บทที่ 186 มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 186
มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง

“เชิญนั่งกันตามสบายเลยนะไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวฉันไปเตรียมอาหารก่อน…” พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนกันหมดดังนั้น มู่หรงเสวี่ยจึงต้อนรับพวกเขาอย่างสบายๆ

“เสี่ยวเฟ่ย เธอเคยมาบ้านเสี่ยวเสวี่ยแล้วเหรอ?” หลิวฮัวลี่หันหัวมาถามฮวงเสี่ยวเฟ่ย เขาเห็นว่าเธอรู้ที่เก็บรองเท้าและเปลี่ยนอย่างเป็นธรรมชาติ มันดูสบายๆมาก ดูเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมาที่นี่

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยหยิบรองเท้าออกมาและกำลังสวมแต่ก็ต้องสะดุดนิ่ง หลังจากที่นิ่งไปเธอก็พูดออกมา “อ่อใช่ ก่อนหน้านี้ฉันเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง…”

“ใช่ ดูเหมือนพวกเธอจะสนิทกัน ตอนที่เราไปสเกตด้วยกันก่อนหน้านี้พวกเธอสองคนก็ไปด้วยกัน” หลิวฮัวลี่พูด
ฮวงเสี่ยวเฟ่ยยิ้มเกร็งๆ “งั้นเหรอ?”
แก๊งทั้งห้าแทบจะไม่คุยกับคนอื่นเลย เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ดังนั้นฮวงเสี่ยวเฟ่ยและหลิวฮัวลี่จึงนั่งด้วยกันในขณะที่แก๊งทั้งห้าแยกมานั่งด้วยกันอีกที่

มู่หรงเสวี่ยเตรียมอาหารพร้อมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ให้กับภาพที่เห็นแต่เธอเองก็รู้นิสัยของแก๊งทั้งห้าดี แน่นอนว่าเธอไม่บังคับพวกเขาอยู่แล้ว

หลังจากนั้นหลังจากที่ดื่มและกินอาหารกันเรียบร้อย
มู่หรงเสวี่ยก็เดินไปหาฮวงเสี่ยวเฟ่ยและพูดออกไป “เสี่ยวเฟ่ย ฉันขอคุยด้วยตามลำพังหน่อยได้ไหม?” แล้วเธอก็หันไปพูดกับหลิวฮัวลี่ “รุ่นพี่ ขอโทษนะ ฉันขอยืมตัวเสี่ยวเฟ่ยหน่อยนะ…”

หลิวฮัวลี่เขินนิดหน่อยแล้วตอบออกมา “คือ…เอิ่ม…” อันที่จริงนี่เป็นรักแรกของเขาแต่เขาก็จริงจังและมีแผนที่จะเชิดชู ฮวงเสี่ยวเฟ่ยไปตลอดชีวิตเขา อย่างไรก็ตามเวลาที่มีคนแซว เขาก็ยังรู้สึกเขินอยู่หน่อยๆ

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเดินตามมู่หรงเสวี่นขึ้นไปที่ห้องหนังสือชั้นบน

มู่หรงเสวี่ยล็อกประตูห้องหนังสือด้วยหลังมือแล้วหันมาเผชิญหน้ากับฮวงเสี่ยวเฟ่ย “เสี่ยวเฟ่ย มานั่งนี่สิ ฉันอยากจะคุยอะไรกับเธอหน่อย…”เธอเดินนำไปนั่งที่โซฟาในห้องหนังสือ

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเดินไปและพูดออกมาว่า “เสี่ยวเสวี่ย เธอจะถามถึงเรื่องที่เธอพยายามโทรมาเมื่อวานหรือเปล่า?! อันที่จริงฉันทำบางอย่างอยู่ก็เลยไม่สะดวกแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรและไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบาย งั้นจะพูดอะไรเหรอ…” เธอเสยผมหนานุ่มและพูดพร้อมรอยยิ้ม

มู่หรงเงียบไปนานแล้วจึงพูดออกมา “เมื่อคืน ฉันเห็น…” หลังจากนั้นเธอก็จ้องตรงไปที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ย

มือของฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่กำลังเสยผมสะดุดนิ่ง “เห็น…เธอเห็นอะไรเหรอ?”

