บทที่ 246 ครองบัลลังก์

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 246 ครองบัลลังก์[ฟรี]

ในพริบตา 3 วันผ่านไป วันนี้คือวันขึ้นครองราชย์ของหลิงยี่เทียน บรรยากาศของเมืองหลวงขณะนี้จึงมีแต่เสียงคำรามของมังกรและเหนือน่านฟ้าของคฤหาสน์สราญรมย์ก็มีร่างของนกฟีนิกซ์ยักษ์บินวนไปวนมา

บรรดาเสนาบดีของราชสำนัก นอกเหนือจากคนที่หนีไปแล้วต่างก็พากันตกตะลึง หลิงเจิ้งสงซึ่งถูกเหลียงซานปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของบัลลังก์เพื่อรอการปรากฏตัวของหลิงยี่เทียน

แต่จนแล้วจนรอดจักรพรรดิของพวกเขายังไม่ปรากฏตัว!

“พวกท่านจะไม่มากับข้าจริง ๆ เหรอ?” หลิงยี่เทียนมองดูพี่น้องของเขาด้วยสีหน้าหนักใจ

หลิงยู่ชานยิ้มและพูดว่า “เดิมทีพวกเราก็อยากเข้าร่วมพิธีเช่นกัน แต่ท่านพ่อได้บอกไว้แล้วว่าพวกเราต้องคุกเข่าให้เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมีปัญหา ซึ่งพวกเราเองไม่ต้องการคุกเข่าลงและกราบไหว้เจ้า ดังนั้นเราจะไม่ไปร่วมพิธีวันนี้ รอให้พิธีในวันนี้จบลงก่อนแล้วพวกเราจะไปหาเจ้าเอง แต่ไช่หยุน ในเมื่อเจ้าสัญญากับพี่หกของเจ้าไว้แล้ว เจ้าจงเป็นตัวแทนของพวกเราพี่น้องไปดูพี่หกของเจ้าขึ้นครองบัลลังก์!”

หลิงยี่เทียนถอนหายใจ “น้องเจ็ดเชื่อฟังข้ามากที่สุด ข้าจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เจ้าในภายหลัง เอาให้ทุกคนอิจฉาไปเลย!”

หลิงไช่หยุนยิ้มและพูดขึ้นว่า “มันก็แค่ข้าต้องทำความเคารพท่านแค่นั้นเองไม่ใช่รึไง? เอาเถอะ เดี๋ยวเฟิงกับข้าจะไปด้วยกัน”

เมื่อพูดคุยกับเสร็จกลุ่มคนที่จะไปยังพระราชวังก็ได้เข้าไปในรถม้า นอกจากหลิงยี่เทียน หลิงไช่หยุน เสี่ยวเยว่เฟิง ถังชี่หยุนและสามีของนางแล้ว โม่หยูถังก็ตัดสินใจที่จะตามไป

ในทางกลับกัน ซือโถวเหวินหยวนยังคงไม่ไป เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์และเขาไม่เต็มใจที่จะคุกเข่ากราบไหว้หลิงยี่เทียน

เมื่อทุกคนขึ้นรถม้ากันพร้อมจนหมดแล้ว กงหนิวก็เริ่มลากรถม้าและพาหลิงยี่เทียนไปที่พระราชวัง และตรงเข้าไปจอดในท้องพระโรงจนถึงหน้าบัลลังก์

หลังจากผ่านพิธีหลายอย่าง หลิงยี่เทียนก็ขึ้นครองราชย์อย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นผู้คนทางซ้ายและขวาของห้องบัลลังก์ก็กราบลงบนพื้นทันทีพร้อมกับตะโกนว่า “ขอฝ่าบาทมีอายุยิ่งยืนนานหมื่น ๆ ปี!”

แม้แต่กองทัพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกห้องบัลลังก์ต่างก็คุกเข่าลง

หลิงยี่เทียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากต่างพากันหมอบกราบและสรรเสริญให้เขา เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรต่อ

และในเวลาเดียวที่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าภาพที่เขากำลังมองเห็นอยู่มันกลายเป็นอีกของสถานที่หนึ่ง ซึ่งบรรดาผู้ที่หมอบกราบเขาอยู่ตอนนี้คือเหล่าตัวตนอันยิ่งใหญ่จากบรรพกาล ซึ่งกำลังกล่าวคำสรรเสริญต่อเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ปกปักคุ้มครองมวลมนุษย์

ฉากอันยิ่งใหญ่นั้นทำให้เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์โดยไม่ได้ตั้งใจ เขายืนตัวตรงและตะโกนขึ้นเสียงก้องกังวาล “พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้น!”

