หยกสีเลือด
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ใช้เครื่องมือไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? แสดงว่าแม้แต่ไฟฉายกับแว่นขยายก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ ภายในอาคารหลักก็มีเทียนไขเพียงเล่มเดียวที่ให้แสงวับๆ แวมๆ เท่านั้น
แม้ซีเหมินจินเหลียนจะคิดสรตะอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไรออกมา เธอหยิบไฟฉาย แว่นขยายและอุปกรณ์อื่นๆ ออกจากกระเป๋าสะพายแล้ววางกองรวมกันไว้บนพื้น จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนแท่นบูชาที่วางหินหยกก้อนใหญ่ยักษ์เอาไว้
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเย็นชาของผู้เฒ่าหูอีกครั้ง เขาพยักหน้าพอใจแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง เมื่อเห็นจ่านป๋ายยืนรออยู่ตรงประตูด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจจึงพยักหน้าให้เขาพร้อมเอ่ย “คุณเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเธอได้แล้วล่ะ”
จ่านป๋ายรีบเดินจ้ำเข้าไปในห้องทันทีที่ได้รับอนุญาต แม้เขาจะไม่มีความรู้เรื่องหินหยกแต่เขาก็รู้ว่าในวงการหวยหยกมีกฎกติกาของตัวเอง นักเล่นหวยหยกส่วนใหญ่ไม่ชอบให้คนอื่นรบกวนสมาธิระหว่างการอ่านหยก เขาไม่แน่ใจว่าซีเหมินจินเหลียนจะเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่า ขอเพียงแค่เธอสบายดีเขาก็สบายใจแล้ว เขาเดินเข้าไปในอาคารหลักเห็นซีเหมินจินเหลียนกำลังเพ่งพินิจหินหยกเปลือกสีน้ำตาลอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนไฟฉายกับแว่นขยายถูกวางกองไว้บนพื้น ในห้องมืดสลัวมีเทียนไขที่ให้แสงสว่างวับๆ แวมๆ เพียงเล่มเดียวเท่านั้น
จ่านป๋ายรีบเดินเข้าไปหาซีเหมินจินเหลียนพร้อมหยิบไฟฉายที่วางอยู่บนพื้นแล้วยื่นให้เธอ
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจื่อนๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบาๆ “ตาเฒ่าจอมประหลาดไม่ยอมให้ใช้เครื่องมือน่ะ”
“มีอย่างนี้ด้วยเหรอ?” จ่านป๋ายหน้านิ่วคิ้วขมวด “มืดขนาดนี้แล้วจะอ่านหยกยังไง ไฟสักดวงก็ไม่มี นี่มันเอาเปรียบกันชัดๆ เลยนี่?”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่ลองอ่านหยกดู ไม่ได้แปลว่าจะซื้อสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนตอบยิ้มๆ
“ก็ได้ คุณค่อยๆ อ่านหยกไปก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบ ผมรอคุณอยู่ตรงประตูนะ หินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ ราคาคงไม่ใช่เล่นแน่ๆ ดูให้ละเอียดรอบคอบน่าจะดีกว่านะครับ” จ่านป๋ายบอกอย่างเป็นห่วง
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าให้จ่านป๋าย เธอมองดูเขาเดินออกจากห้องไปแล้วจึงเริ่มลงมืออ่านหยกโดยอาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดจากเทียนไขเล่มเดียวในห้อง หินหยกก้อนนี้น่าจะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตัน เทียบกับหินหยกก้อนใหญ่ที่เธอซื้อจากร้านเถ้าแก่โจวแล้ว หินหยกก้อนนี้ดูจะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย เปลือกหยกสีน้ำตาลไร้ร่องรอยซงฮวาหรือหมั่งไต้ให้เห็น
