ตอนที่ 152 นังคนไม่รู้จักความสงบเสงี่ยม

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

อีกเพียงแค่ครึ่งเดือนก็จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันคึกคักขึ้นมา 

 

 

ขณะเดียวกันข่าวของซูกุ้ยเฟยก็แพร่สะพัดออกไปถึงนอกวังแล้ว 

 

 

ชาวเมืองหลวงต่างก็ปรบมือด้วยความยินดี ขอบคุณเทวดาฟ้าดิน ในที่สุดฝ่าบาทก็ลืมพระเนตร รู้จักโปรดปรานพระสนมบ้างแล้ว 

 

 

ก่อนหน้านี้ข่าวลือต่างก็แพร่สะพัดกันไปทั่ว ว่าฝ่าบาททรงถูกไทเฮาล่อลวงจนสูญเสียกระทั่งพระวิญญาณไปแล้ว 

 

 

โปรดปรานพระสนมหรือ ดีเลย จะได้ทำให้ไทเฮาต้องถอดใจอย่างไร้ทางเลือก 

 

 

ดูท่ารอจนถึงปีหน้า ท้องของซูกุ้นเฟยก็คงจะมีสัญญาณอะไรออกมาบ้างแล้วละมั้ง? 

 

 

พวกเขาต่างก็รอคอยองค์ชายและองค์หญิงด้วยใจจดจ่อมานานแล้ว 

 

 

………………………… 

 

 

หยวนเฟยเตร็ดเตร่อยู่นอกวังมาหลายวันแล้ว หลายปีก่อนนั้นพระบิดาเป็นฝ่ายตัดสินพระทัยมาสวามิภัคดิ์กับต้าโจวด้วยพระองค์เอง อีกทั้งพระบิดายังเคยช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้เอาไว้ ดังนั้นในแคว้นต้าโจว ชาวหนานเจียง (ชาวแดนใต้) จึงมีอิสระอยู่พอสมควร 

 

 

ในเมืองหลวงก็มีชาวหนานเจียงทำมาค้าขายอยู่ค่อนข้างมาก 

 

 

บนถนนทิศเหนือมีตลาดนัดกลางคืนอยู่แห่งหนึ่ง แถบนั้นเป็นแหล่งรวมตัวของชาวเผ่าต่างๆ ในแคว้นต้าโจว นางเองก็มาเตร่อยู่แถวนี้เป็นวันที่สามแล้ว เพื่อจะตามหาหมอผีที่เชื่อถือได้ 

 

 

เพื่อเบี้ยเลี้ยงของนางในปีหน้านางย่อมต้องทุ่มเทอย่างยิ่งแล้ว 

 

 

ดังนั้นค่ำคืนนี้ นางจึงมาอีกครั้ง 

 

 

ท้องฟ้าพึ่งจะมืดค่ำ ทั่วทั้งตลาดกลางคืนก็สว่างไสวขึ้นมา 

 

 

แสงโคมแวววาม เรืองรองระยิบระยับ 

 

 

หยวนเฟยแต่งกายเช่นสาวน้อยชาวหนานเจียง เมื่ออยู่ในตลากนัดย่อมเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว 

 

 

นางใช้ผ้าปิดบังโฉมหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากแดงเรียบลื่นดุจไข่มุกทั้งบนล่าง ดวงตาดำกลมโตงดงามเรืองรองเช่นเดียวกับแสงโคม ยิ่งดูน่าหลงใหล 

 

 

ในตลาดกลางคืนมีลมโชมมาเป็นระยะ เมื่อลมพัดมาแต่ละที กระดิ่งในตลาดกลางคืนก็ส่งเสียงกรุ้งกริ๋งไปตามลม 

 

 

หยวนเฟยประทับยืนอยู่ข้างร้านริมทางที่ขายตัวหนอนตากแห้ง ฟังเสียงกระดิ่งลมที่ลอยมา ทำให้นางอดที่จะคิดถึงค่ำคืนในแดนหนานเจียงของพวกนางไม่ได้ 

 

 