ฝูงชนตกตะลึงเมื่อพวกเขารู้สึกว่าจักรพรรดิองค์ใหม่นี้ไม่ทราบวิธีปฏิบัติตนตามขั้นตอน

หลิงเจิ้งสงยิ้ม ๆ ดูเหมือนว่าเขาต้องหาคนมาสอนธรรมเนียมปฏิบัติให้ฝ่าบาทองค์ใหม่เสียแล้ว

แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกงุนงง แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงยี่เทียน

หลิงยี่เทียน ในขณะนี้ที่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ ภาพตรงหน้าที่เขามองเห็นยังคงเป็นภาพที่พร่ามัว ซึ่งทำให้เขายืนงง เขาแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าโดยที่ยังไม่กล่าวอะไรออกมาอีกแม้สักคำ

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างก็เริ่มตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น?

หลิงเจิ้งสงที่งุนงงเช่นกัน ในขณะที่เขากำลังจะเตือนหลิงยี่เทียน โม่หยูถังโบกมือของเขาขึ้นและสร้างกำแพงวิญญาณปิดกั้นหลิงเจิ้งสงจากหลิงยี่เทียน

“ท่านแม่ทัพหลิงไม่ต้องกังวล พระองค์ต้องมีเหตุผลอื่นที่เป็นเช่นนี้แน่ ฉะนั้นท่านอย่างพึ่งรบกวนเขา ปล่อยให้เขาได้รู้สึกตัวด้วยตนเอง” โม่หยูถังเตือนขึ้น

โม่หยูถังที่อยู่กับหลิงตู้ฉิงและลูก ๆ ของเขามานาน เขาจึงพอที่จะเดาได้ว่าเหตุการณ์นี้มันน่าจะเกี่ยวกับสายเลือดของหลิงยี่เทียนที่กำลังจะตื่นขึ้นจากคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่ว่าลูกชายของเขาคนนี้จะต้องได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิก่อนจึงจะสามารถเริ่มบ่มเพาะได้ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนึ่งในอาการหยั่งรู้หรือสายเลือดที่กำลังจะถูกปลุกขึ้น หรืออะไรที่มันต้องพิเศษสำหรับหลิงยี่เทียนสักอย่างแน่นอน

หลิงเจิ้งสงพยักหน้าเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร

จากนั้นทุกคนมองไปที่หลิงยี่เทียนด้วยความงุนงง

ในเวลานี้ มุมมองการเห็นของหลิงยี่เทียนเปลี่ยนไปเป็นมองจากมุมสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ จนเขาเห็นโลกที่มีขนาดความกว้างใหญ่หลายร้อยล้านกิโลเมตรได้เต็มสองตา และจากนั้นมุมมองของเขาถูกเขยิบออกไปอีกจนเห็นแม้แต่ช่องว่างระหว่างดินแดนของสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยร่างของผู้คนที่กำลังหมอบกราบ

เขาเห็นร่างเหล่านี้ที่ทุกคนต่างก็ตะโกนสรรเสริญนามของผู้ปกครอง และขอบคุณผู้ปกครองของพวกเขาอย่างหมดใจ จากนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็เขยิบออกไปอีกเรื่อย ๆ และคนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ หายไป

เมื่อภาพทั้งหมดหายไป หลิงยี่เทียนก็เห็นชายคนหนึ่งที่มีผมสีทองยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“เจ้าเป็นจักรพรรดิ หน้าที่ของเจ้าคือต้องพิทักษ์เหล่ามวลมนุษย์!” ร่างสีทองพูดกับเขา

“ข้ารับปาก!” หลิงยี่เทียนพยักหน้าและสัญญา

หลังจากได้รับคำตอบของหลิงยี่เทียน ร่างสีทองก็หายไป และภาพลวงตาที่อยู่ด้านหน้าของหลิงยี่เทียนก็หายไปอย่างสมบูรณ์

จากนั้นหลิงยี่เทียนก็พบว่าเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าเริ่มปรากฏขึ้นในจุดตันเถียนและในระยะเวลาอันสั้นระดับการบ่มเพาะของเขาก็กลายเป็นขอบเขตหลอมรวมพลังปราณระดับ 3

ในที่สุดหลิงยี่เทียนก็ฟื้นคืนสติกลับมานั่งบนบัลลังก์และพูดขึ้น “ข้าจะไม่เปลี่ยนชื่อของอาณาจักรและจะให้มันยังคงชื่ออาณาจักรจันทรา ข้าหวังว่าทุกคนจะร่วมมือร่วมใจกันทำให้อาณาจักรของเรารุ่งเรือง! ต่อไปข้าจะประกาศแต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ…”

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับตำแหน่งต่าง ๆ หลิงยี่เทียนได้วางแผนไว้นานแล้วว่าตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ทั้งหมดจะต้องเป็นของคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด

ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านกับการแต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ ที่หลิงยี่เทียนแต่งตั้งขึ้น ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เพราะว่าในเมื่อเขาที่เพิ่งเป็นจักรพรรดิ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ ๆ ให้กับคนในครอบครัวด้วยเหตุผลด้านความไว้ใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่หลิงตู้ฉิงไปจนถึงบรรดาแม่ ๆ และพี่น้องของเขาล้วนได้รับตำแหน่งและชั้นยศกันจนถ้วนหน้า

