จงใจใช้มังกรพรางร่างที่รวดเร็วเคลื่อนที่กลับไปที่รถดังเดิม แล้วจึงร้องบอกตำรวจว่า..
“ผมขอเตือนไว้ก่อน..ถ้าใครกล้ายิง ผมไม่รับรองความปลอดภัยของชีวิต!”
หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง แล้วร้องสั่งถังเมิ่งว่า
“ไปกันได้แล้ว!”
“พี่หยุน..นี่พี่ปราณีแล้วใช่มั๊ย”
ถังเมิ่งพูดยิ้มๆ พร้อมกับหันไปชายร่างใหญ่หน้าโง่เหล่านั้น แล้วรีบขับรถแลนด์โรเวอร์ออกไปทันที
ตอนที่อยู่จิงฉูถังเมิ่งเคยพบเห็นเรื่องแบบนี้ของหลิงหยุนมามากแล้วและรู้ว่าทุกครั้งที่หลิงหยุนลงมือ คนที่ได้พบเห็นก็จะต้องตกตะลึงแบบนี้
ทั้งตำรวจที่มีอาวุธครบมือและคนของตระกูลเฉิน ต่างก็ทำได้เพียงแค่จ้องมองรถของหลิงหยุนที่กำลังแล่นออกไปด้วยความตกตะลึง
“ใครกันน่ะ!ช่างกล้าจริงๆ!”
“หมอนั่นแน่มาก!แต่ดูจากทะเบียนรถแล้วไม่ใช่รถที่ปักกิ่ง แต่กลับกล้ามาสร้างความปั่นป่วนที่นี่!”
ชายร่างใหญ่ยืนกุมใบหน้าที่บวมเปล่งของตนเองอย่างไม่สนใจเลือดที่กำลังไหลกลบปากเขาจ้องมองรถของหลิงหยุนที่เคลื่อนออกไปพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออก
“เจ้านาย..พบปัญหาแล้ว! มีรถคันหนึ่งข้างในมีเด็กสาวอยู่หนึ่งคน และเด็กหนุ่มอีกสองคน ตอนนี้พวกเราถูกหนึ่งในเด็กหนุ่มทำร้ายเพราะมันไม่ยอมให้ตรวจค้นรถ แล้วก็ไม่รู้ว่ากำลังภายในของมันอยู่ขั้นใหน แม้แต่เราสองคนก็ยังไม่สามารถรับมือกับมันได้เลย!”
“รถคันนั้นกำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันออกและเลขทะเบียนรถของมันก็คือ..”
………
ในเวลานั้นรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนก็เลี้ยวออกไปทางด้านซ้ายและขับไปได้ไกลราวหนึ่งกิโลเมตรแล้ว
“พี่หยุน..ที่นั่นอาจมีกล้องวงจรปิด แล้วก็อาจบันทึกภาพไว้หมดแล้ว..” ถังเมิ่งขับรถไปด้วยความเร็วสูง แต่ก็ไม่ลืมที่จะร้องเตือนหลิงหยุน
และแน่นอนว่ากล้องวงจรปิดนั้นก็ได้บันทึกภาพการเคลื่อนไหว และทะเบียนรถของหลิงหยุนไว้ได้หมด..
“อืมม..ฉันรู้!”
หลิงหยุนโอบไหล่เกาเฉินเฉินพร้อมตอบกลับไปด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเคยแต่ในใจกลับคิดว่าต่อไปเขาคงจะไม่สามารถขับรถคันนี้ไปใหนมาใหนในตอนกลางวันได้อีกแล้ว เพราะคงจะต้องถูกจับตามองอย่างแน่อน
ยุคสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวหน้ามากไม่ว่าที่ใหนก็มีกล้องวงจรปิดอยู่เต็มไปหมด หากมีคนต้องการติดตามตัวเขา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว
เวลานี้หลิงหยุนเองก็ยังไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ระบบเทคโนโลยีชั้นสูงเหล่านี้อย่างจริงจังจึงไม่มีความรู้ที่จะป้องกันการตรวจจับจากเครื่องมือเหล่านี้
วิธีเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้คือจัดการใช้เข็มซัดทำลายกล้องพวกนั้นทิ้งเสีย แต่วิธีนี้ก็ไม่เหมาะที่จะทำในเวลากลางวันแสกๆเช่นนี้ เพราะนั่นจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย
แต่ก่อนที่จะเดินทางมาปักกิ่งนั้นฉินตงเฉี่วยก็ได้เคยบอกกับหลิงหยุนว่า เมื่อมาถึงปักกิ่งให้เขาไปพบกับฉินเหว่ย..