ฤดูหนาวของหนานเจียงมิได้หนาวเย็นรุนแรงเช่นเมืองหลวง ยามค่ำคืนพวกเขามักจะก่อกองไฟ ผู้คนต้างจับมือกับและกันร้องเพลงเต้นรำไปรอบๆ 

 

 

บนข้อมมือและข้อเท้าของบรรดาสาวน้อยล้วนพระดับไว้ด้วยกระพรวน ยามที่เต้นรำก็จะเกิดเสียงเช่นเดียวกันกับกระดิ่งลมเหล่านี้ น่าฟังยิ่งนัก 

 

 

ยามนั้นทุกๆ ที่ล้วนเปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะ ทั้งยังคึกคักสนุกสนานเสียยิ่งกว่าตลาดนัดแห่งนี้เสียอีก 

 

 

หากว่าท่านพ่อมิได้สิ้นไป หากว่านางยังมิได้เข้าวังมา ยามนี้นางก็สมควรจะอยู่ที่หนานเจียง ยังคงเป็นเช่นเด็กสาวที่มีแต่ความสุขและสดใส 

 

 

 

 

 

ยิ่งคิดไปๆ มุมปากของนางก็ยิ่งปรากฎยอยยิ้มขึ้นมา 

 

 

เจ้างูเขียวเลื้อยลงมาจากข้อมมือของนางพันตัวลงไปบนท่อนแขนเพื่อจะนอนหลับ สายพันธุ์ของมันนี้ต้องการการพักผ่อนมาเป็นพิเศษ 

 

 

ตัวมันเองก็มิได้นอกเหนือไปเช่นกัน 

 

 

หยวนเฟยประทับยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็มองเห็นเงาร่างของคนที่ดูคุ้นเคยอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะแต่งกายเชกเช่นคนธรรมดา แต่จากใบหน้านั้น นางสามารถจดจำได้ในทันที นั่นคือองค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ? 

 

 

องค์หญิงใหญ่ที่สูงศักดิ์ เสด็จมาทำอะไรในตลาดนัดกลางคืนกัน? 

 

 

หยวนเฟยมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าที่ข้างกายขององค์หญิงใหญ่นั้นไม่มีผู้ติดตามเลยสักคน 

 

 

นางจึงตามหลังไปด้วยความระมัดระวัง 

 

 

เมื่อถึงท้ายตลาดกลางคืน มีเรือนไม้ที่เก่าจนทรุดโทรมอยูห้องหนึ่ง ที่ด้านนอกของเรือนไม้แขวนธงเก่าๆ สีแดงเลือดที่ดูสะดุดตา หยามเฟยเห็นแล้วพาลรู้สึกขนลุกขึ้นมา ราวกับว่าที่แขวนอยู่นั้นมิใช่ธง แต่ว่าเป็นหัวคนผู้หนึ่ง 

 

 

องค์หญิงใหญ่พึ่งจะเสด็จถึงปากประตูของเรือนไม้นั้น ยังไม่ทันจะเข้าไป หยวนเฟยก็อาศัยดวงตาที่ว่องไวมือเท้าที่รวดเร็ว คว้าพระองค์กลับออกมาก่อน 

 

 

เมื่อดึงออกมาได้ นางก็พบว่าพระหัตถ์ขององค์หญิงใหญ่นั้นเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งอีก 

 

 

เย็นเสียจนหยวนเฟยยังสะดุ้ง นางเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ ก็เห็นว่าแววตาของพระองค์นั้นว่างเปล่า 

 

 

ราวกับว่าได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว และก็เหมือนดั่งหลุมดำที่มืดมิดที่คอยจะดึงดูดนางให้หล่นลงไป 

 

 

หยวนเฟยชะงักไปเล็กน้อย ยังไม่ทันได้มีปฎิกิริยาเช่นไร ก็พลันรู้สึกว่าที่เบื้องหน้านั้นดำมืด หัวสมองมึนเพราะถูกคนใช้ถุงเหวี่ยงเข้าใส่ 

 

 

