มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 459
ระหว่างที่พูด ผู้อาวุโสหยูเจินก็ผายมือออกมา กระบี่ยุทธ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เมื่อเขาเคลื่อนตัวแสงกระบี่ก็สะท้อนออกมาแล้วล็อกหลัวซิวเอาไว้

หลัวซิวไม่มีทีท่าหวาดกลัว เขายื่นมือออกไปคว้าแสงกระบี่ที่สาดส่องมาเอาไว้ เกิดเสียงแกร๊งดังขึ้น แสงกระบี่แตกละเอียด

ผู้อาวุโสตระกูลหยูยังคงมีสีหน้าดังเดิม “มิน่าเล่าถึงได้หยิ่งผยองนัก ที่แท้ก็ฝึกตนจนถึงร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิแล้ว แต่การฝึกตนก็ยังอยู่ที่ราชายุทธ์เท่านั้น”

พลังบนกระบี่ยุทธ์ปะทุออก ลำแสงเย็นสั่นไหว ผู้คนรู้สึกแทบลืมตัวตนของตัวเองไป ห้วงยุทธ์อันรุนแรงบ้าคลั่งแพร่กระจายออกมา ความแข็งแกร่งของมันราวกับจะผ่าโลกนี้เป็นจุน

“ยอดกระบี่ทลายฟ้า!”

กระบี่ของหยูเจินทั้งรุนแรงและบ้าคลั่ง พลังของมันคือวิชาห้วงยุทธ์ยอดกระบี่ที่เทียบเท่ากับทักษะยุทธ์ระดับ 9

ตระกูลหยูมีผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์นั่งปกครอง ได้รับการสืบทอดวิชายุทธ์ระดับ 9 จึงเป็นพลังปกติอย่างที่ควรจะเป็น

หยูเจินมีความสามารถที่จะต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่ง เพียงแค่ทักษะยุทธ์ขั้น 9 นี้ ต่อให้อีกฝ่ายมีร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิปกป้องร่างเอาไว้ ถ้าไม่ตายก็ต้องเจ็บหนักอย่างแน่นอน

ตู้ม!

เพลิงมรณะระเบิดออกมาจากร่างของหลัวซิว และผนึกรวมกลายเป็นเปลวไฟดำร่างมนุษย์ที่สูงใหญ่ถึง 10 จั้ง

กระบวนท่าที่แสดงออกมาคือดาวจักรพรรดิจรัสม่วงที่ได้รับมาจากตำหนักจื่อ แต่เนื่องด้วยเป็นเพราะการฝึก Attr พลังจิตแท้ ดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงที่หลัวซิวแสดงออกมาจึงไม่ใช่สีม่วง แต่เป็นเปลวไฟสีดำที่ผนึกรวมขึ้นมา

เมื่อภาวนาในใจ ดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงจึงระเบิดออกมา

บึ้ม!

บรรยากาศรอบๆ ถูกพลังฉีกขาดอย่างรุนแรงจนปรากฏเหลือเพียงร่องรอยสีดำ แขนข้างหนึ่งของดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงระเบิดเป็นจุนอย่างรวดเร็ว

ทว่าการโจมตีของหยูเจินก็ถูกขัดขวางเอาไว้ได้เช่นกัน จากนั้นมือดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงอีกข้างก็วาดมือออกไป เกิดเสียงดังกริ๊ก หยูเจินที่รวมเข้ากับกระบี่ก็ลอยคว้างออกไป

“นี่มันทักษะยุทธ์ระดับ 9 แกเป็นใครกันแน่”

หยูเจินประคองร่างเอาไว้ สีหน้าของเขาปรากฏความประหลาดใจพร้อมตะโกนถามออกไป

โดยทั่วไปทักษะยุทธ์ระดับ 9 จะสืบทอดกันเพียงแต่ในใจกลางของแต่ละกองกำลังเท่านั้น แต่คนผู้นี้กลับครอบครองทักษะยุทธ์ระดับ 9 มีความเป็นไปได้สูงมากที่ประวัติของเขาจะไม่ธรรมดา และเทียบเท่าได้กับตระกูลหยูเลยด้วยซ้ำ

สีหน้าของหลัวซิวยังคงนิ่งสงบ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ออกมาว่า “ข้าคือเจ้าสำนักไท่เสวียน หลัวซิว!”

คราวนี้ เขาไม่ได้เรียกตนเองว่าเจ้าอาจารย์อีกแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย

“สำนักไท่เสวียน?” สีหน้าของกลุ่มคนตระกูลหยูต่างงงงวย

“บนเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน” นักยุทธ์รอบๆ ที่มาร่วมงานประมูลยาต่างมีสีหน้าข้องใจ

“แต่ชื่อสำนักไท่เสวียนนั้นคุ้นหูมาก เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน” มีคนกล่าวคำพูดประโยคนี้ออกมา

ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสเคราขาวที่อยู่ไม่ไกลนักก็ส่งเสียงร้องออกมา “ข้าคิดออกแล้ว ในสมัยโบราณ อาณาจักรใต้ของพวกเรามีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่แดนหนึ่ง ชื่อว่าไท่เสวียน”

ในตอนนั้นเองบรรยากาศรอบๆ เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้น แต่ก็ยังมีคนกล่าวออกมาด้วยความสงสัย “ไท่เสวียนโบราณไม่ได้ล่มสลายไปแล้วหรือ”

หลัวซิวไม่ได้กล่าวอธิบายคำถามของคนพวกนี้ เพราะเขาเพิ่งเริ่มสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ หากเป็นที่สนใจของคนในที่นี่เร็วเกินไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

“เอาชื่อแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณมาอวดเบ่ง ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะแข็งกระด้างดังมาจากแดนไกล ผู้อาวุโสเคราขาวที่มีใบหน้าราวน้ำค้างแข็ง มุ่งหน้าเดินเข้ามา

บริเวณเอวของผู้อาวุโสเคราขาวคนนี้ มีป้ายบัญชาการที่ปรากฏตัวอักษร “หยู” เอาไว้เช่นกัน พลังจิตแท้ในร่างสั่นสะเทือนอย่างน่าหวาดหวั่น ดูกว้างใหญ่และหนักแน่นราวกับเทือกเขา

“ผู้อาวุโสใหญ่!”

คนตระกูลหยูที่เหลือต่างพากันทำความเคารพอย่างนอบน้อม

คนส่วนใหญ่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้คือผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหยู มีนามว่าหยูชุนชิว มีฐานะสูงศักดิ์ในตระกูล ฝึกตนอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8

“ไม่ต้องมากพิธี” หยูชุนชิวพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แล้วเบนสายตาไปที่หลัวซิว “เป็นแค่ราชายุทธ์ ริอาจเอาชื่อแดนศักดิ์สิทธิ์มาล้อเล่น ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นต่ำ”