หินหยกมีความยาวประมาณแปดสิบเซนติเมตร กว้างประมาณหกสิบเซนติเมตร และหนาประมาณห้าสิบเซนติเมตร รูปร่างสี่เหลี่ยม ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปสัมผัสเปลือกหยกเนียนละเอียด หากข้างในเป็นหยกสีเขียว มันคงเป็นหยกสีเขียวน้ำงามมากเลยทีเดียว
ซีเหมินจินเหลียนอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดผู้เฒ่าหูจึงให้ความสำคัญกับหินหยกที่ดูธรรมดาก้อนนี้ยิ่งนัก? ดูๆ ไปแล้วน่าจะเป็นหินเก่าแก่เสียด้วยสิ
แต่พอนึกถึงหินหยกสองก้อนที่เธอเลือกเอาไว้จากอาคารทิศตะวันตกแล้วก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง ซีเหมินจินเหลียนอาศัยแสงเทียนอันน้อยนิดอ่านหินหยกอย่างละเอียดอีกครั้ง เธอเพ่งมองลึกลงไปแล้วเห็นแสงแวววาวใต้เปลือกหยก…
ไม่ใช่อู้? ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว นี่มันอะไรกัน? เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใต้เปลือกหยกจะมีแสงแวววาวให้เห็น
ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนเพื่อเปลี่ยนมุม เธอเห็นจริงๆ ว่าใต้เปลือกหยกนั้นมีแสงแวววาวที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่…
ปกติแล้วหินหยกที่ยังไม่ถูกผ่ามักจะมีเปลือกหยกที่หยาบกระด้าง อาจเรียกได้ว่าน่าเกลียดก็ยังได้ หินหยกยังถูกเรียกว่าก้อนหยกดิบอีกด้วย แต่ถ้าก้อนหยกดิบมีแสงแวววาวยังจะเรียกว่าก้อนหยกดิบได้อยู่อีกเหรอ? อีกอย่าง หากผ่าหยกออกมาแล้วแต่ไร้การเจียระไน หยกก้อนนั้นจะเผยความงามที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะของหยกออกมาได้อย่างไร
โบราณกล่าวว่า หยกไม่เจียระไนไร้จำหลัก หยกนั้นจักหาประโยชน์ใช้ได้ไม่ เฉกเช่นคนไม่ร่ำเรียนขัดเกลาใจ คนนั้นจักไร้ซึ่งเหตุผลและหลักการ
หรือนี่จะเป็นอวี้อิ๋ง[1]? ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางลิงโลด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันต้องเป็นหยกที่สวยมากและหายากสุดๆ แน่เลย
ซีเหมินจินเหลียนวางมือขวาลงบนก้อนหินหยกตรงหน้า คลื่นความร้อนจากมือขวาแผ่ซ่านผ่านหินหยก พลันเปลือกสีน้ำตาลที่มีความหนาประมาณหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นค่อยๆ จางหายไปจากสายตา ทันใดนั้น สีแดงที่ปรากฎแก่สายตาทำให้ซีเหมินจินเหลียนตื่นเต้นจนแทบหยุดหายใจ…
ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สีแดงตรงหน้าที่เธอเห็นนั้นเป็นหยกสีเลือดในตำนานหรือ? ไม่ผิดแน่ สีแดงสดสวยงามจับจิตจับใจแบบนี้ต้องเป็นหยกสีเลือดไม่ผิดแน่