นางรีบพยายามสงบจิตใจ มือข้างหนึ่งก็เกาะกุมพระหัตถ์ขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ ร่างกายก็ก้าวถอยหลังออกไป มืออีกข้างก็พยายามจะสบัดถุงผ้าสีดำที่ครอบลงมาบนศีรษะ 

 

 

มือของนางพึ่งจะขยับ ก็มีคนเข้ามาจับตัวนางเอาไว้ 

 

 

เป็นบุรุษร่างใหญ่ที่มีเรี่ยวแรงมากมาย 

 

 

หยวนเฟยที่เอวบางร่างน้อย พอถูกบุรุษร่างใหญ่พวกนั้นลงมือเพียงเบาๆ ก็ทำเอานางเห็นแต่ดาวระยิบระยับไปหมด 

 

 

ภายใต้การดิ้นรนที่ไม่อาจต่อต้าน นางก็ถูกควบคุมตัวไว้ในที่สุด ทั้งคนและงูต่างก็ถูกครอบไปทั้งตัว 

 

 

องค์หญิงใหญ่ที่ยืนอย่ด้านข้าง ก็มิได้ส่งเสียงใดๆ เลยตั้งแต่ต้นจนจบ 

 

 

หยวนเฟยถูกครอบศรีษะเอาไว้ ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ เพียงได้ยินพวกที่พยายามจับตัวนางเอาไว้กล่าวว่า ” นายท่าน มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งพยายามจะเข้ามาทำเสียเรื่อง พวกเราจึงช่วยกันจับตัวมาแล้ว “ 

 

 

‘นายท่าน’ ผู้นั้นมิได้สนใจในตัวนาง ผ่านไปอีกพักใหญ่ ถึงได้กล่าวเสียงแหบต่ำออกมาว่า ” นางยังเป็นพรมจรรย์ เก็บเอาไว้ก่อน เอาตัวไปขังไว้ในคุก” 

 

 

“ขอรับ” เหล่าบุรุษร่างใหญ่พวกนั้นรีบเคลื่อนไหว 

 

 

เมื่อผ้าบนศีรษะถูกถอดออกไป หยวนเฟยมองออกไปรอบด้านก็พบแต่ความมืดมิด แสงโคมในตลาดนัดไม่อาจส่องมาถึง 

 

 

องค์หญิงใหญ่ประทับยืนอยู่ข้างๆ ตัวนาง ราวกับถูกสิ่งใดควบคุมเอาไว้ 

 

 

ที่เบื้องหลังของเหล่าคนพวกนั้น มีคนสวมชุดคลุมสีดำอยู่ผู้หนึ่ง ฟังเสียงแล้วคล้ายว่าจะเป็นบุรุษ 

 

 

หยวนเฟยพยายามหรี่ตามองดู แต่น่าเสียดายที่ใบหน้านั้นอยู่ภายใต้ผ้าคลุมจึงมองได้ไม่ชัดเจน 

 

 

ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ในเมืองหลวงแท้ๆ กลับมีคนกล้าทำตัวเป็นโจรเรียกค่าไถ่จับตัวนางมา ทั้งยังเป็นช่วงเวลาปลายปีอีกด้วย 

 

 

พอนางเหลือบตามองดู ก็ได้ยินเสียงคนผู้นั้นพูดว่า ” ควักลูกตาของนางออกมาซะ “ 

 

 

หัวใจของหยวนเฟยก็กระตุกขึ้นมาในทันที ทั้งสองมือสองเท้าของนางล้วนถูดมัดเอาไว้ จึงไม่อาจใช้พิษได้ หวังไฉ่ก็ถูกโยนทิ้งไปด้านหนึ่ง จนร่อแร่ปางตาย ถึงแม้ว่านางจะรู้กับวิชาต่อสู้แบบแมวสามขาอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญกันบุรุษตัวใหญ่ถึงสองคน ก็ถือว่าเสียงเปรียบอยู่ช่วงใหญ่ 

 

 

บุรุษสองคนนั้นล้อมวงเข้ามา คนหนึ่งจับนางกดลงไปบนพื้น อีกคนก็จับใบหน้าของนางขึ้นมา ตระเตรียมจะควักลูกตาของนาง 

