คำนับศิลา
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหยิบไฟฉายออกมา หินหยกก้อนแรกที่เธอถูกใจเป็นหินหยกเปลือกสีเทาเขียวก้อนเล็กมาก น้ำหนักประมาณสองกิโลกรัมที่ถูกวางไว้บนก้อนหินหยกเปลือกทรายดำอีกที เธอประมวลข้อมูลหินหยกทั้งหมดที่ท่องจำจนขึ้นใจแล้วสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นหินหยกจากโฮ่วเจียง
ซีเหมินจินเหลียนย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วหยิบหินหยกก้อนเล็กๆ นั่นขึ้นมาอ่านหยก เปลือกหยกเนียนละเอียดและมีซงฮวา[1]ประปราย ข้างในน่าจะเป็นหยกสีเขียวเนื้อแก้ว…
เธอไม่อยากเสียเวลาอ่านหยกจึงตัดสินใจใช้พลังพิเศษมองทะลุข้างในทันที และเธอต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะข้างในเป็นหยกเนื้อแก้วจริง แต่มันเป็นเพียงแค่หยกสีเขียวติดเปลือกน้อยนิดที่เอาไปทำอะไรไม่ได้เลย
“ช่างเถอะ…” ซีเหมินจินเหลียนวางหินหยกก้อนเล็กลงแล้วหันไปสนใจหินหยกเปลือกทรายดำแทน เธอหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดูอยู่ชั่วครู่แล้วต้องชักหัวคิ้วชนกัน…หินหยกเปลือกทรายดำก้อนนี้ดูแล้วลักษณะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ นอกจากซงฮวาบนเปลือกหยกอันน้อยนิดแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีหมั่งไต้[2]ให้เห็นเลยสักนิด แถมเปลือกหยกยังหยาบมากเสียด้วย ดูแล้วแย่กว่าหินหยกเปลือกสีเทาเขียวก้อนเล็กตั้งเยอะ
จากนั้นซีเหมินจินเหลียนก็ใช้พลังพิเศษมองทะลุหินหยกอีกหลายสิบก้อน แต่ก็ไม่เจอหินหยกดีๆ เลย แม้หินหยกบางก้อนจะมีลักษณะดีแต่ข้างในกลับไม่มีหยกน้ำดีเลย ถึงจะเจอหินหยกที่น่าลุ้นอยู่บ้าง แต่พวกมันก็ไม่ดีพอที่จะทำให้เธอสนใจได้
“ดูอีกสักสองก้อนก็แล้วกัน ถ้ายังไม่เจอหินหยกที่ถูกใจ เอาไว้ไปเดินดูที่ตลาดหยกวันพรุ่งนี้ก็ได้!” ซีเหมินจินเหลียนบอกกับตัวเองในใจ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเจอหยกชั้นเยี่ยมทุกครั้งที่เธอไปดูหินหยก เมื่อคิดได้แบบนี้จึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
หินหยกสองก้อนสุดท้ายที่ซีเหมินจินเหลียนเล็งเอาไว้หนักประมาณยี่สิบถึงสามสิบกิโลกรัม ถือว่าเป็นหินหยกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก และหินหยกทั้งสองก้อนยังเป็นหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทาเหมือนกันอีกด้วย ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปลูบหินหยกที่ก้อนใหญ่กว่าเล็กน้อยแล้วรู้สึกว่าเปลือกหยกของมันเรียบเนียนแต่กลับไร้ซงฮวาใดๆ ปรากฎอยู่บนเปลือกหยก