แม้มีเพียงแสงสว่างจากเทียนไขเพียงเล่มเดียวแต่สีแดงที่มองผ่านเนตรหัตถายังคงสวยงามจับจิตจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ซีเหมินจินเหลียนนึกถึงบันทึกเกี่ยวกับหยกสีเลือด…หยกสีเลือดเป็นหนึ่งในหยกในตำนานของหยกเนื้อแข็งสีเขียวและสีแดง ในสมัยโบราณคนจีนไม่นิยมหยกชนิดนี้มากนัก หากแต่ชื่นชอบหยกเนื้ออ่อนมากกว่า โดยเฉพาะหยกสีขาวหรือหยกไขมันแกะซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของคนรักหยก
หยกสีเขียวนั้นเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง ส่วนหยกสีแดงนั้นเป็นสีมงคลจึงได้รับความนิยมทั่วๆ ไป
ในบรรดาหยกสีแดงทั้งหลายนั้น หยกสีแดงเพลิงจัดว่าดีที่สุด มีเพียงหยกสีแดงเพลิงสว่างสุกใสแวววาวดั่งแสงอรุโณทัยเท่านั้นที่จัดว่าเป็นหยกชั้นเยี่ยม แต่หยกสีแดงในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นหยกสีแดงหม่นไร้ความแวววาว จึงเป็นเหตุให้หยกสีแดงไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่
หากเอ่ยถึงหยกแล้ว บางคนให้ความสำคัญกับความโปร่งใสของหยก บางคนให้ความสำคัญเรื่องสีหยก และสำหรับคนที่ให้ความสำคัญเรื่องสีหยกนั้นหยกจะต้องสีสดและสีกระจายตัวสม่ำเสมอจึงจะดีที่สุด เมื่อเทียบกับหยกสองสีที่มีทั้งหยกสีแดงและสีเหลืองในชิ้นเดียวกันที่ซีเหมินจินเหลียนเลือกได้จากอาคารทิศตะวันตกแล้ว ถือว่าสีสันไม่เด่นสะดุดตานัก
ส่วนหยกสีแดงลายทองคำที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อมากจากร้านเถ้าแก่โจวนั้น เมื่อเทียบกันแล้วสีแดงสดของมันโดดเด่นสู้หยกสีเลือดตรงหน้าไม่ได้เลย หากไม่ใช่เพราะลายทองคำก็คงไม่มีวันขายได้ราคาสูงขนาดนั้นแน่ๆ
หยกสีเลือดที่มีสีแดงสดราวโลหิตมนุษย์นั้นมีเพียงแต่ในตำนานเท่านั้น เล่าขานกันมาแต่โบร่ำโบราณว่าเครื่องหยกเป็นหนึ่งในภาชนะที่มีความลึกลับที่สุด และหยกสีเลือดที่มีสีแดงสดราวโลหิตมนุษย์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความลี้ลับที่ชนเผ่าโบราณกราบไหว้บูชาและกลายเป็นตำนานเล่านขานต่างๆ สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน
แม้แต่ในปัจจุบัน หยกสีเลือดยังคงเป็นหยกที่มีสีสันลี้ลับราวอยู่ในตำนาน ใช่ว่าจะไม่มีหยกสีแดงในตลาด แต่หยกสีแดงสดเช่นนี้แทบจะใกล้เคียงกับหยกในตำนานก็ว่าได้
นอกจากนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแต่งขึ้น ว่ากันว่าคนที่ใส่หยกสีเลือดนานๆ จะช่วยสร้างสมดุลกับร่างกายและจิตใจ พลังแห่งหยกจะช่วยรักษาสภาพร่างกายให้คงความอ่อนเยาว์เสมอ
สิ่งที่มนุษย์เฝ้าฝัน…คือคงความอ่อนเยาว์ตลอดกาล…
ซีเหมินจินเหลียนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แต่ก็มิอาจลดความตื่นเต้นในใจลงได้ แม้แต่มือขวาก็ยังสั่นเทาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น เป็นเพราะแสงแวววาวของอวี้อิ๋งนั่นเองที่ทำให้ผู้เฒ่าหูให้ความสำคัญกับหินหยกก้อนนี้หนักหนา
แม้ผู้เฒ่าหูจะไม่รู้ว่าหินหยกก้อนนี้เป็นหยกสีเลือดในตำนาน แต่เขาต้องรู้แน่ว่ามีอวี้อิ๋งอยู่ข้างในถึงได้ให้ความสำคัญกับมันมากเป็นพิเศษจนถึงขั้นกราบไหว้บูชาหินหยกก้อนนี้กันเลยทีเดียว!