“ฉันเห็นเธอกับชายวัยกลางคนอยู่ด้วยกัน…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา

สีหน้าของฮวงเสี่ยวเฟ่ยเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและร่างกายของเธอก็เริ่มสั่น เธอมองไปที่มู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาอย่างลนลาน “เสี่ยวเสวี่ย มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ ฉันอธิบายได้…”

“ใจเย็นก่อน ฉันไม่ได้จะถามอะไรเธอ ฉันแค่เป็นห่วงเธอ…” มู่หรงเห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะปลอบใจ

“เสี่ยวเสวี่ยอย่าบอกใครนะ ฉันขอร้องล่ะ…” ในใจของ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยวุ่นวายไปหมดและเรื่องที่เธอกลัวมากที่สุดคือการถูกเปิดโปงในตอนนี้ซึ่งทำให้เธอสงบใจไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอาแต่อ้อนวอนมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยจับมือเธอและพูดอย่างกังวล “ฉันไม่พูดหรอก ฉันแค่เป็นห่วงเธอ เธอกำลังลำบากหรือว่าถูกข่มขู่อะไรอยู่หรือเปล่า?”

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเอาแต่สะอื้น เธอคิดว่ามันคงจบแล้ว เธอนึกถึงสายตาของทุกคนที่มหาลัยว่าจะมองเธอยังไง และหน้าก็เธอก็ซีดขึ้นเรื่อยๆ “ผู้ชายคนนั้นก็แค่คนรู้จัก…” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยกัดปากและพูดออกมา มู่หรงเสวี่ยแค่บอกว่าเห็นพวกเธอเท่านั้นแต่ไม่ได้เห็นว่าพวกเธอทำอะไรกัน เธอคงทำอะไรไม่ได้

เธอขมวดคิ้วแต่เมื่อเธอเห็นท่าทางของฮวงเสี่ยวเฟ่ยในตอนนี้ เธอก็ไม่กล้าที่จะถามเซ้าซี้ “คนรู้จักแบบไหนกันเหรอ? ฉันเห็นเธอจูบเขาที่แก้มด้วยนะ…”

สีหน้าของฮวงเสี่ยวเฟ่ยซีดเข้าไปอีก “เขาเป็นลุงของฉัน…แค่จูบกันที่แก้ม ก็เหมือนที่พวกฝรั่งชอบทำกันไม่ใช่เหรอ?”

แต่นี่ไม่ใช่ที่เมืองนอกไง! มู่หรงเสวี่ยตัดสินใจที่จะเปิดใจและพูดออกไปจะดีกว่า ยังไงซะถ้าที่มหาลัยรู้เรื่องนี้เข้า เธอก็อาจจะถูกไล่ออกได้ “เสี่ยวเฟ่ย บอกความจริงฉันมา เขาไม่ใช่ลุงของเธอ ฉันเห็นว่าเขาจับก้นเธอ…”

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเบิกตากว้างและมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ต่อหน้าเธอก็ยังคงสวยอย่างมาก เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ยขนาดนี้ เธอจับมือมู่หรงเสวี่ยและพูดออกไปด้วยเสียงดังลั่น “เธอรู้ดีอยู่แล้ว แล้วจะยังถามฉันอยู่อีกทำไม?! เธอสูงส่งมาจากไหนเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยตกใจและดูเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพักเธอก็อธิบายออกมา “มันไม่ใช่แบบนั้น ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ? ฉันก็แค่เป็นห่วงเธอ เธอไม่รู้หรือไงว่าผลมันจะเป็นยังไงถ้าทางมหาลัยรู้เรื่องนี้เข้า?”

