บทที่ 184
เมื่อเธอไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้ว
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยเดินลงมาที่บันได ไป๋เสวี่ยหลี่ก็ร้องไห้อย่างน่าสงสารและวิ่งตามหลังเธอมา “ฉันขอร้องล่ะ อย่าตามตื้อพี่โม่อีกเลย ลูกของฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพ่อ…”
เธอตกใจมากที่ได้เห็นผมเพ้าที่ยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่และเสื้อผ้าของเธอก็ฉีกขาดหลายจุดราวกับว่าเธอถูกทำร้ายมา
มีแขกหลายคนที่มาองไปทางฝั่งนั้นและแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป นอกจากนี้ยังมีคนอื่นที่กำลังถ่ายรูปด้วย เรื่องรูปถูกเตรียมไว้นานแล้ว
“เธอพูดเรื่องอะไรเนี่ย?!” มู่หรงขมวดคิ้วและพูดออกไปแต่ในหัวใจก็รู้แล้วว่าตัวเองติดกับซะแล้ว ไม่มีทางที่จะถอยหลังกลับ
ไป่เสวี่ยหลี่วิ่งมาหาเธอและคุกเข่าลง “คุณมู่หรง ฉันขอร้องล่ะ คุณจะตีฉันแค่ไหนก็ได้ตราบใดที่คุณไปจากพี่โม่…” เธอเหมือนกับดอกไม้ที่เพิ่งถูกทำร้ายและบานสะพรั่งด้วยความอ่อนช้อยของเธอ มันช่างน่าสมเพชและน่ารักน่าเวทนายิ่งนัก
ตรงกันข้ามกับร่างกายที่สะอาดและเรียบร้อยของเธอ และคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าไป่เสวี่ยหลี่ก็ดูเหมือนจะอธิบายได้อย่างชัดเจน ผู้คนรอบๆเธอเริ่มที่จะชี้มาที่พวกเธอและหลายคนก็เริ่มที่จะพูดถึงเธอด้วยเสียงซุบซิบ
“ฉันไม่สนใจเธอหรอกนะ!” มู่หรงเสวี่ยหันกลับและกำลังที่จะเดินลงบันได เวลาแบบนี้มีแต่จะเสียเปรียบ รีบออกไปน่าจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ไป๋เสวี่ยหลี่ลุกขึ้นและยืนตรงหน้าเธอ มือเธอจับมาที่แขนเธอ แล้วไป๋เสวี่ยหลี่ก็เอนตัวไปข้างหลังและกลิ้งลงไปข้างล่างบันไดแทบจะในทันที มือของเธอยังอยู่ในท่าที่เธอเพิ่งจะจับมือและยื่นตรงมาข้างหน้า
“อ่า! ลูกฉัน” ไป๋เสวี่ยหลี่กรีดร้องและแตะไปที่ท้องของเธอ ที่ร่างกายด้านล่างของเธอมีกองเลือดสีแดงไหลออกมา
มู่หรงเสวี่ยตกใจจนสติกลับมาและรีบวิ่งลงไปทันที ในตอนนี้เรื่องช่วยคนสำคัญกว่า
ผู้คนที่ยังมองอยู่ต่างก็วิ่งเข้ามาและคนอื่นๆก็โทรเรียกรถพยาบาล
มู่หรงเสวี่ยรีบเดินไปหาไป่เสวี่ยหลี่และมองไปที่หน้าซีดเผือดของเธอ เธอขมวดคิ้ว เธอเอื้อมมือออกไปและอยากที่จะจับชีพจรเพื่อดูอาการของเธอ อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะได้เข้าใกล้ ไป่เสวี่ยหลี่ก็ร้องออกมาอย่างรุนแรง “เธออยากที่จะทำอะไร?! เธอมันฆาตกร เอาลูกฉันคืนมา” เสียงน้ำตาของไป๋เสวี่ยหลี่พูดออกมาอย่างกล่าวหา
“ไป่เสวี่ยหลี่คนที่ทำแบบนี้ท้องฟ้าจะเป็นพยาน ว่าเธอคู่ควรกับเด็กคนนี้จริงๆหรือเปล่า?” มุ่หรงเสวี่ยถาม เพื่อที่จะแก้แค้นเธอ ไป๋เสวี่ยหลี่ถึงกับใช้ลุกของตัวเองอย่าโหดร้าย เธอเป็นคนที่เลวร้ายจริงๆ
“ลูกฉัน เอาลูกฉันคืนมา…” ไป๋เสวี่ยหลี่ร้องออกมาอีกครั้งและยังตะโกนไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้ผู้คนรอบๆก็เริ่มที่จะโทษมู่หรงเสวี่ย
“เด็กสาวคนนั้นยังเด็กอยู่เลยแต่โหดร้ายจริงๆ”
“เด็กคนนี้ดูคุ้นๆนะ…”
“โอ้ ฉันจำได้แล้ว ใช่มู่หรงเสวี่ยจากการแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยระหว่างประเทศครั้งก่อนหรือเปล่า?”