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลิงว่านจุนที่ได้รับตำแหน่งจอมพลแห่งอาณาจักรและได้รับกองกำลังทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ตำแหน่งของเขามีอำนาจในทางการเมืองอย่างแท้จริง ส่วนตำแหน่งและชั้นยศของคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเขาที่เขามอบให้นั้นมีไว้สำหรับเป็นเพียงคำเรียกขานเพื่อเป็นเกียรติแค่เท่านั้น

แต่สำหรับคนนอกนั้น ถังชี่หยุนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชครู ซึ่งนางก็เต็มใจที่จะได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ตำแหน่งนี้เป็นอย่างมาก

ส่วนหลิงเจิ้งสงนั้นได้รับสมญานามว่าเป็นมหาจอมทัพ ซึ่งทำให้หลิงเจิ้งสงรู้สึกพูดไม่ออก

“เฮ้อ…ยังไงซะเขาก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำล่ะนะ!” หลายคนคิดไปในทางเดียวกันเช่นนี้รวมถึงหลิงเจิ้งสงด้วย

โม่หยูถังถึงกับหลั่งเหงื่อออกมาเมื่อได้ยินตำแหน่งของหลิงเจิ้งสง แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกโล่งใจหลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าองค์รักษ์ ซึ่งโชคดีที่เขาไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกิจการภายในวัง

หลิงไช่หยุนได้รับการขนานนามว่าเป็นองค์หญิงลำดับหนึ่งแห่งอาณาจักร ซึ่งนี่คือการแก้แค้นของหลิงยี่เทียนต่อพี่สาวทั้งสองที่ไม่ได้มาดูเขาขึ้นสู่บัลลังก์

จ้าวปาเทียนยังคงเป็นอธิการบดีของสถาบันราชวงศ์และไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมยศใด ๆ

หลังจากคนที่คุ้นเคยเหล่านี้ได้รับรางวัลคนอื่น ๆ จะได้รับข้อความเพียงประโยคเดียวว่า ‘ตำแหน่งจะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบความเหมาะสมเท่านั้น!’

หลังจากแต่งตั้งตำแหน่งเสร็จแล้ว หลิงยี่เทียนก็บอกกับทุกคนในท้องพระโรงทันทีว่า เขาจะจัดตั้งกองทัพขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะชื่อมันว่ากองทัพมังกรและเขาจะคัดเลือกทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์การต่อสู้เกินร้อยครั้งโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือระดับการบ่มเพาะมาเข้าร่วมกองทัพมังกร

และสำหรับกองกำลัง 750 คนที่นำโดยหลิงฉุยฟง เขาไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพูดถึงแต่อย่างใด

แต่เมื่อถึงช่วงที่หลิงยี่เทียนใกล้จะออกคำสั่งจนหมด หลิงเจิ้งสงก็เดินออกมาและพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าอาณาจักรจินหนิง และอาณาจักรไป๋หยวนได้ใช้ประโยชน์จากการผลัดแผ่นดินในอาณาจักรของเรามาบุกรุกพรมแดนของเราแล้ว นอกจากนี้ยังมีพื้นที่หลายแห่งเกิดการกบฏและไปเข้าร่วมกับอาณาจักรจินหนิง และอาณาจักรไป๋หยวนอีกด้วย ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรดี?”

เกาะเทียนหยวนนั้นมีอาณาจักรอยู่เพียงแค่ 3 อาณาจักร เมื่อความไม่สงบภายในของอาณาจักรจันทราได้รู้ไปถึงหูของอาณาจักรจินหนิง และอาณาจักรไป๋หยวน ทั้งสองอาณาจักรต่างก็ตระหนักได้ถึงโอกาสของตนเอง

พวกเขาที่คอยสอดส่องและรอคอยให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในอาณาจักรจันทรามาโดยตลอด เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นพวกเขาจึงตั้งใจว่าจะฉวยโอกาสนี้เพื่อแย่งชิงอาณาจักรจันทรามาเป็นดินแดนประเทศราช และหากไม่เป็นดังหวัง พวกเขาก็ตั้งใจที่จะทำลายอาณาจักรจันทราลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาพบว่าเหลียงซานเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาจึงส่งกองกำลังของตนเองออกมาทันทีและปลุกระดมให้ประชาชนบางส่วนให้ทรยศ และเข้ารุกรานพื้นที่ของอาณาจักรจันทราตามชายแดนเป็นวงกว้าง

หลิงยี่เทียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาณาจักรจินหนิง และอาณาจักรไป๋หยวน คงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรของเรา ฉะนั้นท่านมหาจอมทัพ จงส่งสาสน์ของเราไปให้พวกเขายอมจำนนทันที แต่ถ้าพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมจำนน ท่านก็จงส่งกองทัพศักดิ์สิทธิ์ออกไปทำลายพวกเขาให้หมด โดยใช้ความเร็วที่สุดและผนวกอาณาจักรของพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกับของพวกเราอย่างถาวร”