“แล้วทางมหาลัยจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ? ฉันระวังอย่างมากในทุกครั้ง…” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยพูด

“งั้นฉันจะรู้ได้ยังไงถ้าฉันไม่ได้เห็น…”
“ใช่ไง ถ้าทางมหาลัยรู้มันก็ต้องมาจากเธอ ในหัวใจเธอเกลียดฉันและรู้สึกว่าเด็กสาวแบบฉันมันเลวใช่ไหม?” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยพูดถึงตัวเอง กึ่งเยาะเย้ยและกึ่งประชดประชัน

มู่หรงเสวี่ยมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ “เธอมันบ้าไปแล้วจริงๆ เธอกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไง!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันเป็นแบบนี้ได้ยังไงงั้นเหรอ?! แน่นอนเธอไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่ทุกคนที่แค่เอื้อมมือออกไปแล้วก็ได้ทุกอย่างอย่างที่ฝันเหมือนกับเธอหรอกนะ” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยยิ้มพร้อมน้ำตา

“เธอเห็นผมที่สวยงามของฉันไหม เสื้อผ้าราคาแพง เล็บนี่ก็ถูกตัดแต่งอย่างประณีต เครื่องเพชรที่คอฉัน พวกนี้ต่างก็ต้องใช้เงิน แล้วถ้าไม่มีเงินฉันจะสวยได้ยังไง ก่อนหน้านี้ฉันสวยไหมล่ะ?!! เสื้อผ้าก็สกปรก ผมก็รุงรังและผิวก็หยาบกร้าน เวลาเดินในฝูงชนแทบไม่มีใครอยากที่จะมองฉันเลย…” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยรู้สึกว่าตัวเองถูกวัตถุครอบงำ

มู่หรงเสวี่ยไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเฟ่ยจะสนใจเรื่องพวกนี้มากขนาดนี้ “เสี่ยวเฟ่ย ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก แค่เขาคนเดียวก็พอแล้ว…”

“พองั้นเหรอ?! มันจะพอได้ยังไง?! ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเงินมันหาง่ายขนาดนี้ แล้วทำไมฉันต้องไปทนนั่งล้างจานอยู่อีกล่ะ?” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยในตอนนี้ไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกเหมือนกับในตอนแรกแล้ว ความทะเยอทะยานของเธอถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ยังไงซะมู่หรงก็รู้ทุกอย่างแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังอะไรอีก

มู่หรงเสวี่ยมีสีหน้าเย็นชา “เธอหมายความว่าต่อไปเธอก็จะยังทำแบบนี้อยู่ใช่ไหม?”

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยมองสายตาที่เย็นชาของมู่หรงเสวี่ย หัวใจเริ่มที่จะสั่นอย่างอธิบายไม่ได้แต่ก็ยังยืดหลังตรงและพูดออกมาอย่างดื้อรั้น “เธอคิดว่าฉันผิดมากงั้นเหรอ?! ฉันไม่ได้ไปขโมยเงินใครมานิ!” เธอก็แค่แลกร่างกายตัวเองเพื่อเงิน ทำไมจะทำไม่ได้

ในวันนั้นหลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลและกลับไปที่มหาลัย ไม่ช้าเธอก็แยกกับพวกรุ่นพี่ เธอสวยมากจนไม่อยากที่จะกลับไปง่ายเธอจึงนั่งแท็กซี่ไปย่านถนนที่หรูหราที่สุด เธอไม่ได้ทำอะไรเลยเพียงแค่เดินเงียบๆไปตามถนน ผู้คนต่างก็มองมาที่เธอกันตลอดทางและความชื่นชมในสายตาของพวกเขาก็ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจ เดิมทีเธอเพียงแค่อยากจะสนุกไปกับที่มหาลัยแต่จู่ๆก็มีผู้ชายเดินเข้ามา

“คุณครับ มาคนเดียวเหรอครับ?” ชายคนนั้นอายุประมาณสามสิบ แต่งตัวในชุดสูทหนัง พร้อมด้วยสร้อยทองเส้นหนาที่ร่างกาย

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ยได้รับการยกย่องจึงรู้สึกภูมิใจอยู่เล็กๆและยืดอยู่หน่อยๆ เหมือนกับนกยูงที่ภูมิใจในขนห่างของมันเพื่อปกปิดชีวิตที่สิ้นหวัง “มีอะไรเหรอคะ?”