“พอเธอพูดออกมา ฉันก็จำได้แล้ว เธอดูเป็นคนฉลาดมากเลยนะ…”
“ฉลาดงั้นเหรอ?! จากข้างบนเห็นอยู่ชัดๆว่าเธอเป็นคนผลักลงมา…”
“…”
เสียงซุบซิบรอบๆเริ่มที่จะดังขึ้นเรื่อยๆและสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือยังมีคนถ่ายรูปอยู่อีก…มู่หรงเสวี่ยกำลังจะพูดอะไรเพื่อแก้ตัวตอนที่รถพยาบาลมาถึงแต่ไป๋เสวี่ยหลี่ก็ถูกยกขึ้นรถพยาบาลไปก่อน เธอเองก็ตามไปด้วย ในตอนนี้ไม่ว่าเธอจะอธิบายยังไงมันก็เปล่าประโยชน์ เธอนึกภาพวันพรุ่งนี้ได้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะต้องกลายเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ของสื่อใหญ่ๆแน่ๆ
หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล ไป๋เสวี่ยหลี่ก็ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินและมู่หรงเสวี่ยก็ยืนรออยู่ที่ห้องด้านนอก
เธอคิดอยู่นานสุดท้ายเธอก็โทรหาชางกวนโม่ ยังไงซะเด็กนี่ก็เป็นลูกเขาและตอนนี้เขาก็ควรที่จะมาอยู่ที่นี่
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเพียงบอกแค่ว่า ไป๋เสวี่ยหลี่อยู่ในห้องฉุกเฉินพร้อมบอกชื่อโรงพยาบาลแล้วเธอก็วางสายไป
เธอเดินไปมาอยู่นอกห้อง เธออยากที่จะกลับไปเลย เธอไม่อยากที่จะเจอชางกวนโม่เลยสักนิด เธอไม่อยากที่จะเจอคนพวกนี้อีกเลย
แต่บังเอิญว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเธอด้วย เห็นได้ชัดว่าเธอถูกใส่ร้าย เธอมองข้ามความเหี้ยมโหดของไป๋เสวี่ยหลี่ที่ถึงขนาดทำกับลูกตัวเองได้
ไปนานเสียงฝีเท้าวิ่งก็ดังขึ้นมา มุ่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและเห็นชางกวนโม่ซึ่งไม่ได้เจอกันมานาน
เขาผอมลงมาก ใบหน้าของเขาซูบผอม ใต้คางก็มีเคราอยู่จางๆและใต้ขอบตาก็มีรอยคล้ำหนา
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเจ็บปวดจนต้องรีบเลื่อนสายตา ยังไงเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป
ชางกวนโม่เห็นร่างที่คุ้นเคยจากไกลๆ การจากกันไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรบนสีหน้าเธอเลย นี่เป็นอีกครั้งที่เขาเข้าใจจุดยืนของเขาในหัวใจเธอได้อย่างชัดเจน มันเป็นแบบนั้นเอง บรรยากาศแปลกๆ พวกเขาเคยสนิทกันมากแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนแปลกหน้า
มู่หรงมองไปที่กำแพงสีขาวโดยไม่หันหัวไปเลยสักนิด
ชางกวนโม่จ้องเธอเขม้น เขาไม่ดื้อรั้นและบ้าบิ่นเหมือนตอนแรกอีกต่อไปแล้ว คมดาบบนร่างกายของเขาได้รับการยับยั้งไปมาก ผู้ชายที่ต้องเจ็บปวดเพราะความรักจะเติบโตขึ้นและโหดร้ายมากขึ้น
ความรักที่ผ่านไปแล้วก็เหมือนคนสองคนในตอนนี้ คนหนึ่งเอาแต่จ้องไปที่กำแพง ไม่ยอมที่จะพูดคุยกัน คนอีกคนที่เอาแต่จ้องไปที่อีกฝ่ายเพื่อที่จะหาคำตอบของจุดจบ