ฉิยเหว่ยเป็นคนของกลุ่มเทพอินทรีย์เขาเป็นคนที่เก่งในเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่มาก หากหลิงหยุนได้รับคำแนะนำจากฉินเหว่ย หลิงหยุนก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ง่ายขึ้น
แต่หลิงหยุนเองก็มีวิธีอื่นอย่างเช่นการปลอมตัวเพียงแต่เขาขี้เกียจที่จะทำเท่านั้นเอง และสำหรับหมออมตะที่เก่งกาจอย่างหลิงหยุน ก็เป็นไม่ใช่เรื่องยากที่จะปรุงยา หรือใช้การเดินลมปราณ เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงร่างของตนเองในการปลอมตัว
ไม่ถึงสิบนาที..รถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนก็เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายจราจร และขับตรงไปทางทิศเหนือมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานหนานหยวน..
เกาเฉินเฉินนั่งมองหลิงหยุนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ที่นี่ไม่ใช่จิงฉู! ที่นี่คือปักกิ่ง.. นายคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้งั้นเหรอ”
“ฉันคิดว่าที่ตระกูลเฉินทำแบบนั้นไม่ใช่เพราะต้องการค้นหาตัวฉัน แต่พวกมันทำเพื่อป้องกันตัวเองมากกว่า..”
หลังจากที่ได้ฟังเกาเฉินเฉินวิเคราะห์หลิงหยุนก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ก็เพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ
ตระกูลเฉินคงไม่นั่งนิ่งโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างแน่นอน..ในเมื่อเวลานี้ตระกูลเฉินถูกหลิงหยุนทำลายไปกว่าครึ่งแล้ว จึงยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดขับรถไปถึงท่าอากาศยานหนานหยวนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นรถไปถึงสนามบินก่อนเครื่องลงสามนาที หลิงหยุนและเกาเฉินเฉินลงจากรถเดินเข้าสนามบินไปก่อน ส่วนถังเมิ่งขับวนไปหาที่จอดรถ
ท่าอากาศยานหนานหยวนวันนี้มีผู้คนเนืองแน่นเบียดเสียดกันไปหมด และทันทีที่เดินเข้าประตูสนามบิน หลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทันที!
บทที่ 788 : คนประหลาดทั้งเก้า!
“น่าแปลก..บ้านครูกงอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของปักกิ่ง สนามบินนานาชาติปักกิ่งอยู่ใกล้กับบ้านครูกงมากกว่าอีก.. แต่ฉันไม่เคยเห็นครูกงขึ้นเครื่องไปลงที่สนามบินปักกิ่งเลย แต่กลับมาลงที่สนามบินหนานหยวนแทน..”
“แล้วเครื่องจากจิงฉูมาปักกิ่งมีวันหนึ่งเป็นสิบเที่ยวแต่มีเพียงสองเที่ยวที่มาลงสนามบินหนานหยวน..”
เมื่อมาถึงสนามบินเกาเฉินเฉินก็เดินกอดแขนหลิงหยุนไปอย่างสนิทสนม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาด้วยความงุนงงสงสัย
ท่าอากาศยานหนานหยวนนั้นตั้งอยู่ในเขตเฟิงไถเมืองปักกิ่งและเป็นสนามบินแห่งแรกของประเทศจีน มันเคยเป็นสนามบินที่ใช้ในการทหารมาก่อน และเวลานี้ก็เปิดบริการเฉพาะสายการบินภายในประเทศ แล้วก็ให้เฉพาะสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติลงจอดเท่านั้น
ท่าอากาศยานหนานหยวนอยู่ห่างจากทิศใต้ของถนนวงแหวนที่ห้าเพียงสามกิโลเมตรเท่านั้นและอยู่ห่างจากย่านการค้าชื่อดังของปักกิ่งไปราวสิบสามกิโลเมตร
แม้ว่าเกาเฉินเฉินจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจิงฉูเป็นส่วนใหญ่แต่เธอก็คุ้นเคยกับเส้นทางในปักกิ่งเป็นอย่างดี เพราะต้องกลับมาเยี่ยมครอบครัวอยู่สม่ำเสมอ
และด้วยความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะครูและลูกศิษย์ระหว่างเกาเฉินเฉินกับกงเสี่ยวลู่หลายครั้งที่กงเสี่ยวลู่จะไหว้วานให้เกาเฉินเฉินช่วยจัดการจองตั๋วเครื่องบินให้กับเธอ
เครื่องบินจากจิงฉูมาปักกิ่งนั้นปกติก็ใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงซึ่งนับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วมาก
และจากบ้านของกงเสี่ยวลู่ที่ปักกิ่งนั้นการนั่งเครื่องไปลงที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งก็เป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด แต่กงเสี่ยวลู่กลับเลือกที่จะบินไปลงที่สนามบินหนานหยวนแทนทุกครั้ง เรื่องนี้ได้สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับเกาเฉินเฉินเป็นอย่างมาก
คำพูดที่หลุดจากปากของเกาเฉินเฉินอย่างไม่มีเจตนาอะไรนั้นหลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ดูเหมือนกงเสี่ยวลู่คงต้องการหนี หรือหลบหน้าใครสักคนอยู่
หรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับความลับที่เธอไม่ยอมเปิดเผยออกมา
เมื่อครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลิงหยุนก็รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ และโมโหขึ้นมาทันที แต่ก็เพียงแค่ยิ้ม แล้วตอบกลับไปเหมือนไม่มีอะไร..