ความจริงซีเหมินจินเหลียนเองก็สงสัยและไม่เข้าใจเหมือนกัน เมื่อครู่ผู้เฒ่าหูเป็นคนพูดเองว่าหินหยกที่อยู่ในอาคารทิศตะวันตกราคาแพงกว่าหินหยกที่อยู่ในอาคารทิศตะวันออก นั่นหมายความว่าในอาคารนี้ต้องมีแต่หินหยกที่ผู้เฒ่าหูอ่านหยกแล้ววิเคราะห์ว่าต้องเป็นหินหยกลักษณะดีสิ แต่นี่เธอไม่เห็นว่าพวกมันจะมีดีกว่าตรงไหนเลย? แม้ว่าเธอจะเจอหินหยกเนื้อแก้วอยู่บ้าง แต่พวกมันก็เป็นหยกน้ำไม่งาม เนื้อหยกแห้ง อีกทั้งยังเป็นหยกสีเขียวอมดำอีกต่างหาก นำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับก็คงไม่สวย
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายศีรษะให้กับนิสัยประหลาดของผู้เฒ่าหู เพราะคนปกติธรรมดาคงไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่คนประหลาดคิดและทำหรอก
เหล่าหลี่กับจ่านป๋ายยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าประตูอาคารทิศตะวันตก นั่นทำให้ซีเหมินจินเหลียนสามารถใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครเห็น เธอยื่นมือขวาออกไปวางลงบนหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทา พลันเปลือกหยกสีน้ำตาลเทาค่อยๆ จางหายไปจากสายตาเธอ…
นี่มันหยกเนื้อแก้วสีใสนี่? ซีเหมินจินเหลียนประหลาดใจ หยกเนื้อแก้วสีใสเพิ่งได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และสาวๆ ก็ชื่นชอบหยกชนิดนี้เป็นพิเศษ แต่เธอกลับไม่ชอบหยกสีใสที่ดูเหมือนแก้วแบบนี้เลยสักนิด
ทำไมมันดูแปลกๆ ล่ะ? ทำไมหยกเนื้อแก้วสีใสถึงได้มีสีค่อนไปทางสีเหลือง หรือเป็นเพราะแสงไฟสีเหลืองนวลในห้อง?
ถ้าตาเนื้อได้รับผลกระทบจากแสงไฟ แล้วเนตรหัตถาของเธอก็จะได้รับผลกระทบด้วยอย่างนั้นเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนจำได้อย่างแม่นยำว่าแสงไฟรอบตัวไม่มีผลต่อเนตรหัตถาของเธอ ต่อให้เธอใช้พลังพิเศษในที่มืดสนิท แต่ความมืดก็ไม่ส่งผลใดๆ ต่อเนตรหัตถาของเธอเลย
ถ้าเช่นนั้น สีดั้งเดิมของหยกเนื้อแก้วสีใสก้อนนี้ก็ต้องเป็นสีเหลืองน่ะสิ? ซีเหมินจินเหลียนมองทะลุลึกลงไปอีกประมาณสี่เซนติเมตรแล้วต้องตะลึงงัน ราวกับหินหยกก้อนนี้มีเส้นแบ่งกั้นอย่างไรอย่างนั้น เพราะอยู่ดีๆ หยกเนื้อแก้วสีใสค่อนไปทางสีเหลืองกลับกลายเป็นสีเหลืองอร่ามราวทองคำในฉับพลัน…
หยกสีเหลือง? คำคำนี้ผุดขึ้นในใจซีเหมินจินเหลียน หยกสีเหลืองไม่เป็นที่นิยมมากนัก มีเพียงหยกสีน้ำผึ้งเท่านั้นที่ราคาค่อนข้างสูง ส่วนหินหยกสีเหลืองที่อยู่ในมือเธอนั้นเป็นสีเหลืองอ่อนที่ให้ความรู้สึกเหมือนสีเหลืองอร่ามยามทองคำต้องแสงไฟมากกว่า
หยกสีเหลืองก็เหมือนหยกสีม่วง เมื่อนำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับแล้วมองผ่านแสงธรรมชาติสีจะอ่อนลงอีก ด้วยเหตุนี้ หากสีหยกไม่เข้มมากพอก็ไม่สามารถดึงดูดสายตาใครได้ แต่หยกสีเหลืองก้อนนี้เป็นหยกเนื้อแก้วน้ำงามมากจริงๆ
ซีเหมินจินเหลียนบอกกับตัวเองในใจ “ไม่เป็นไร ซื้อกลับไปแกะสลักเป็นของประดับตกแต่งบ้านก็ได้ เธอจะไม่ยอมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด ถ้าราคาไม่แพงมากจนเกินไปเธอก็ไม่ขาดทุนหรอก”
ดูหินหยกก้อนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องดูหินหยกอีกก้อนด้วยเช่นกัน ซีเหมินจินเหลียนมองดูหินหยกอีกก้อนที่มีขนาดและเปลือกหยกสีน้ำตาลเทาเหมือนกันแล้วนึกถึงข้อมูลหินหยกที่เคยอ่าน หินหยกสองก้อนนี้น่าจะเป็นหินหยกจากทะมะขาน[3]
หินหยกจากทะมะขานส่วนใหญ่จะมีอู้[4]สีขาวหรืออู้สีเหลืองอยู่ใต้เปลือกหยก…
ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในวงการหยกมีการเดิมพันอู้ด้วย เธอรีบยกไฟฉายขึ้นส่องดูทันที ใต้เปลือกหยกมีอู้สีเหลืองที่มองเห็นเลือนลางอยู่จริงๆ อย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด
มิน่าเล่า หินหยกสองก้อนนี้ถึงถูกเก็บไว้ที่อาคารทิศตะวันตก ผู้เฒ่าหูเป็นนักเล่นหวยหยกมือฉมังสมคำร่ำลือจริงๆ
ในเมื่อดูหินหยกสีเหลืองแล้วก็ต้องดูหินหยกอีกก้อนที่เหลือด้วย ซีเหมินจินเหลียนใช้มือลูบเปลือกหินหยกอีกก้อนที่เลือกเอาไว้ ความรู้สึกไวเป็นพิเศษของผู้หญิงบอกกับเธอว่าหินหยกก้อนนี้ไม่เนียนละเอียดเท่าหินหยกสีเหลือง แต่ถือว่าเนื้อสัมผัสไม่เลวเลยทีเดียว
ซีเหมินจินเหลียนมีประสบการณ์จากหินหยกสีเหลืองแล้ว คราวนี้เธอจึงใช้ไฟฉายส่องลงบนเปลือกหยกและสังเกตเห็นอู้สีเหลืองและอู้สีแดงจางๆ ใต้เปลือกหยกได้อย่างง่ายดาย
หยกสองสีอย่างนั้นเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนลิงโลดอยู่ในใจว่าวันนี้ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้
ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางวางมือขวาลงบนหินหยกเปลือกน้ำตาลเทาทันที เปลือกหยกค่อนข้างหนา มิน่าล่ะเธอถึงรู้สึกว่าเปลือกหยกไม่ค่อยเนียนละเอียดสักเท่าไหร่ เธอมองทะลุลึกลงไปอีกประมาณสามเซนติเมตรแต่ยังคงเห็นเพียงแค่หินสีขาวเท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว หรือเธอจะคาดเดาผิดไป? เธอได้แต่ยิ้มอย่างปลงๆ ว่าคงไม่มีหยกเยอะแยะมากมายให้เจอกันได้ง่ายๆ หรอก ยังไม่ทันที่ความคิดจะจางหายไป ทันใดนั้นสีแดงอ่อนๆ ก็ปรากฎแก่สายตาเธอ สีแดงที่เธอเห็น ไม่ใช่สีแดงสดใสแต่เป็นสีแดงของแป้งทาแก้มที่หญิงสาวชื่นชอบ ดั่งแสงอาทิตย์ยามอัสดงในฤดูใบไม้ผลิที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
เนื้อหยกเนียนละเอียดแตกต่างจากเปลือกหยกที่ค่อนข้างหยาบ ความโปร่งใสนั้นอยู่ระหว่างเนื้อแก้วกับเนื้อน้ำแข็ง มันไม่ใสเหมือนแก้วแต่ให้ความรู้สึกหนักแน่นมากกว่า
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกชอบหยกก้อนนี้อย่างบอกไม่ถูก ถ้าเธอได้ใส่เครื่องประดับหยกสีแดงเป็นสิริมงคลแบบนี้ในงานแต่งงานจะดีแค่ไหนกันนะ?
“อ๊ะ!” ซีเหมินจินเหลียนหน้าร้อนผ่าว อุทานเสียงเบา นี่เธอคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!