หลังจากที่เจ็บปวดในครั้งแรก ตอนนี้มีเพียงแผลเป็นที่ยังคงอยู่ รอว่าสักวันบาดแผลจะรักษาตัวเองได้
หลังจากเวลาผ่านไปนานชางกวนโม่ก็ค่อยเปิดปากพูด “ช่วงนี้เธอ…เป็นไงบ้าง?”
ร่างกายของมู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้งและไม่ช้าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง “ฉันสบายดี!” หลังจากที่หยุด เธอก็พูดต่อ “จะไม่ถามเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น? นายไม่เป็นห่วงคนที่อยู่ในห้องเลยเหรอ?” ในตอนนี้เธอไม่หันไปมองเขาเลยตั้งแต่ต้นจนจบและยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงบ
“งั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เขายังคงจ้องไปที่ด้านข้างของหน้าเธออยู่ ในวินาทีที่เขาเห็นเธอ ความแค้นในใจของเขาก็หายไปมาก ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นผู้หญิงที่เขารักและยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารักด้วย ถึงแม้จะมีหลายสิ่งที่เขาต้องการ ถึงแม้จะมีบาดแผลแต่เขาก็ไม่เคยเสียใจเลย
ตอนนี้เขาไม่ฝืนมันอีกแล้ว ถึงแม้เขาจะยังไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาจบกันแล้ว ยังไงซะเทพนิยายก็ยังเป็นเพียงเทพนิยาย ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เป็นพระเอกในเทพนิยาย ความรักของพวกเขาเกิดและจบอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงบาดแผลในหัวใจของแต่ละคน แต่พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ยืนจับมือกันในโบสถ์เพื่อกล่าวคำสัญญาและฟังเสียงระฆังแห่งความสุข
มู่หรงเสวี่ยเล่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อกลางวันอย่างสงบ แต่เพียงแค่เล่าเรื่องเฉยๆ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการพูดเกินจริง
ชางกวนโม่ฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม สุดท้ายเขาเพียงพูดแค่ว่า “ฉันจะแก้ไขเรื่องนี้เอง!” ไม่มีคำพูดอื่นต่อ
เดี๋ยวนี้ระหว่างคนทั้งสองไม่มีเรื่องอะไรที่จะให้คุยกันแล้ว ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถที่จะพูดคุยเรื่องตลกขบขันกันได้แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น ช่วงเวลาที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายสำคัญมากกว่าชีวิตของตัวเองมันห่างไปไกลมากแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันก็เป็นเพียงพยานของการโกหกในความรัก
เมื่อเธอไม่ใช่ของเขาแล้ว งั้นเขาก็ไม่ใช่ของเธอแล้ว! จะมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องคำสัญญา
กลายเป็นว่าไม่ใช่ทุกความรักที่จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ นี่เป็นความรักที่เรียกได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของ
ทั้งสองต่างก็ยืนพิงกำแพงนิ่งด้วยระยะห่างกันประมาณหนึ่งเมตร เบื้องหน้าของพวกเขามีความกลมกลืนอย่างประหลาด
“ต่อจากนี้ ดูแลไป๋เสวี่ยหลี่ให้ดีๆ! เธอรักนายมากนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เธอพูดคำพวกนี้ได้ถึงแม้ในหัวใจจะยังมีร่องรอยของความเจ็บปวดอยู่ แต่มันก็ไม่เจ็บปวดมากเหมือนช่วงแรกๆแล้ว
“ได้!” ใช้เวลานานกว่าที่ชางกวนโม่จะหลุดคำพูดออกมาได้ ถ้าเขาไม่ได้ความสุขมาครอบครองงั้นทำไมไม่ปล่อยให้คนอื่นมีความสุขล่ะ ยังไงซะสำหรับเขามันก็ไม่ต่างกันหรอก
มู่หรงเสวี่ยได้ยินคำตอบอย่างชัดเจนแต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็รู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อย
“ฉันขอให้นายมีความสุข!”
“ฉันก็ขอให้เธอมีความสุขด้วยเหมือนกัน!”
นี่เป็นบทสนทนาสุดท้ายระหว่างพวกเขา ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีความแค้นแต่มันก็เศร้าอย่างอธิบายไม่ได้ มันเป็นเรื่องเศร้าที่อีกฝ่ายต้องจากไป หรือเศร้าที่ความรักช่างเปราะบางจนไม่มีใครได้ครอบครอง
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รอเจอไป๋เสวี่ยหลี่แต่ออกมาเลย เธอไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้ว ตราบใดที่ชางกวนโม่อยู่ที่นั่น ก็น่าจะเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับไป๋เสวี่ยหลี่
คืนนี้ดวงดาวบนท้องฟ้าเปล่งประกายอย่างมาก แสงไฟที่ถนนก็เปล่งแสงราวกับมีดวงดาวอยู่เต็มท้องฟ้า สวยงามและสุกใสจริงๆ รอบๆข้างยังมีเสียงวุ่นวายอยู่ คนเดินถนนเริ่มรวมตัวสู้กันส่งเสียงดังไปทั่ว
มู่หรงเสวี่ยที่เตรียมจะขึ้นรถ เห็นร่างที่คุ้นเคยที่ฝั่งตรงข้ามของถนน
เธอสวมชุดที่เปิดเผยเนื้อหนังมากกว่าในช่วงกลางวัน ชุดรัดรูปเผยให้เห็นสัดส่วนของเธออย่างชัดเจน กระโปรงสั้นที่ปิดเพียงก้นเกือบที่จะเผยให้เห็นร่างกายข้างในของเธอในระหว่างท่าทางการเดินที่มีเสน่ห์ของเธอ การแต่งหน้าของเธอก็ดูจะเข้ม กว่าในช่วงกลางวัน ซึ่งช่วยเพิ่มอายุของเธอไปได้อีกหลายปีจนดูเหมือนเป็นผู้หญิงที่โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
มู่หรงเสวี่ยกำลังจะข้ามทางม้าลายไปทักทาย ฮวงเสี่ยวเฟ่ย แต่จู่ๆชายอ้วนวัยกลางคนก็เดินออกมาและจับไปที่เอวบอบบางของฮวงเสี่ยวเฟ่ย ชายวัยกลางคนนั้นท่าทางหยาบคายมากๆแถมยังจับไปที่ก้นของฮวงเสี่ยวเฟ่ยด้วย
สิ่งที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยตกใจมากไปกว่านั้นคือ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยไม่ได้โกรธเลยสักนิด เธอกลับยิ้มและจูบไปที่แก้มของชายวัยกลางคน แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว