“จะรีบตายไปไหนกันเล่า? ข้ายังมีคำถามอีกเยอะเลยนะ”
เฉินเฉินสับสน เขาว่ากันว่าใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศก็ยังดีกว่าตายด้วยเกียรติ แต่เจ้าจิ้งจอกสองหางนี่ดูอยากรีบตายมาก แม้แต่จางจีก็ไม่สามารถแข่งความมุ่งมั่นได้เลย
“ข้าจะไม่ตอบคำถามอะไรเจ้าแล้ว” จิ้งจอกสองหางตอบอย่างสิ้นหวัง
เฉินเฉินทอดสายตาออกไปไกลในตอนที่ได้ฟังคำตอบของมัน เค้าลางของเมืองค่อย ๆปรากฎขึ้นในทัศนวิสัยของเขาแล้ว
มันเป็นเมืองใหญ่เมืองแรกที่พวกเขาผ่านในระหว่างทาง เมืองสายลมสีคราม มันคือหนึ่งในเมืองใหญ่ภายใต้การดูแลของรัฐจี่
“เจ้าหมาน้อย ในตระกูลหมาเจ้าก็ถือว่าสวยใช้ได้เลยนะ เดี๋ยวข้าหาหมาตัวผู้มาเป็นคู่ให้เจ้าเอง ในตอนที่ข้าไปถึงเมืองสายลมสีครามเป็นไง?
เฉินเฉินมองไปทางเมืองใหญ่ที่อยู่ไกล ๆ น้ำเสียงของเขาจริงจัง
หลังจากได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิน จิ้งจอกสองหางก็แทบจะระเบิดความโกรธออกมา เพราะมันเริ่มจ้องกลับมาเหมือนกับว่ากำลังมองอสูรอยู่
ในฐานะอสูรจิ้งจอก ถ้ามันไปผสมพันธุ์กับหมา มันก็คงจะถือเป็นการสร้างความอัปยศครั้งใหญ่ให้กับบรรพบุรุษของมัน แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม!
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ๆ ในที่สุดมันก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “ชื่อของข้าคือหูเซียงเอ๋อ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าในหัวขี้เลื่อยของเจ้ามันยัดอะไรอยู่ และคำถามที่เจ้าถามข้าก็ดูงี่เง่ามาก แต่กลยุทธ์ที่เจ้าเรียนรู้สำหรับจัดการกับอสูรมันช่างชั่วร้ายจริง ๆ!”
“สมองของข้าเต็มไปด้วยสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ อสูรอย่างเจ้าจะไปรู้อะไรหล่ะ? อ๋อใช่ เจ้าหมาน้อย ข้าต้องหาอะไรให้เจ้ากินหล่ะ? อย่าบอกนะว่ามนุษย์”
“ข้าคือหูเซียงเอ๋อ แน่นอนว่าข้ากินเนื้อ!”
“แล้วเจ้ากินกระดูกด้วยไหม?”
“ข้าเป็นจิ้งจอก ไม่ใช่หมา! ข้าไม่กินกระดูกหรอก!”
“โอเค เจ้าหมา”
“…”
…
พอเข้ามาในเมืองสายลมสีคราม ทัศนียภาพที่ต้อนรับเฉินเฉินนั้นพลุกพล่านกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก
ด้วยความที่เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญในเส้นทางไปสู่รัฐจี่ เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์มากมายจึงมาหยุดพักกันในเมืองนี้ ด้วยความหวังที่ว่าพวกเขาอาจจะได้พบเจอคนที่สามารถติดไปด้วยได้ในระหว่างการเดินทาง
“พี่ใหญ่ เมืองสายลมสีครามมีผู้คนพลุกพล่านไปหมดเลย! แล้วมันก็ใหญ่กว่ามณฑลเสฉวนหลายเท่าเลยด้วย!”