ซีเหมินจินเหลียนมองทะลุลึกลงไปอีก นอกจากหยกสีแดงอ่อนแล้ว ใต้หยกสีแดงอ่อนยังมีหยกสีเหลืองหนาประมาณสองนิ้วซ่อนอยู่ ถือว่าเป็นหยกสีเหลืองที่สีไม่เข้มมากและไม่ใช่สีเหลืองอร่ามเหมือนหินหยกสีเหลืองก้อนเมื่อครู่นี้ หยกสีเหลืองคู่กับหยกสีแดงอ่อนในชิ้นเดียวกันช่างดูสวยสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
ซีเหมินจินเหลียนจัดประเภทให้หยกก้อนนี้ว่าเป็น…สีที่คนแก่ชอบ เพราะเธอชอบแค่หยกสีแดงอ่อนเท่านั้น กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษอยู่ดี แม้หินหยกก้อนนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็สามารถซอยหยกสีแดงอ่อนและหยกสีเหลืองออกจากกันแล้วนำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับได้อย่างเหลือเฟือ
เครื่องประดับหยกสีแดงอ่อนอาจจะไม่สวยจับตาจับใจเท่าหยกสีแดงลายทองคำที่จับต้องยาก แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่รู้ใจมากกว่า
ตกลงเอาหินหยกสองก้อนนี้แหละ! ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจแล้วลุกขึ้นยืน แต่เพราะนั่งยองๆ อยู่เป็นเวลานานจึงทำให้ขาทั้งสองข้างของเธอชาไปหมด
“จินเหลียน ดูเสร็จแล้วหรือครับ” จ่านป๋ายที่เคยยืนหันหลังอยู่ตรงประตูรีบเดินเข้ามาในห้อง เขายื่นมือไปประคองซีเหมินจินเหลียนเอาไว้ด้วยความห่วงใย “นั่งนานเกินไปละสิ”
“อืม ขาชาหมดแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนตอบยิ้มๆ
เหล่าหลี่ค่อยๆ เดินตามหลังเข้ามาในห้องแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “คุณซีเหมินเลือกได้แล้วเหรอครับ”
“ฉันเอาหินหยกสองก้อนนี้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปยังหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทาสองก้อนที่วางอยู่บนพื้น
ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าหูเดินอย่างไร้สุ้มไร้เสียงมาถึงตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามองดูหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทาสองก้อนที่ซีเหมินจินเหลียนเลือกเอาไว้แล้วสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ปรับสีหน้าให้กลับมาสงบนิ่งเป็นปกติพร้อมพยักหน้า
“ก้อนละสองล้านหยวน สองก้อนสี่ล้านหยวนถ้วน” ผู้เฒ่าหูเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย
ซีเหมินจินเหลียนสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่มันปล้นกันชัดๆ! หินหยกสองก้อนนี้ที่เธอเลือกนั้น ก้อนใหญ่น้ำหนักประมาณสามสิบกิโลกรัม ส่วนก้อนเล็กกว่าอย่างมากก็หนักแค่ประมาณยี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น แต่ผู้เฒ่าหูกลับเสนอราคาตั้งสองล้านหยวนเท่ากันอย่างนั้นเหรอ? อีกอย่าง เปลือกหินหยกของหินหยกทั้งสองก้อนก็ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยสักนิดว่ามันเป็นหินหยกลักษณะดี ถ้าเป็นคนอื่นคงส่ายหัวและไม่ซื้อแน่ๆ ที่สำคัญ เมื่อครู่นี้เขาก็พูดชัดเจนแล้วว่าหินหยกที่นี่ขายราคาขาดตัว ห้ามต่อรองราคาเด็ดขาด
“ตกลงค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พลางพยักหน้าตกลง “ฉันตกลงซื้อหินหยกสองก้อนนี้ค่ะ! ราคาทั้งหมดสี่ล้านเจ็ดแสนหยวนสำหรับหินหยกสี่ก้อนที่ฉันเลือกเอาไว้ ฉันขอวางมัดจำเป็นเงินสดก่อนหนึ่งแสนหยวน พรุ่งนี้ฉันจะไปโอนเงินส่วนที่เหลือให้คุณที่ธนาคาร เสร็จเรียบร้อยแล้วฉันค่อยมารับหินหยกที่นี่นะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนขอความคิดเห็นจากผู้เฒ่าหู
ผู้เฒ่าหูพยักหน้าตกลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบๆ “ผมจะเก็บหินหยกสี่ก้อนนี้แยกเอาไว้ให้คุณต่างหาก ไม่ทราบว่าคุณซีเหมินยังสนใจดูหินหยกเพิ่มอีกไหมครับ”
ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้ตอบก็ถูกเหล่าหลี่ถามตัดหน้าด้วยความประหลาดใจ “ผู้เฒ่าหู นี่คุณยังมีของดีที่ผมไม่รู้ด้วยเหรอ?”