“ไม่มีอะไรมั๊ง..ครูกงอาจจะคุ้นเคยกับการบินมาลงที่สนามบินหนานหยวนนี้ก็ได้..”
เกาเฉินเฉินพยักหน้าแล้วหันหลังไปมองหาถังเมิ่ง “ทำไมถังเมิ่งไปจอดรถนานจังเลย”
ความจริงถังเมิ่งหาที่จอดรถได้นานแล้วแต่ยังหาโอกาสลงจากรถไม่ได้เสียที เพราะมีสายโทรเข้ามาไม่หยุดหย่อน..
และแทบไม่ต้องสงสัย..แต่ละสายที่โทรเข้ามาหาถังเมิ่งนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสายจากจิงฉูทั้งนั้น
หลิงหยุนจัดการเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่ตลอดเวลาและนั่นนับว่าดียิ่งกว่าการปิดเครื่องทิ้งเสียอีก เพราะโทรศัพท์มือถือของเขาจะเหมือนอยู่ในที่ที่ไม่สัญญาณโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อทุกคนในจิงฉูอยากคุยกับหลิงหยุนแต่ติดต่อไม่ได้ จึงต้องโทรหาถังเมิ่งแทน
หลังจากที่นั่งฟังเสียงบ่นและอารมณ์โกรธเกรียวมากมายที่พร่างพรูเข้ามาตามสาย ในที่สุดถังเมิ่งก็มีโอกาสได้หายใจทั่วท้อง..
และเวลานี้..ถังเมิ่งก็ได้รู้ว่าสถานการณ์ในจิงฉูเวลานี้กำลังเดือดอย่างมากทีเดียว
“แม่เจ้าโว้ย..ถึงกับไปปิดสำนักงานการศึกษานี่นะ! ดูท่าพ่อคงต้องปวดหัวตึ้บแน่ๆ..”
หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนปัจจุบันก็คืออาปิงและจากคำสั่งย้ำนักย้ำหนาของหลงหวู่ ทำให้อาปิงต้องส่งคนของแก๊งมังกรเขียวไปปิดกั้นประตูสำนักงานการศึกษาประจำจิงฉูไว้ และคนที่เข้าไปทำงานในนั้นก็จะไม่สามารถออกมาได้ อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เพิ่งประกาศผลสอบเอนทรานซ์ สำนักงานการศึกษาจึงยังคงวุ่นวายอย่างมาก..
ถังเมิ่งถึงกับพูดอะไรไม่ออก..เพราะคนที่สร้างปัญหาก็คือคนของแก๊งมังกรเขียว ส่วนผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงแห่งจิงฉูก็คือพ่อของเขาเอง.. ถังเทียนห่าว!
ถังเมิ่งคิดถึงเรื่องวุ่นวายพวกนี้แล้วก็ถึงกับมึน..เขาเป็นถึงที่ปรึกษาของแก๊งมังกรเขียว แต่คนหนึ่งก็คือหลงหวู่ซึ่งทำเพื่อหลิงหยุน ส่วนอีกคนก็คือพ่อของเขาเอง ถังเมิ่งถึงกับร้อนรุ่มใจอย่างมาก..