จางจีขี่ม้าในขณะที่มองไปรอบ ๆ ด้วยความหวั่นเกรงและความประหลาดใจที่แสดงอยู่บนหน้าของเขา นอกจากนี้เขายังดูกลัวเล็กน้อยเนื่องจากความจริงที่ว่าผู้คนไม่รู้จักเขาและมองเขาเป็นชาวบ้านคนนึงที่มาเยี่ยมเยือนเมืองนี้เป็นครั้งแรก
“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นอะไรหรอกหน่า” เฉินเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ ถึงแม้ว่าเมืองสายลมสีครามจะใหญ่ แต่มันก็ยังไม่ได้น่าหลงใหลจริง ๆ
ไม่ว่ามันอาจจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่มันก็เทียบไม่ได้กับเมืองหลวงใหญ่ ๆในชีวิตก่อนของเขา
หูเซียงเอ๋อกรอกตาใส่เฉินเฉิน เจ้าเด็กบ้านี่ดูยังไงก็เป็นชาวบ้านเหมือนกัน แต่เขาอยากทำตัวให้เหมือนกับคนที่เคยท่องโลกกว้างมา ความจริงนี้ทำให้เฉินเฉินดูค่อนข้างน่ารำคาญในสายตาของหู่เซียงเอ๋อ
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าโรงเตี๊ยมแถวนี้จะเต็มหมดแล้วนะครับ พวกเราควรไปที่ไหนดี?”
จางจีเหลือบมองรอบ ๆ และอดรู้สึกกังวลไม่ได้ในตอนที่เขาเห็นโรงเตี๊ยมทุกแห่งเต็มไปด้วยผู้คน
“แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ที่หรูที่สุดในเมืองสายลมสีครามอยู่แล้ว นั่นไงหล่ะ เห็นตึกที่สูงที่สุดตรงนั้นไหม? นั่นแหล่ะสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไป”
เฉินเฉินพูดด้วยกำลังใจเต็มที่ในขณะที่เขาชี้ไปยังอาคารไม้หลังใหญ่เจ็ดชั้นที่อยู่ไกลออกไป
เขาไม่ใช่พวกยากจนอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกมั่นใจไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม
“หอลมใบไม้ผลิ!” ตอนนี้จางจีเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตนแล้ว ดังนั้นเขาจึงมองเห็นป้ายโรงเตี๊ยมตั้งแต่แวบแรก ในตอนที่เขาเห็นภาพที่ตระการตาของโรงเตี๊ยม เขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ในตอนนั้นเอง เสียงที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามก็ดังเข้ามา “หอลมใบไม้ผลิไม่ใช่สถานที่ที่พวกบ้านนอกทั่วไปเข้าไปได้หรอกนะ นอนวันนึงก็ต้องเสียอย่างน้อยหนึ่งพันตำลึงแล้ว”
เฉินเฉินมองไปยังต้นเสียง บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมที่ข้างถนน มีกลุ่มคนกำลังกินอาหารอยู่ที่โต๊ะ คนที่พูดนั้นกำลังพิงราวบันไดชั้นสองอยู่ และมองกลุ่มของเฉินเฉินด้วยความขบขัน
เฉินเฉินหัวเราะเยาะในตอนที่เห็นคน ๆนั้น แล้วพึมพำออกมา “ก็แค่วันละพันตำลึงเอง มีคนที่จ่ายไม่ไหวด้วยหรอเนี่ย? พวกเจ้าทุกคนช่างต่ำต้อยอะไรขนาดนี้?”
“นี่เจ้า!”
คนที่อยู่บนชั้นสองโมโหมากจนเขาพ่นไวน์ออกมาจากปาก แต่ก่อนที่จะได้พูด เฉินเฉินและผู้ติดตามของเขาก็ได้จากไปแล้ว
…
“พี่ใหญ่ วันละพันตำลึง…มันน้อยจริง ๆหรอครับ?”