“ของดีมีไว้สำหรับคนตาถึงเท่านั้น คนธรรมดาผมไม่ให้ดูหรอกนะ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยเรียบๆ
“ถ้าคุณหูยังมีของดีอีกฉันก็อยากดูค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบตอบอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญตามผมมาทางนี้เลยครับ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยพลางเดินนำไปทางอาคารหลัก
ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าอาคารทิศตะวันออกและอาคารทิศตะวันตกเป็นที่เก็บหินหยกจึงคิดว่าอาคารหลักน่าจะเป็นที่พักของผู้เฒ่าหู เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าหูเดินนำไปทางอาคารหลักจึงแปลกใจไม่น้อยแต่เธอก็เดินตามเขาไปโดยดี
จ่านป๋ายถามซีเหมินจินเหลียนเสียงเบาด้วยความห่วงใย “คุณเหนื่อยหรือเปล่า หรือว่าวันนี้จะพอแค่นี้ก่อน?”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบพลางส่ายหน้า
“คุณสองคนไม่ต้องตามมาหรอก เดี๋ยวผมพาคุณผู้หญิงไปดูหินหยกเอง!” ผู้เฒ่าหูเห็นว่าจ่านป๋ายและเหล่าหลี่เดินตามมาด้วยจึงเอ่ยเสียงเรียบเย็น
“คงไม่ได้หรอกครับ!” จ่านป๋ายท้วงทันที แม้ผู้เฒ่าหูจะเป็นเพียงชายแก่แต่เขาก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอก คุณรอฉันอยู่ข้างนอกนี่แหละ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะร้องบอกเองค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนบอกจ่านป๋ายเสียงเบา
จ่านป๋ายรู้ว่าตัวเองคงเอาชนะซีเหมินจินเหลียนไม่ได้แน่ๆ คิดๆ ดูแล้วผู้เฒ่าหูก็อายุมากแล้วคงไม่เป็นอันตรายอะไร เขาจึงพยักหน้าตกลง ส่วนเหล่าหลี่นั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เขาเป็นเพียงแค่นายหน้าพาลูกค้ามาดูหินหยกเท่านั้น แถมวันนี้ซีเหมินจินเหลียนยังตกลงซื้อหินหยกตั้งสี่ก้อน รอบนี้เขาไม่เหนื่อยฟรีแน่นอน รออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ซีเหมินจินเหลียนกับผู้เฒ่าหูตกลงซื้อขายหินหยกราคายิ่งสูงมากเท่าไหร่เขาก็ได้ค่านายหน้าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แล้วทำไมเขาจะไม่ยินดีล่ะ?
ภายในอาคารหลักมืดสนิทเพราะเวลานี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว ท้องนภาที่ลอยอยู่เหนือสวนเล็กๆ เห็นเพียงจันทร์หม่นแสงและแสงดาวพราวระยับ
ซีเหมินจินเหลียนก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องที่มืดที่มืดมิดนั้น สักครู่เธอก็ได้กลิ่นดินปืนจางๆ ลอยมาเตะจมูก จากนั้นแสงสีเหลืองอมส้มจากเทียนไขสว่างขึ้นโดยมีผู้เฒ่าหูยืนถือเทียนไขเล่มนั้นอยู่ตรงหน้าเธอ
“คุณซีเหมิน?” ผู้เฒ่าหูจำได้ว่าเหล่าหลี่เรียกเธออย่างนี้
“คะ!” ซีเหมินจินเหลียนขานรับ
ผู้เฒ่าหูเอ่ยเสียงเรียบ “ผมชอบใช้ชีวิตในที่มืดๆ น่ะ คุณอย่าถือสาเลยนะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนบ่นอุบอิบในใจ ชินกับการใช้ชีวิตในที่มืดเนี่ยนะ? คุณเป็นหนูหรืออย่างไร
“เชิญตามผมมาทางนี้ครับ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยพลางถือเทียนไขเดินนำหน้าไปก่อน อาคารหลักถือว่าไม่ใหญ่มาก กำแพงห้องเต็มไปด้วยภาพเขียนสีเก่าๆ ที่สีหลุดร่อนจนดูไม่ออกว่าเป็นภาพเกี่ยวกับอะไร
