มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 458
เมื่อหลัวซิวได้ดินเหลืองเสวียนมาแล้ว และเตรียมจะบอกลาหลินจื่อเฟิงเพื่อเดินทางออกจากสำนักไม้เสวียนอยู่นั้น ตอนนั้นเองด้านหลังของเขาปรากฏไอสังหารอย่างเข้มข้นขึ้นมา

เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่ามีกองทัพม้าที่สวมใส่ชุดขาวอย่างเป็นระเบียบปรากฏขึ้น บริเวณเอวของพวกเขามีป้ายบัญชาการแขวนเอาไว้ ด้านบนป้ายสลักคำว่า “หยู”

คนพวกนี้พยายามแผ่ออร่าออกมา และใช้ตัวสำนึกสำรวจสอดส่ายอย่างอวดดีไร้ความเกรงใจ

สำนักไม้เสวียนมีลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการรักษากฎระเบียบโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงเวลาที่จัดงานประมูลยาขึ้นมา ขอแค่ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเกินไป สำนักไม้เสวียนก็จะไม่สอดมือเข้าไปแทรกแซง

หากความขัดแย้งทำลายทรัพย์สินของสำนักไม้เสวียน ก็จะต้องชดใช้ตามมูลค่าจริง ด้วยเหตุนี้แล้วไม่ว่าคนที่ทะเลาะกันทั้งสองฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม สำนักไม้เสวียนก็จะไม่เอาเรื่อง

“คนของตระกูลหยู” หลินจื่อเฟิงสีหน้าคร่ำเคร่ง พลางยื่นมือดึงหอกรบสีแดงเลือดของเขาออกมา

คนตระกูลหยูกลุ่มนั้นเดินเข้ามาอย่างหยิ่งผยอง ทุกคนต่างหลบทางให้กับพวกเขา ส่วนเย่เฟยเทียนที่ได้ยาเสวียนจือไปแล้วและตั้งท่าจะหนีไปนั้น ก็ถูกคนตระกูลหยูขวางเอาไว้ด้วยเช่นกัน

“เย่เฟยเทียน แกหาดอกแท้สามมาได้หรือยัง ความอดทนของผู้อาวุโสใหญ่มีจำกัดนะ” ผู้นำของตระกูลหยูคนหนึ่งตวาดเสียงแข็ง

ดูเหมือนว่าเย่เฟยเทียนจะรู้จักกับคนตระกูลหยู

สีหน้าของเย่เฟยเทียนยังคงไม่สะทกสะท้าน “กลับไปบอกผู้อาวุโสใหญ่ของพวกแกเถอะว่า ข้าไม่อยากได้ยาเสวียนจือของเขาแล้ว”

ระหว่างที่ตอบ เย่เฟยเทียนก็ตั้งท่าจะหนี เขาไม่อยากจะเสียเวลากับคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว

“เฮอะ เย่เฟยเทียน แกคิดว่าแกบอกว่าไม่แลกแล้วก็จะไม่แลกได้งั้นรึ ตอนนี้หยูหลันกลับมาที่ตระกูลแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเอาไว้แล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่แกเอาดอกแท้สามกลับมาได้ ตอนนั้นแกถึงจะกลับไปที่ตระกูลหยูได้และพบหน้ากับเธออีกครั้ง”

“หยูโช่ว แกหมายความว่ายังไง” ร่างของเย่เฟยเทียนหยุดชะงัก แววตาของเขาเวิ้งว้าง

“นี่ไม่ได้เป็นความต้องการของฉัน แต่เป็นความต้องการของผู้อาวุโสใหญ่ คนไร้สังกัดที่ไม่มีที่พึ่งพิงอย่างแก คิดจะแต่งงานกับคุณหนูสามของตระกูลหยู ถ้าแกหาดอกแท้สามมาได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าแกมีคุณสมบัติเหมาะสม แต่ถ้าหามาไม่ได้ล่ะก็……” ชายวัยกลางคนที่มีนามว่าหยูโช่วหัวเราะเย้ยหยัน