ครู่ต่อมา จางจีก็รู้สึกคับข้องใจจนอดถามไม่ได้
ท่าทีการพูดของเฉินเฉินนั้นเป็นการพูดข่มอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้จางจีสงสัยในตัวตนของเขา แม้ว่าเขาจะสามารถจ่ายวันละพันตำลึงไหว แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายกับการใช้จ่ายแค่วันเดียว
“ใช่แล้วมันก็แค่จำนวนเล็ก ๆ ก็แค่พันตำลึง มันนับเป็นเงินได้ด้วยหรอ? จางจี ข้าก็ไม่ได้อยากจะแสดงความคิดเห็นกับเจ้ามากนะ แต่มันถึงเวลาที่เจ้าจะผันตัวใหม่แล้วจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนที่เจ้าออกไปข้างนอกในโลกนี้คืออะไร? แน่นอนอยู่แล้วว่ามันคือชื่อเสียง! ชื่อเสียงหน่ะ เจ้าเข้าใจใช่ไหม? มันหมายความว่าต่อให้ผู้คนจะไม่รู้จักเจ้า พวกเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าดูเท่ในตอนที่พวกเขาได้พบกับเจ้า! นี่แหล่ะคือชื่อเสียง!”
ในขณะที่เฉินเฉินพูด เขาก็รวบหางทั้งสองของจิ้งจอก แล้วคลายพันธนาการให้มัน จากนั้นเขาก็เอาเถาวัลย์กักอสูรไปผูกที่คอของมันแทน
จางจีไม่เข้าใจคำพูดของเฉินเฉินเลยจริง ๆ เขาเป็นลูกชายของตระกูลที่ร่ำรวยในมณฑลเล็ก ๆ เขาจะไปรู้เรื่องที่ซับซ้อนแบบนั้นได้ยังไง? ถึงยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาอยู่ที่เมืองใหญ่อย่างเมืองสายลมสีคราม
“หลังจากนี้ไม่ต้องพูดอะไรอีก แค่ดูข้าก็พอ นับจากนี้ไปเจ้าควรจะหัดเรียนรู้วิถีต่าง ๆ และอย่าทำให้ตัวเองอับอายในตอนที่อยู่ข้างนอกได้แล้ว”
หลังจากที่เฉินเฉินพูดกับจางจีและคนที่เหลือจบแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจในตอนที่จัดท่าทีของเจ้าอสูรจิ้งจอกสองหางเสร็จ ซึ่งมันดูคล้ายกับหมาอย่างบอกไม่ถูก
ในตอนนั้นเอง คนในกลุ่มก็พยักหน้าอย่างเต็มที่ พูดตามตรง พวกเขารู้สึกค่อนข้างกังวลเพราะมันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มาเมืองใหญ่แบบนี้
“เจ้านั่นแหล่ะที่เป็นไอ้บ้านนอก!” หูเซียงเอ๋อบ่นด้วยความไม่พอใจ
“เฉินเฉินตบก้นของหูเซียงเอ๋ออย่างแรงในตอนที่ได้ยิน จากนั้นเขาก็พึมพำอย่างโหดร้าย “ถ้าเจ้ากล้าพูดแบบนี้อีกในระหว่างที่พวกเราจะไปหาอะไรกินหลังจากนี้ นับจากนี้ไปข้าจะบอกกับอสูรทุกตนที่เจอว่าอสูรจิ้งจอกที่ชื่อหูเซียงเอ๋อเคยผสมพันธุ์กับหมา!”