เธอได้ยินว่าที่นี่เคยเป็นวัดมาก่อน แท่นบูชาที่เคยเป็นที่บูชาเทพเจ้าองค์ไหนสักองค์ ตอนนี้กลับกลายเป็นที่วางหินหยกก้อนใหญ่ยักษ์เปลือกสีน้ำตาลแทน มองดูเผินๆ แล้วหินหยกก้อนนี้น่าจะหนักสักหนึ่งตันเห็นจะได้…
บริเวณด้านหน้าหินหยกมีกระถางธูปวางอยู่ ผู้เฒ่าหูวางเทียนไขในมือลงบนแท่นบูชาแล้วใช้นิ้วชี้ไปยังอ่างล้างมือที่ทำจากทองแดง “ล้างมือก่อนครับ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินสิ่งที่ผู้เฒ่าหูบอกแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่เธอก็ยอมล้างมือในอ่างตามที่ผู้เฒ่าหูบอกแต่โดยดี เธอล้างมือพลางมองดูอ่างล้างมือทองแดงพลาง อ่างล้างมือใบนี้ต้องเป็นวัตถุโบราณแน่ๆ
ผู้เฒ่าหูจุดธูปสามดอกแล้วยื่นส่งให้ซีเหมินจินเหลียนหลังจากเธอล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ชั่วขณะที่ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปรับธูปสามดอกมาจากผู้เฒ่าหูนั้น พลันความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมองทันที นี่เป็นพิธีเก่าแก่โบราณที่เรียกกันว่า…พิธีคำนับศิลานี่นา
โชคดีที่ซีเหมินจินเหลียนรู้เรื่องพิธีคำนับศิลา! เธอรับธูปสามดอกมาจากมือผู้เฒ่าหูด้วยความนบนอบ จากนั้นก้มศีรษะลงและน้อมกายลงคำนับสามครั้ง
ซีเหมินจินเหลียนคำนับศิลาสามครั้งแล้วปักธูปลงในกระถางธูป จากนั้นก็ถอยเท้าไปด้านหลังสองก้าวแล้วน้อมกายคารวะอีกหนึ่งครั้ง
ผู้เฒ่าหูที่เฝ้ามองซีเหมินจินเหลียนอย่างไม่วางตายกยิ้มมุมปากด้วยความชื่นชม เขาพยักหน้าให้เธอพร้อมเอ่ยอนุญาต “เชิญคุณซีเหมินอ่านหยกได้เลยครับ ผมจะรออยู่ข้างนอก ถ้าคุณอ่านหยกเสร็จแล้วเรียกผมได้เลย ในเมื่อคุณรู้เรื่องพิธีคำนับศิลา คุณก็ต้องรู้ด้วยว่าห้ามใช้เครื่องมือช่วยในการอ่านหยก”
[1] ซงฮวา (松花) สีเขียวที่อยู่บนเปลือกหยก มีลักษณะหลากหลาย มีทั้งรอยสีเขียวเกาะเกี่ยวกันเป็น รอยสีเขียวกระจายรอบๆ รอยสีเขียวเป็นเม็ดขรุขระเป็นต้น สีของซงฮวามักสัมพันธ์กับสีของนื้อหยกที่อยู่ข้างใน
[2] หมั่งไต้ (莽带) สีเขียวเป็นริ้วๆ ที่อยู่บนเปลือกหยก มักจะนูนขึ้นมาจากเปลือกหยกและมีลักษณะเรียบเนียน สีของหมั่งไต้มักสัมพันธ์กับสีของเนื้อหยกที่อยู่ด้านใน
[3] ทะมะขาน แหล่งหินหยกบ่อเก่าที่มีชื่อในพม่า
[4] ก้อนหินหยกจำแนกออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. “ผี” (皮) หมายถึงเปลือกหยก 2. “อู้” (雾) หมายถึงชั้นกลางของหินหยก 3. “อวี้” (玉) หมายถึงเนื้อหยก วิธีการดูอู้นั้นไม่สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าแต่ต้องใช้แผ่นเหล็กบางๆ สีดำสนิทในการช่วยดู และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดูอู้คือเวลาเช้า พ่อค้าหยกที่ชำนาญจะอาศัยลำแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างในการดูอู้ ลำแสงนั้นจะตกกระทบกับแผ่นเหล็กสีดำสนิท และสีที่แลเห็นกับตานั่นเองคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความลับหลังเปลือกหยกมากที่สุด ผู้ที่สามารถมองทะลุ “ผี” จนแลเห็น “อู้” ผู้นั้นมีโอกาสเกินครึ่งที่จะทำนาย “อวี้” ได้ถูกต้อง อู้มีหลายสี อู้ที่ดีที่สุดคือ “อู้สีเหลือง” รองลงมาคือ “อู้สีขาว” “อู้สีน้ำผึ้ง” และอู้ที่ไม่ดีเลยคือ “อู้สีดำ”