“เฮ้อ..คิดแล้วปวดหัว! คงต้องหาเวลาคุยเรื่องนี้กับพี่หยุน..”
“ดูเหมือนการวิเคราะห์ของหนิงน้อยกับพี่หยุนจะถูกต้องหลู่กวนหวังน่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในเรื่องคะแนนสอบของหลิงหยุนมากที่สุด..”
เมื่อคืนนี้สาวสวยที่เก่งที่สุดสองคนอย่างเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับไป๋เซียนเอ๋อก็ได้ไปพบหลี่ยี่เฟิงที่บ้านเพื่อสอบถามที่อยู่ของหลู่กวนหวัง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็รีบไปหาหลู่กวนหวังที่บ้านทันที
หลู่กวนหวังเมื่อได้พบเห็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาถึงสองคนอีกทั้งยังโดนมนต์สะกดจากวิชาลวงตาของไป๋เซียนเอ๋อเข้าไป จึงได้ตอบคำถาม และบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับสาวงามทั้งสองฟังจนหมด และหลังจากที่สองสาวจากไป หลู่กวนหวังผู้น่าสงสารก็ร่ายรำในสภาพเปลื้องผ้าอยู่ตลอดทั้งคืน..
นับว่าหลิงหยุนวิเคราะห์ได้ไม่มีผิดแม้แต่นิดเดียวและผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีกหนึ่งคนก็คือลุงของหลี่เทียนที่ชื่อว่าหลี่จิ่วเจียง และมีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน!
“แต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตระกูลซันอย่างที่พี่หยุนปักใจเชื่อหรือเปล่าน่ะสิ!”
ถังเมิ่งกำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในรถเขานั่งสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง แต่แล้วโทรศัพท์มือถือในมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ถังเมิ่งยกโทรศัพท์ขึ้นดูก็เห็นว่าเป็นฉางหลิงโทรมา
“ถังเมิ่ง..นายอยู่ที่ใหน ทำไมโทรศัพท์ของหลิงหยุนถึงยังติดต่อไม่ได้อีกล่ะ?”
น้ำเสียงของฉางหลิงเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ..
ถังเมิ่งตอบกลับไปว่า“พี่หยุน.. ฉัน.. แล้วก็เกาเฉินเฉินกำลังมารับครูกงที่สนามบินหนานหยวน หลังจากรับครูกงแล้วพวกเราก็จะไปปรึกษาหารือเรื่องผลสอบเอนทรานซ์ของพี่หยุนกัน..”
ถังเมิ่งเองก็รู้ว่าวันนี้ฉางหลิงจะเดินทางมาปักกิ่งเช่นกันจึงตอบเธอไปตามความจริง และไม่คิดที่จะปิดบัง
ฉางหลิงร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ“อะไรนะ เมื่อครู่นายพูดว่าเฉินเฉินงั้นเหรอ?! นี่เฉินเฉินสบายดีใช่มั๊ย? เธอไม่เป็นอะไรใช่มั๊ย? บอกฉันมาตามตรง..”
ถังเมิ่งตอบกลับยิ้มๆ“ฉันไม่ได้โกหก.. ฉันเองก็เพิ่งได้พบกับเฉินเฉินเมื่อคืนนี้ ตอนี้เฉินเฉินสบายดีมาก แค่ผอมลงไปบ้างเท่านั้นเอง..”
“อ่อ..ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องรีบไปขึ้นเครื่องแล้ว อีกสองชั่วโมงเจอกัน เครื่องของฉันจะไปลงที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง นายอย่าลืมบอกหลิงหยุนกับเฉินเฉินด้วยล่ะ!”
ฉางหลิงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและรีบวางสายแล้วเดินขึ้นเครื่องไปกับเหลียงเฟิงอี้ทันที..
“เฮ้อ..กำลังจะมาอีกคนสินะ!”
ถังเมิ่งวางสายไปแล้วรีบลงจากรถปิดประตูดังปัง!
ภายในสนามบิน..หลิงหยุนนั่งกุมมือเกาเฉินเฉินระหว่างที่รอเครื่องของกงเสี่ยวลู่มาถึง และระหว่างที่รอนั้นเขาก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูภายในสนามบินอย่างละเอียด
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนมาสนามบินและด้วยอุปนิสัยของเขา หลิงหยุนจึงเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูโครงสร้างและแผนภูมิของสนามบินอย่างละเอียด
‘เทคโนโลยีในยุคนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก!นี่คือเครื่องบินอย่างนั้นรึ.. ยอดเยี่ยมมากทีเดียว!’
เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่-4ซึ่งเป็นด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้แล้วล่ะก็ เขาก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เป็นพันๆกิโลเมตร
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูเครื่องบินซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกใบนี้ด้วยความรู้สึกสับสน บอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกหวาดกลัว หรือว่าต่อต้านกันแน่!
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็นึกถึงอานุภาพของจรวดมิซไซล์ที่มีอานุภาพรุนแรงถึงขึ้นจมเรือลาดตระเวนทั้งลำลงในทะเลลึกได้
‘จรวดมิซไซล์ยังมีอานุภาพรุนแรงถึงเพียงนี้แล้วระเบิดนิวเคลียร์ หรือระเบิดชีวภาพเล่า จะไม่รุนแรงยิ่งกว่านี้อย่างนั้นหรือ’
การที่หลิงหยุนทุ่มเทฝึกฝนอย่างที่เรียกว่าบ้าคลั่งนั้นจุดประสงค์ของเขาไม่ได้ฝึกไว้เพื่อต่อสู้กับเหล่าจอมยุทธซึ่งเป็นศัตรูของเขาเท่านั้น แต่ยังฝึกไว้เพื่อจะได้ออกสำรวจดาวเคราะห์ที่ลึกลับดวงนี้ด้วยต่างหาก!
หลิงหยุนจำเป็นต้องฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับอาวุธไฮเทคเหล่านี้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายเมืองทั้งเมืองได้อย่างง่ายดาย!
และหลังจากที่ได้พิจารณาดูแล้วหลิงหยุนพบว่าการฝึกบ่มเพาะในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น ต่อให้สามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่จนสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับเครื่องบินบนโลกใบนี้ และนั่นทำให้หลิงหยุนรู้สึกอึดอัด และไม่สบายใจอย่างมาก
‘เฮ้อ..คงต้องให้เข้าสู่ขั้นกายทองคำสินะ..’
หลิงหยุนรู้สึกว่าการเข้าสู่ขั้นกายทองคำนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญและเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่ไกลริบหลี่เหลือเกิน เพราะบนโลกใบนี้ขาดแคลนพลังชีวิต หลิงหยุนจึงยังไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้..
“หลิงหยุน..นี่นายกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ ดูนั่นสิ.. คนพวกนั้นแต่งตัวเหมือนพวกจอมยุทธในละครโบราณเลย!”
เกาเฉินเฉินเห็นหลิงหยุนนิ่งเงียบไปนานจึงหันไปมอง และพบว่าหลิงหยุนคล้ายคนที่กำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่จึงได้ถามขึ้น..
“ใหนเหรอ”
ต่อให้ไม่มีเสียงร้องเตือนของเกาเฉินเฉินจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็จับภาพกลุ่มคนทั้งเก้าคนที่เพิ่งลงมาจากเครื่องบินได้แล้ว
ในกลุ่มคนทั้งเก้าที่กำลังเดินออกมาจากสนามบินด้านในนั้นมีทั้งชายชราในวัยเจ็ดสิบปี มีผู้ใหญ่ในวัยกลางคน และเด็กหนุ่มในวัยยี่สิบปีปะปนกัน..
ทั้งเก้าคนล้วนสวมใส่ชุดคลุมกระโปรงสีดำแปลกประหลาดคล้ายจอมยุทธจีนในละครอีกทั้งยังไว้ผมยาวกันทุกคน ผู้คนในสนามบินที่ได้พบเห็นต่างก็พากันตื่นเต้น และต่างก็มามุงดู
คนทั่วไปอาจเห็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่หลิงหยุนนั้นสามารถมองออกว่าทั้งเก้าคนนี้ล้วนมีวรยุทธและกำลังภายในล้ำเลิศอย่างที่หาใครเทียบได้ยาก!
และจากประสบการณ์ที่ได้ต่อสู้กับยอดฝีมือมาหลายครั้งทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่าจอมยุทธทั้งเก้าคนนี้ไม่น่าจะมีกำลังภายในต่ำกว่าขั้นเซียงเทียน-6
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชราที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าทั้งสองคนหลิงหยุนรู้สึกว่ากำลังภายใน และวรยุทธของทั้งสองคนนี้น่าจะล้ำเลิศเข้าขั้นปรมาจารย์เลยก็ว่าได้!