บทที่ 185
ฮวงเสี่ยวเฟ่ยและหลิวฮัวลี่งั้นเหรอ?
รถขับผ่านไปอย่างรวดเร็วและไฟสีแดงที่ฝั่งตรงข้ามของโรงแรมก็กำลังกะพริบอย่างชัดเจน มู่หรงเสวี่ยขยี้ตาจนเจ็บไปหมด เธอหวังว่าตัวเองจะมองผิดไปเอง เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา กดหาชื่อฮวงเสี่ยวเฟ่ยและกดโทรหา โทรศัพท์ถูกตัดสายอย่างที่เธอคิดไว้ มู่หรงเสวี่ยังคงกดโทรต่อไปเรื่อยๆ โทรไปเรื่อยๆอีกเป็นสิบสายจนอีกฝ่ายต้องปิดเครื่องไปเอง
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาโทรกลับมาทีหลัง…” มู่หรงยังคงกดต่อไปเรื่อยๆด้วยมือที่สั่นเทิ้ม
สักพักเธอก็ยืนพิงอยู่กับรถ ปิดโทรศัพท์ หายใจเข้าลึกๆและสุดท้ายเธอก็กลับเข้าไปในรถและเปิดหลังคารถ สายลมพัดผ่านผมเธอและเธอรู้สึกหนาวจนพูดอะไรไม่ออก
ด้านนอกของวิลล่า บอดี้การ์ดที่พี่ชูส่งมายังคงเฝ้าอยู่อย่างขยันขันแข็ง ดวงตาของมู่หรงร้อนผ่าวและเปียกเล็กน้อย แล้วเธอก็เดินเข้าไปช้าๆ เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ เธอเปิดไฟนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าบ้านมันช่างใหญ่โตและว่างเปล่าจนทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวนิดหน่อยอย่างอธิบายไม่ถูก ในบ้านยังมีร่องรอยของเขาอยู่ทั่วไปหมด เธอคิดถึง
มู่หรงเสวี่ยจ้างนักสืบมือหนึ่งให้ช่วยตามหาฮวงฟูอี้แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวเลย ราวกับว่าเขาอยู่ในความฝันของเธอเท่านั้น
กลางคืนที่ไม่ได้หลับใหล
วันต่อมามู่หรงเสวี่ยเปิดข่าวหนังสือพิมพ์และอ่านข่าว ไม่คิดเลยว่าจะไม่มีข่าวของเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอและไป๋เสวี่ยหลี่ที่ร้านอาหารเมื่อวานเลย เธออุตส่าห์พยายามทำใจอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะรับมือกับทุกอย่างแล้วเชียว
เธอนึกถึงคำพูดของชางกวนโม่ที่บอกว่าจะจัดการทุกอย่างเองและเธอก็รู้สึกขอบคุณเขาและเลิกคิดเรื่องนี้ไป
มู่หรงเสวี่ยไปที่มหาลัยและเห็นคนทั้งห้าที่ไม่เจอมานาน เธอเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม
“เมื่อวานพวกเธอหายไปไหนมา? ทำไมถึงไม่มาเรียน?” มู่หรงถาม
พวกเขาต่างก็มองหน้าก่อนแล้วพวกเขาก็มายืนล้อม มู่หรงเสวี่ยไว้และทั้งห้าก็ทำสีหน้าตลก
มู่หรงรู้สึกขนลุกและเย็นๆขึ้นมาสักพัก “พวกนายจะทำอะไร…!”
พี่ใหญ่จ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยและถามอย่างจริงจัง “เธอมีความสัมพันธ์ยังไงกับดราก้อนมาสเตอร์?”
“อะไร…อะไรนะ?” สีหน้าไม่ได้แกล้งทำ!
“เรารู้กันหมดแล้ว ไม่ต้องมาปิดบังเลยนะน้องหก!”
“พวกเธอรู้อะไร?”
“เธอกับดราก้อนมาสเตอร์ ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเขาเป็นน้องชาย ฉันกลัวแทบตายตอนที่รู้ว่าเขาคือดราก้อนมาสเตอร์ เราไม่น่าพูดไปแบบนั้นเลย…” ภาพเหตุการณ์ที่ได้เจอดราก้อนมาสเตอร์ที่จังหวัด A ยังติดตาอยู่เลย ดังนั้นพี่สามจึงยังรู้สึกใจสั่นอยู่มาก
มู่หรงเสวี่ยยืดตัวขึ้นทันทีและจับเข้าที่ไหล่ของพี่สามอย่างตื่นเต้น “นายพูดว่าอะไรนะ?! นายรู้จักเขางั้นเหรอ แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขาอยู่ที่ไหน?” ด้วยข่าวนี้ ครั้งนี้เธอจะพูดให้ชัดเจนและจะไม่พูดอะไรที่ตรงกันข้ามกับหัวใจเพราะความกลัวของตัวเองอีกแล้ว
ทันใดนั้นคนทั้งห้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงง “น้องหก ดราก้อนมาสเตอร์อยู่กับเธอไม่ใช่เหรอ? พวกเราเจอดราก้อนมาสเตอร์ไม่ได้หรอก…”
มู่หรงเสวี่ยปล่อยมือตก “เธอไม่รู้…” หลังจากไม่กี่วินาที จู่ๆเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้และจับที่ไหล่ของพี่สามที่อยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง “เธอรู้ว่าเขาคือใคร ตัวตนของเขาเป็นใคร?” มันคงจะง่ายกว่าที่จะหาเขาหลังจากที่ได้รู้ตัวตนของเขา
“น้องหก เธอไม่รู้เหรอว่าดราก้อนมาสเตอร์คือใคร?!! เธอรู้จักเขาดีนะ…” พี่ใหญ่ขมวดคิ้วและถามออกไป
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ฉันรู้แค่ชื่อเขาและฉันรู้ว่าเขาเป็นเจ้านายหลงอี้แต่ไม่รู้ตัวตนจริงๆของเขา ฉันไม่รู้แล้วก็หาไม่เจอด้วย…ถ้าพวกเธอรู้ก็บอกฉันมาเถอะ โอเคไหม? เขาหายตัวไป ฉันหาเขาไม่เจอ…” น้ำเสียงของเธอฟังดูโดดเดี่ยว
“บอกเธอน่ะบอกได้ ยังไงซะเธอก็รู้ว่าเขาคือดราก้อนลอร์ด แต่ถึงแม้เธอจะรู้ตัวตนของเขา เธอก็หาเขาไม่เจอหรอก” พี่ใหญ่พูด “ดราก้อนลอร์ดคือผู้นำของดราก้อนพาวิลเลี่ยน ฉันไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินชื่อดราก้อนพาวิลเลี่ยนไหม?”
“ดราก้อนพาวิลเลี่ยนงั้นเหรอ?!! นี่นายกำลังพูดถึงดราก้อนพาวิลเลี่ยนที่เป็นเจ้าครองโลกงั้นเหรอ?” ดวงตาของ มู่หรงเสวี่ยเบิกกว้าง
ทั้งห้าพยักหน้าพร้อมกัน
มู่หรงเสวี่ยทรุดลงไปกับเก้าอี้ แม้เธอจะรู้ว่าเขาไม่ธรรมดาแต่ก็ไม่เคยคิดว่าสถานะของเขาจะสำคัญขนาดนี้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงไม่มีเบาะแสของเขาเลย
“ฉันจะเจอเขาได้ยังไง? พวกนายต้องรู้แน่ใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“รู้ แต่มันก็เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
“เธอบอกมาเถอะ ไม่ว่ามันจะยากสักแค่ไหนฉันก็จะพยายามอย่างที่สุด…” เธอไม่อยากที่จะถอยหลังอีกแล้ว
“มีเพียงผู้บังคับบัญชาการเท่านั้นที่จะเจอดราก้อนมาสเตอร์ได้ ถึงแม้ข้างนอกพวกเราจะดูน่าเคารพนับถือแต่กลับไม่มีชื่อเสียงอะไรเลยในดราก้อนพาวิลเลี่ยน เธอจะไม่ได้เจอดราก้อนมาสเตอร์นอกจากเธอจะเป็นผู้บังคับบัญชาการ…” พี่ใหญ่ค่อยๆอธิบาย
“แต่ฉันไม่ใช่คนของดราก้อนพาวิลเลี่ยน…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบากว่าเดิม
“เราแนะนำเธอเข้าไปได้! อย่างไรก็ตามถ้าเธออยากที่จะเข้าไปในดราก้อนพาวิลเลี่ยน เธอก็ยังต้องผ่านการทดสอบก่อน…และถึงแม้เธอจะเข้าไปได้ เธอก็ต้องเริ่มจากระดับล่างสุดของทหารมังกรจนกว่าจะเสร็จภารกิจ แถมภารกิจก็อันตรายมากและบางทีก็อาจจะถูกฆ่าได้ทุกเวลาด้วย…งั้นเธอยังอยากที่จะเข้าไปอยู่ไหมเสี่ยวหลิว?”
มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างชัดเจน “ฉันอยากจะเข้าไป ช่วยแนะนำให้ฉันด้วย” ไม่ว่ามันจะยากมากแค่ไหน เธอก็จะไม่ยอมแพ้ เธอไม่ต้องการอะไรตอบแทน เธอแค่ต้องการที่จะบอกเขาว่าสิ่งที่เธอพูดคืนนั้นมันไม่จริง
หลังจากเวลาผ่านไปนาน พี่สองก็พูดออกมาช้าๆ “อันที่จริง ยังมีอีกทาง”
“นายหมายถึง…นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย…” พี่ใหญ่ขมวดคิ้วและพูดออกมา
“แต่อย่างน้อยเธอก็มีหวังที่จะได้เจอดราก้อนมาสเตอร์ไม่ใช่เหรอ?” พี่สองพูดตรงกันข้าม
“วิธีอะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ไปเป็นหมอที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยน ตราบใดที่ทักษะทางการแพทย์ของเธอดีกว่าหมอหลงคนอื่นๆ เธอก็จะได้เจอกับดราก้อนมาสเตอร์ อย่างไรก็ตามถึงแม้เสี่ยวหลิวจะได้รับการยอมรับในฐานะลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ไป๋ ฉันก็กลัวว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอจะยังไม่เก่าเท่าพวกหมอหลงคนปัจจุบันนะ…” พี่ใหญ่พูดออกมาเสียงเบาและเขาก็พูดเรื่องจริง หมอหลงที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนแทบจะเป็นสุดยอดของโลก
ทักษะทางการแพทย์งั้นเหรอ?!!! ดวงตาของมู่หรงเป็นประกายและรีบพูดออกมา “ฉันอยากที่จะเป็นหมอมังกร (หลง)!!! แล้วฉันจะได้เป็นหมอมังกรได้ยังไง?”
ไม่เหมือนทีมอื่นๆ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในดราก้อนพาวิลเลี่ยนก่อนอื่นจะต้องถูกแนะนำให้คณะรัฐมนตรีก่อนแล้วพวกเขาก็จะถูกทดสอบ หลังจากที่ผ่านการสอบ พวกเขาก็จะกลายเป็นหมอของดราก้อนพาวิลเลี่ยน อย่างไรก็ตามหลงอี้ของ ดราก้อนพาวิลเลี่ยนเองก็มีสามระดับ หลักๆก็มี A B และC ระดับAคือระดับสูงที่สุดและ C คือระดับล่างสุด มีเพียงระดับA เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เจอกับดราก้อนมาสเตอร์
หลังจากที่ฟังคำอธิบายของพี่ใหญ่แล้ว มู่หรงเสวี่ยก็เริ่มที่จะเข้าใจดราก้อนพาวิลเลี่ยนมากขึ้น
สมาชิกของแก๊งห้าอยากที่จะพูดโน้มน้าวมู่หรงเสวี่ยเพราะดราก้อนพาวิลเลี่ยนไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้เข้าสอบ ถึงแม้พวกเขาจะได้รับการแนะนำ แต่ถ้าไม่ผ่านการประเมินก็อาจจะถูกลงโทษ และคนธรรมดาก็ไม่น่าที่จะทนการลงโทษนี้ได้ นี่ยังเป็นการกันพวกคนที่ไม่มีความสามารถที่จะเข้ามาในดราก้อนพาวิลเลี่ยนด้วยอีกทาง
อย่างไรก็ตามถึงแม้พวกเขาจะพูดเรื่องแย่ๆทั้งหมดไปแล้วแต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังคงยึดมั่น แถมพวกเขาก็ทนที่จะปฏิเสธความตั้งใจของเธอไม่ได้ด้วย สุดท้ายหี่ใหญ่ก็พยักหน้าและตกลงที่จะช่วยแนะนำมู่หรงเสวี่ยให้คณะรัฐมนตรี
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่มู่หรงเสวี่ยได้ฟัง ตราบใดที่มันเป็นไปได้ เธอก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆถึงแม้มันจะเป็นเพียงโอกาสเล็กๆก็ตาม