ตอนนี้เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดผู้เฒ่าหูจึงให้เธออ่านหยกในห้องมืดๆ ที่มีแสงสว่างวับแวมจากเทียนไขเพียงเล่มเดียว เพราะมีแต่การอ่านหยกภายใต้แสงจันทร์สลัวเท่านั้นจึงพอจะสังเกตเห็นแสงแวววาวของอวี้อิ๋งได้
หากเธอใช้ไฟฉายหรือแว่นขยายเธอจะไม่มีวันเห็นแสงแวววาวแบบนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดตกแล้วซีเหมินจินเหลียนจึงเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อผู้เฒ่าหูขึ้นมาในทันที ดูภายนอกเหมือนเขาจะตั้งใจกลั่นแกล้งเธอ แต่ความจริงแล้วเขากำลังช่วยเธอต่างหาก
ซีเหมินจินเหลียนวางมือขวาลงบนหินหยกอีกครั้ง คราวนี้เธอจะมองทะลุเพื่อดูรายละเอียดทั้งหมดของหินหยกก้อนนี้ ต่อให้เป็นหยกสีเลือดในตำนานแถมยังมีอวี้อิ๋งด้วยก็เถอะ แต่เธอก็ยังต้องดูรายละเอียดอื่นๆ ให้ครบถ้วน ทั้งน้ำหยกและเนื้อหยกที่ซ่อนอยู่ข้างในว่ามีอยู่เท่าไหร่กันแน่?
เปลือกหยกสีน้ำตาลค่อยๆ จางหายไปจากสายตาซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง หยกสีเลือดสวยงามจับจิตจับใจที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกหยกหนาประมาณหนึ่งเซนติเมตรปรากฎแก่สายตาอีกครั้ง มันเป็นหยกสีเลือดน้ำงามยิ่งนัก เนื้อหยกเนียนละเอียดเป็นประกายแวววาวและโปร่งใสมากจนฟันธงได้ทันทีว่าเป็นหยกเนื้อแก้วแน่นอน และหยกก้อนนี้ดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซีเหมินจินเหลียนคือนอกจากเปลือกหยกเนียนละเอียดแล้ว ภายในยังเป็นหยกสีแดงสดที่บริสุทธิ์ไร้มลทินอีกด้วย!
ซีเหมินจินเหลียนขอให้มีเนื้อหยกเพียงแค่หนึ่งส่วนสามของก้อนหินหยกเธอก็พอใจมากแล้ว ไมสิๆ ไม่ต้องมีมากถึงหนึ่งส่วนสามก็ได้ ขอแค่มีเนื้อหยกมากพอเจียระไนกำไลหยกสักสองสามคู่เธอก็พอใจแล้ว แต่…หยกสีเลือดก้อนนี้ก็สวยงามและเยี่ยมยอดเกินคาดจริงๆ
ซีเหมินจินเหลียนใช้มือจับก้อนหินหยกเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วยืดขาคลายความเหน็บชาเพราะนั่งนานเกินไป พลางคิดในใจว่าผู้เฒ่าหูจะคิดค่าหินหยกเท่าไหร่กันนะ?
ซีเหมินจินเหลียนรีบคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของตัวเองทันที เธอขายกำไลหยกสีแดงลายทองคำสองคู่ได้เงินมาหนึ่งร้อยหกสิบล้านหยวน บวกกับเงินที่ได้จากการขายก้อนหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดที่ขายไปก่อนหน้านี้ รวมๆ กันแล้วยังไม่ถึงสองร้อยล้านหยวนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะพอไหมนะ?
“เฮ้อ…ฉันก็ยังจนอยู่ดี!” ซีเหมินจินเหลียนแอบถอนหายใจ ในวงการอัญมณี การมีเงินสองร้อยล้านหยวนนั้นถือว่าน้อยนิดมาก เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะคำว่าอัญมณีน่ะสิ ขึ้นชื่อว่าอัญมณีแล้วมีแต่คำว่าล้ำค่าควบคู่เป็นเงาตามตัว
การที่ผู้เฒ่าหูยอมให้ซีเหมินจินเหลียนจุดธูปบูชาหินหยกนั้น ย่อมหมายความว่าเขารู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าหินหยกก้อนนี้มีโอกาสผ่าชนะสูงมาก แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ…ในเมื่อผู้เฒ่าหูมั่นใจมากขนาดนั้นแล้วทำไมเขาไม่ผ่าหยกเสียเองล่ะ?