ชายคนนั้นยื่นมือออกมาและกอดเข้าที่เอวของ ฮวงเสี่ยวเฟ่ย แล้วก็พูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มาคนเดียวจะสนุกอะไรล่ะ? ผมจะพาคุณไปที่สนุกๆดีกว่านะ”

ในตอนนั้นฮวงเสี่ยวเฟ่ยเองก็กลัวอยู่นิดหน่อย เธอพยายามที่จะหลบด้วยความตกใจจึงร้องออกไปว่า “คุณจะทำอะไร?! ปล่อยฉันนะ! ถ้าไม่ฉันจะร้องแล้วนะ”

ยังไงซะนี่ก็เป็นย่านที่พลุกพล่านและก็มีคนเดินเข้าออกมากมาย เสียงตะโกนที่ดังทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มที่จะหันมายืนมอง หลังจากเสียงกร่นด่าเบาๆ ชายคนนั้นก็ปล่อยมือแล้วพูดออกมา “โอ้ ไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้น?”
ฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่กำลังจะร้องไห้ก็พูดออกมาอย่างประหม่า “คุณ…คุณมันบ้า…ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ”

ชายคนนั้นโยนบุหรี่ทิ้งและพูดออกมาว่า “มีที่อยู่หรือยังล่ะ?”

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยลนลานมากและรีบหันไปทางอื่นทันทีและอยากที่จะวิ่งหนี อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของชายคนนั้นเร็วกว่า เขารีบจับเธอไว้ทันที “เป็นอะไร? ฉันไม่ใช่คนเลวนะ…”

“จะปล่อยฉันหรือว่าจะให้ฉันร้อง” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยตะโกนถาม

ชายคนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม “อยากได้เงินหรือเปล่า?!”
“อะไร อะไรนะ?” เมื่อได้ยินคำว่าเงิน ฮวงเสี่ยวเฟ่ยก็แกล้งทำเป็นใจเย็นและถามออกไป

ชายคนนั้นแตะไปที่หน้าของฮวงเสี่ยวเฟ่ยและพูดออกมาว่า “สวยขนาดนี้! น่าจะต่อราคาได้งามเลย!! รู้ไหมมีข้อเสนอมาให้นะ คืนเปิดซิงและถ้าเธอมีลูกค้าดีๆ เธอก็อาจจะได้หลายล้านเลยนะ…”

สีหน้าของฮวงเสี่ยวเฟ่ยซีดเผือด “ไปให้พ้นเลยนะ ฉันไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก!”

ชายคนนั้นไม่ได้โกรธ เขาหยิบนามบัตรออกมาและใส่ไว้ในมือของฮวงเสี่ยวเฟ่ย “ถ้าเธอต้องการ ก็มาหาฉันได้เลย” แล้วเขาก็จากไป

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นก็ทรุดลงไปร้องไห้ ดึงดูดสายตาของคนที่ผ่านไปผ่านมาให้หยุดมอง

ทำไมเธอต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยเพราะเธอไม่มีเงินงั้นเหรอ?!! เธอนึกได้ว่าถ้านี่เป็นมู่หรงเสวี่ยก็คงไม่มีใครกล้าพูดกับเธอแบบนี้หรอก…โลกมันช่างไม่ยุติธรรม

เธอกำนามบัตรในมือแน่นแต่ก็ไม่ได้โยนทิ้ง
สองวันต่อมาพ่อของเธอก็ป่วยหนักและเพราะการเงินของที่บ้านทำให้ทำได้เพียงนอนอยู่ที่บ้านเท่านั้นและมีเพียงกองเสื้อผ้าสุดหรูที่ถูกพับอย่างระวังเท่านั้นที่ทำให้เธอเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าอยู่ในหัวใจ

หลังจากนั้นเธอก็หยิบนามบัตรออกมาและกดโทรออก