หลังจากที่เลิกเรียนมู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะคุยกับ ฮวงเสี่ยวเฟ่ย เธอยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความสัมพันธ์ระหว่างฮวงเสี่ยวเฟ่ยกับชายวัยกลางคนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา เธอเป็นห่วงเธอ เธอไม่ควรที่จะถูกปฏิบัติหรือต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนั้น
ในระหว่างวัน ชุดของฮวงเสี่ยวเฟ่ยต่างไปจากเมื่อคืนมาก ถึงแม้เสื้อผ้าของเธอจะเป็นแบรนด์ดังเหมือนกัน แต่สไตล์ก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง วันนี้เธอมาเรียนโดยสวมชุดกระโปรงสีขาวราวกับเจ้าหญิงและการแต่งหน้าก็บางเบา เธอมีกิ๊ฟติดผมน่ารักและสวมรองเท้าส้นเตี้ยซึ่งทำให้เธอดูน่ารักและบริสุทธิ์
ในความคิดของมุ่หรงเสวี่ย ชุดพวกนี้ดูเหมาะกว่าชุดเมื่อคืนมาก
“เสี่ยวเฟ่ย ประธานนักเรียนของเธอแวะมาหาน่ะ…” เด็กสาวร้องบอก
“ว้าว ความหวานของสองคนนี้หวานจนตาฉันแทบบอดแล้วนะ…” เพื่อนอีกคนพูดอย่างเห็นด้วย
“หัวใจของฉันแตกเป็นเสี่ยงๆเลย…” เด็กหนุ่มจับไปที่หน้าอก แกล้งทำท่าเป็นเศร้า
“ไปไกลๆเลย เสี่ยวเฟ่ยสวยขนาดนี้ แน่นอนต้องประธานเท่านั้นแหละถึงจะคู่ควร…”
“…”หลังจากที่ได้เห็นหลิวฮัวลี่ นักศึกษาที่อยู่รอบๆ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยต่างก็พูดแซวกันใหญ่ หลังจากเลิกเรียน เสียงของพวกเขาจึงดังอยู่สักหน่อยจนมู่หรงเสวี่ยได้ยินอย่างชัดเจน
“อย่ามาแซวฉันสิ เดี๋ยววันนี้ฉันไม่ไปกินข้าวด้วยเลยนะ!” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยอายและพูดออกมาอย่างเขินๆ
เสียงโห่ร้อง “แหม แหม เรารู้น่า เรารู้กันหมดแล้ว!! ไปเลย ไปสิ อย่ามัวแต่เขิน” กลุ่มนักศึกษาเดินไปที่ประตูและแซวเมื่อพวกเขาเดินผ่านหลิวฮัวลี่ หลิวฮัวลี่ไม่ได้โกรธแต่กลับยิ้มตอบทีละคน
มู่หรงลุกขึ้น หลิวฮัวลี่กับฮวงเสี่ยวเฟ่ยคบกันซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเธอมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวเฟ่ยเมื่อคืนล่ะ?!! ในเมื่อคบอยู่กับหลิวฮัวลี่แล้วงั้นทำไมยัง…
เธอเดินตรงไปที่ประตูที่หลิวฮัวลี่ยืนอยู่และกล่าวทักทาย “หลิวฮัวลี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
“เสี่ยวเสวี่ย ไม่เจอกันนานเลย! สวยเหมือนเดิมเลยนะ” หลิวฮัวลี่เองก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่เก่งเหมือนรุ่นพี่หรอกนะที่ได้สาวสวยขนาดนี้นะ!” มู่หรงมองไปที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่กำลังเดินมาทางนี้และพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม
หลิวฮัวลี่แตะไปที่หัวตัวเองด้วยความเขิน และสีหน้าของเขาก็หวานมาก “เธอรู้ด้วยเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยบ่นเบาๆ “ฉันไม่รู้หรอก เพิ่งรู้จากเสียงคุยกันดังเมื่อกี้นี้แหละ ถึงฉันอยากจะรู้แต่ก็รู้ไม่ได้หรอก…ฉันไม่ได้สำคัญอะไรก็แค่แม่สื่อถึงได้รู้เป็นคนสุดท้าย…”
หลังจากนั้นแก๊งทั้งห้าก็เดินเข้ามาด้วย “น้องหก พวกเราคิดถึงฝีมือทำอาหารของเธอแล้ว พร้อมที่จะไปกินที่บ้านเธอแล้วนะ”
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและพูดออกไป “โอเค มาเลย ฉันก็เบื่อที่จะกินคนเดียวเหมือนกัน อยากจะไปด้วยกันไหมเสี่ยวลี่?” มู่หรงออกปากชวน
ในตอนนี้ฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่เดินเข้ามาด้วย จับที่แขนของ ฮัวลี่และถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม “คุยอะไรกันอยู่เหรอ?! หัวเราะกันสนุกเชียว…”
หลิวฮัวลี่มองอย่างอ่อนโยนไปที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ย ความรักในสายตาเขาปกปิดไว้ไม่มิด “เสี่ยวเสวี่ยชวนเราไปกินข้าวที่บ้านเธอด้วยกัน”
รอยยิ้มของฮวงเสี่ยวหลี่หยุดไปเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็น มือที่กำลังจับอยู่ที่มือของหลิวฮัวลี่ก็บีบแน่นขึ้นด้วยเล็กน้อย หลิวฮัวลี่สังเกตเห็นทันทีและถามออกไปเสียงเบา “เป็นอะไรเหรอเสี่ยวเฟ่ย?”
“เปล่าหรอก ก็แค่มันคงไม่ดีเท่าไรที่เราจะไปรบกวน เสี่ยวเสวี่ยแบบนั้น…” เธอผ่อนแรงลงและพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม
“เป็นอะไรเหรอ? ทุกคนก็เพื่อนกันทั้งนั้น ไม่รบกวนเลยสักนิด อีกอย่างยังไงฉันก็ต้องทำอาหารอยู่แล้ว มันก็คงไม่ต่างอะไรมากถ้าจะเพิ่มคนอีกหน่อย มาเถอะคนยิ่งเยอะก็ยิ่งสนุกนะ…” เธอเองก็อยากที่จะถามเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย เธอเป็นห่วงอยู่นิดหน่อย
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ!” หลิวฮัวลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้สังเกตท่าทางของฮวงเสี่ยวเฟ่ยเลยว่าเธออยากที่จะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็ไปที่บ้านมู่หรงเสวี่ยกัน ต้องพูดเลยว่ารูปร่างหน้าตาของคนทั้งแปดดูดีกันมากเลยจริงๆ จึงดึงดูดสายตาของคนทั่วไปตามท้องถนนได้อย่างมากเลย
ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเคยชินกับการเป็นที่จับตามองแล้วซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนที่มักจะรู้สึกเขินอาย เธอรู้ว่าตัวเองสามารถที่จะสวยและมั่นใจได้เหมือนกับมู่หรงเสวี่ย เธอไม่ต้องฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงอีกแล้วเพราะตอนนี้เธอคือเจ้าหญิงแล้ว แถมเธอยังได้เจอกับเจ้าชายรูปงามของตัวเองอีกด้วย วันนี้ช่างเป็นวันที่วิเศษสำหรับเธอจริงๆ
แก๊งทั้งห้าและฮวงเสวี่ยเฟ่ยเคยมาที่บ้านของมู่หรงเสวี่ยแล้วดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร มีเพียงหลิวฮัวลี่เท่านั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่ามู่หรงเสวี่ยรวยขนาดนี้ เขาคิดว่าเธอเป็นแค่ลูกเศรษฐีธรรมดาๆทั่วไป ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะก้าวออกจากคำว่าธรรมดาไปสู่ตระกูลขุนนางซะแล้ว และราคาของบ้านนี่อย่างน้อยก็น่าจะหลายร้อยล้านหยวนเลยทีเดียว
“รุ่นพี่ อย่ามองวิลล่าฉันราวกับเห็นผีแบบนั้นสิ?!!” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
หลิวฮัวลี่ดึงสติกลับมาได้แล้วแต่สีหน้าก็ยังมีความเขินอยู่นิดๆ ตรงกันข้ามเขากลับพูดออกมาอย่างสบายๆ “ฉันแค่กลัวกับความธรรมดาของเธอจริงๆ ดูเหมือนว่าอีกนานเลยกว่าจะเคยชิน…”