เพียงเปิดหน้าหยกออกเล็กน้อยก็สามารถทำให้หินหยกก้อนนี้ราคาสูงขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าตัว ไม่เห็นจำเป็นต้องทิ้งร้างไว้เป็นสิบๆ ปีแบบนี้เลย
“จินเหลียน เรียบร้อยแล้วเหรอครับ?” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนจึงรีบเดินเข้าไปประคองเธอให้ลงจากแท่นบูชาแล้วถามเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีนะคะ ถ้าไม่แพงเกินไปฉันคงซื้อค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ
“ก็จริงครับ” จันไป๋ตอบรับยิ้มๆ
ผู้เฒ่าหูเดินช้าๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “คุณซีเหมินอ่านหยกแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” เหล่าหลี่ที่เป็นนายหน้ารีบเดินตามเข้ามาในห้องเพราะความอยากรู้ด้วยอีกคน
“คุณหูเสนอราคามาเลยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ย
ผู้เฒ่าหูยกมือขึ้นแล้วชูหนึ่งนิ้ว เหล่าหลี่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบาด้วยความตกใจ “สิบล้านหยวน?” ตาเฒ่านี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไง
ผู้เฒ่าหูตวัดสายตามองเหล่าหลี่แล้วส่ายศีรษะ “ไม่ใช่สิบล้าน!”
“หนึ่งร้อยล้านหยวนเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามหยั่งเชิง ต่อให้ราคาสูงถึงหนึ่งร้อยล้านหยวนเธอก็ซื้อแน่นอน เพราะหยกสีเลือดที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นล้ำค่าเหลือเกิน อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยล้านหยวนเลย ต่อให้ผู้เฒ่าหูเสนอราคาสามร้อยล้านหยวนเธอก็คิดว่าไม่แพงเลยสักนิด ขอแค่มีเงินเธอต้องซื้อแน่นอน
เหล่าหลี่ได้ยินราคาแล้วถึงกับหน้าถอดสี หนึ่งร้อยล้านหยวนเลยหรือ? โอ้ พระเจ้า นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม?
จ่านป๋ายเองก็ถึงขั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ เช่นเดียวกัน ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่หินหน้าตาธรรมดาราคาสูงตั้งหนึ่งร้อยล้านหยวนเลยเชียวหรือ? นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี เท่าที่เห็นก็ไม่เห็นมีลักษณะอะไรที่บ่งบอกสักนิดว่าข้างในมีเนื้อหยกอยู่จริงๆ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นกระมังที่รู้ว่าผ่าหยกแล้วจะโชคร้ายเหมือนพี่น้องตระกูลเริ่นสองคนนั้นหรือเปล่าที่ข้างในมีแต่หินสีขาวไร้ค่าเท่านั้น
“คุณผู้หญิงครับ!” จ่านป๋ายได้แต่ส่งสายตาปรามซีเหมินจินเหลียนด้วยความหวังดีเพราะหนึ่งร้อยล้านหยวนไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย
ผู้เฒ่าหูชายตามองจ่านป๋ายอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยเสียงเรียบเย็น “หนึ่งร้อยล้านหยวนขาดตัว!”
[1]อวี้อิ๋ง (玉莹) 玉= อวี้ หมายถึงหยก 莹= อิ๋ง หมายถึงความแวววาว
หมายถึงหยกที่มีแสงแวววาวเป็นประกายแพรวพราว เพราะหยกเนื้อแก้วหรือหยกเนื้อน้ำแข็งที่มีความโปร่งใสมาก เมื่อมองผ่านแสงจะมีแสงแวววาวและมีประกายแพรวพราว