 

 

หยวนเฟยพยายามดิ้นรนจนสุดชีวิต กลับถูกบุรุษร่างใหญ่นั้นตบหน้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง กำลังนั้นรุนแรงอย่างที่สุด ทำเอาหัวสมองของนางแทบจะแตกออก เกือบจะหมดลมหายใจไปด้วย 

 

 

เมื่อเห็นว่านางยังเหลือเรี่ยวแรงต่อต้านอยู่ บุรุษผู้นั้นก็ยิ่งตบนางซ้ำไปซ้ำๆ มาอีกหลายหน ตบจนหยวนเฟยรู้สึกมึนงงไปหมด 

 

 

ปากของนางกระอักเลือดออกมา จมูกก็มีเลือดไหลเช่นกัน 

 

 

” นังพวกที่ไม่รู้จักสงบเสงี่ยม หาเรื่องตาย! ” บุรุษผู้นั้นตบตีนางไปก็ด่าทอไปด้วย กระทั่งนางสิ้นฤทธิ์หมดเรี่ยวแรง ไม่อาจส่งเสียงแล้ว ถึงได้หยุดมือ 

 

 

หยวนเฟยปิดตาแน่น ในใจก็รู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังตกนรกแห่งความลำบากอย่างที่สุด 

 

 

นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขัดขืนแล้ว ได้แต่คิดว่าคนต้องจบสิ้นชีวิตแน่แล้ว 

 

 

ฝ่ามือของคนผู้นั้นก็พุ่งลงมาอีก กำลังจะสัมผัสกับดวงตาของนางอยู่แล้ว 

 

 

ในทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่ของเรือนไม้ก็ถูกกระชากออก บุรุษที่ตบตีนางผู้นั้นก็ถูกสับเป็นสองท่อนลงตรงหน้านาง! 

 

 

เลือดสดเหล่านั้นสาดกระเซ็นใส่หน้า ทำเอานางแทบจะจมลงไปในความอุ่นร้อนของเลือดเหล่านั้น ท่ามกลางอากาศของฤดูหนาวที่โหมรุนแรงหัวใจของนางตระหนกจนแทบจะหลุดออกมา 

 

 

ศพของบุรุษที่ถูกสับเป็นสองท่อนนั้นถูกทิ้งเอาไว้ด้านหนึ่ง 

 

 

หยวนเฟยพยายามจะลืมตาขึ้นมา แต่กระทั่งขนตาของนางก็ยังเต็มไปด้วยหยดเลือด 

 

 

เมื่อมองออกไป ภายใต้แสงโคมที่สว่างอยู่นั้น ก็มีเพียงประกายของดาบใหญ่ที่วาววับอยู่ ครู่นึ่งคอยมองเห็นเรือนร่างที่แข็งแกร่งและองอาจนั้น 

 

 

ภายใต้แสงสว่างของตลาดกลางคืน นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขา 

 

 

ในตอนนั้นเองที่นางพยายามอ้าปากเอ่ยเรียกออกไปนั้น ” ช่วยข้า…..” 

 

 

น้ำเสียงของนางยังไม่ทันขาดคำ บุรุษร่างใหญ่กำยำผู้นั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าตัวองค์หญิงใหญ่ขึ้นมา และแขนอีกข้างก็กำลังจะอุ้มนางเอาไว้ 

 

 

มือของบุรุษผู้นั้นยังไม่ทันจะได้สัมผัสนาง ก็เห็นว่าดาบใหญ่ในเมื่อของเขาบินออกไปในทันที แทงทะลุร่างของคนที่กำลังจะเขามาจนร่างลอยไปปักติดบนกำแพง 

 

 

องค์หญิงใหญ่ที่ถูกเขาแบกเอาไว้บนบ่าลื่นตกลงมา บุรุษผู้นั้นก็ชะงักไปในทันที เขารีบรุ่นไปตรงหน้าองค์หญิงโอบนางขึ้นมาในอ้อมอกอีกครั้งอย่างอ่อนโยน