หูเซียงเอ๋อเงียบไปในทันที
ไม่มีอะไรที่มันทำได้แล้ว เจ้าเด็กนี่เป็นคนที่โหดร้ายเกินไป
…
ครู่ต่อมา ในที่สุดทั้งกลุ่มก็มาถึงหอลมใบไม้ผลิด้วยรถม้าของพวกเขา
ทางซ้ายของหอลมใบไม้ผลิ มีพื้นที่กว้างขวางซึ่งมีรถม้าจอดเต็มอยู่ และโดยไม่มีข้อแตกต่าง รถม้าทุกคนนั้นหรูหรามากจนทำให้รถม้าสามคันที่เฉินเฉินเอามาดูเรียบและต่ำต้อยไปเลยเมื่อนำมาเทียบกัน
“หึ มีทีจอดเยอะเลยนี่ ไม่เลว”
เฉินเฉินหัวเราะเบา ๆกับภาพรถม้าหรูหราที่จอดเรียงกันเป็นแถว
ในตอนที่เขาพูดจบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนประจำอยู่ที่จอดรถของหอลมใบไม้ผลิก็เริ่มเข้ามาที่รถม้าของพวกเขา
เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วแน่นในตอนที่เห็นรถม้าโทรมๆที่เฉินเฉินและคนอื่นๆเอามา
ที่จอดรถของพวกเขาไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็เข้ามาจอดรถม้าได้ มีแค่คนที่จ่ายเงินให้หอลมใบไม้ผลิเท่านั้นที่สามารถใช้ที่จอดรถนี้ได้
“พวกเจ้า….”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่กำลังจะเข้ามาไล่ออกไป ในตอนนั้นเองเฉินเฉินก็ลงจากม้าอย่างสง่างามและพูดกับจางจีที่อยู่ข้างๆเขา “พวกบ้านนอกพวกนี้นี้น่าจะไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน รถม้าที่พวกเขาใช้ดูหรูมากจนดึงดูดความสนใจเกินไป แต่ข้าเข้าใจนะ ถึงยังไงคนพวกนี้จะมีเงินซักเท่าไหร่กันเชียว? พวกเขาน่าจะมาจากตระกูลที่มีเส้นสายจำกัด ดังนั้นคงไม่มีใครสนใจพวกเขาจริงๆหรอกต่อให้พวกเขาจะทำตัวขี้อวดก็ตาม…”
“เอ๊ะ? เอ่อ…นั่นสินะครับพี่ใหญ่ พี่พูดถูก”
จางจีมีสีหน้าสับสน แต่ก็เออออตามเฉินเฉินไปโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา และหน้าที่บึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในทันที
“ไม่ทราบว่า คุณท่านเป็นใครหรอครับ….?” เจ้าหน้าที่นำมาพยายามจะสืบหาตัวตนของเฉินเฉิน
ถึงยังไง ลักษณะการพูดของชายคนนี้ก็น่าตกใจจริง ๆ และพวกเขาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
และโดยที่คาดไม่ถึง เฉินเฉินก็สะบัดมือใส่พวกเขา แล้วตอบกลับอย่างจริง ๆ “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถามจะดีกว่านะ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าอยากหาเรื่องร้ายแรงให้ตัวเอง!”
เจ้าหน้าที่สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ฟังคำขู่ของเฉินเฉิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ตัวตนของนายน้อยที่อยู่ตรงหน้า แต่พวกเขารู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ธรรมดา
โดยไม่พูดอะไรอีก เฉินเฉินก็โยนอัญมณีจำนวนนึงให้พวกเขา
“เอารถม้าของพวกเราไปจอดที่ช่อง VIP แล้วคอยดูแลให้ดีด้วย”
“เอ๊ะ? ช่องอะไรนะครับ?” เจ้าหน้าที่รับอัญมณี และดูสับสนเป็นอย่างมาก
เฉินเฉินดุอีกครั้ง แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ช่างเป็นสถานที่ที่ต่ำต้อยจริง ๆ ไม่รู้จักแม้กระทั่งช่อง VIP เอาเถอะแค่คอยดูรถม้าของข้าให้ดีก็พอ”
“ครับ… ครับท่าน!”
ณ จุดนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเหงื่อแตกพลั่ก ในความคิดของพวกเขา พวกเขาเข้าใจว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีพื้นเพไม่ธรรมดา ซึ่งพวกเขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
ในระหว่างนั้นเอง พวกเขาก็อดรู้สึกเสียใจกับตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าหอลมใบไม้ผลิจะเป็นโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดในเมืองสายลมสีคราม มันก็ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงเมื่อเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตตัวจริงอย่างนายน้อยที่อยู่ข้างหน้า…