ในขณะนั้นเอง หยูมู่เหลียงที่มีใบหน้าบวมช้ำที่ยืนอยู่ด้านข้างหยูโชว่ก็ชี้มาทางหลัวซิวกับหลินจื่อเฟิง แล้วกล่าวเสียงแข็งว่า “อารอง เดรัจฉานสองตัวนี้ไงที่ทำร้ายข้า”

หยูโชว่ได้ยินดังนั้นก็ไม่สนใจใบหน้าหมองคล้ำของเย่เฟยเทียนอีก เขามองมาทางหลัวซิวและหลินจื่อเฟิงอย่างเอาเรื่อง

“คนที่กล้าทำร้ายคนตระกูลหยูของข้า สมควรตาย!”

แววตาของหยูโชว่เต็มไปด้วยความมาดร้าย เขาดึงกระบี่ยุทธ์ออกมาจากเอวของเขา ร่างกับกระบี่รวมเป็นหนึ่ง เกิดเป็นแสงกระบี่สุกสว่างพร่าตาที่พุ่งทะยานจากฟากฟ้าพุ่งลงมาทางหลัวซิวและหลินจื่อเฟิง

หยูโชว่ฝึกตนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม คนรวมกับกระบี่เป็นหนึ่ง ความเร็วพุ่งทะยานมาราวกับสายฟ้าฟาด เพียงพริบตาเดียว แสงกระบี่ก็วิ่งมาจ่อตรงหน้าของหลัวซิวกับหลินจื่อเฟิงแล้ว

การลงมือครั้งนี้ไร้ซึ่งความปราณี ราวกับต้องการจะทำให้ทั้งสองคนตายคาที่อยู่ตรงนี้ทันที

หลินจื่อเฟิงขวัญเสีย แต่หลัวซิวกลับก้าวออกไปข้างหน้า แล้วใช้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรง

“ยอดฝีมือจักรพรรดิยุทธ์?” สีหน้าของหยูโชว่เปลี่ยนไป พลางก่นด่าคนไม่เอาไหนอย่างหยูมู่เหลียงอยู่ในใจ ไหนบอกว่าคนที่ทำร้ายเป็นเพียงแค่ราชายุทธ์สองคนไม่ใช่หรือ

“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

หลัวซิวแผดเสียงลั่น และใช้กำปั้นทุบเข้าใส่แสงกระบี่ที่พุ่งทะยานเข้ามา เสียงระเบิดก้องดังสะท้านสะเทือนไปทั่วฟ้า หยูโชว่ที่ประสานเป็นหนึ่งกับกระบี่กระเด็นกลับไปอย่างฉับพลัน

นักยุทธ์ของตระกูลหยูสองคนลอยขึ้นไปกลางท้องฟ้าเพื่อรับหยูโชว่เอาไว้ สีหน้าของหยูโชว่ดำคล้ำ เดิมทีเขาคิดว่าตนจะสามารถสังหารคนทั้งสองนี้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อแสดงอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่ตัวเองบุกโจมตีเข้าไปจะถูกตอบโต้จนกระเด็นกลับมาจนเขาเสียหน้าอย่างมากเช่นนี้

ผู้อาวุโสตระกูลหยูคนหนึ่งลอยอยู่กลางฟ้า เขามองข้ามมาที่หลัวซิว “แกเป็นใคร ทำไมต้องทำร้ายศิษย์ตระกูลหยูของเราด้วย”

หลัวซิวดึงกำปั้นที่โจมตีออกไปเมื่อครู่กลับมา แล้วเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ก็เหมือนอย่างคนเมื่อครู่นี้ไงที่ไม่ทันจะฟังข้าพูดอะไรก็เริ่มลงมือกับข้าก่อน หากศิษย์ตระกูลหยูไม่ได้คิดจะทำร้ายข้าก่อน ข้าก็คงจะไม่ลงมือกับพวกเขา”

“เหลวไหล!” ผู้อาวุโสตระกูลหยูแผดเสียง “ทำร้ายคนตระกูลหยูแล้วยังหาข้ออ้างอีก ข้าหยูเจินจะขอสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก”