ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 400 ฉายาของเยี่ยนจ้าวเกอ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อสูญเสียความได้เปรียบด้านสถานที่ไป การตอบโต้ครั้งสุดท้ายของเหล่ายอดฝีมือด้านวรยุทธ์แห่งมหาอำนาจแปดพิภพ ก็บีบปีศาจอัคคีจนต้องถอย

การต่อสู้ในในครั้งนี้ ท้ายที่สุดก็มาอยู่ในช่วงตัดสิน

ถึงแม้ปีศาจอัคคีจะถอยร่น แต่ว่าราชันปีศาจเช่นพวกจิ่งจง ยังคงต่อสู้กับพวกหยวนเจิ้งเฟิงด้วยพลังอันโดดเด่น ก่อให้เกิดการสูญเสียมากมาย

แต่ว่ายอดฝีมือเผ่ามนุษย์ยังคงกัดฟันไล่ตาม สร้างผลการรบให้ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ขับไล่ปีศาจอัคคีออกจากมหาอำนาจแปดพิภพ

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เข้าร่วม บัดนี้เขายืนอยู่เหนือเจดีย์สีแดง

‘ปีศาจอัคคีแทบจะไม่สร้างอาวุธ เจดีย์องค์นี้ไม่เหมือนเป็นฝีมือของปีศาจอัคคีเช่นกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ

กระนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังไม่เข้าใจ

แต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าเจดีย์เล็กสีแดงองค์นี้ มิใช่สิ่งที่ปีศาจอัคคีสร้างขึ้นมาเองอย่างแน่นอน

มันเหมือนกับเกิดขึ้นในมหาอำนาจแปดพิภพมากกว่า

เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ‘ได้มาโดยบังเอิญ หรือมีคนมอบให้ปีศาจอัคคีกันแน่’

ชั่วขณะนั้น ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอเกิดความคิดมากมายแวบขึ้นมา จินตนาการพรั่งรู จากนั้นทุกอย่างก็หยุดลง

ชายหนุ่มลองเชื่อมต่อกับเจดีย์สีแดงองค์นี้ด้วยจิตของตัวเอง แต่ว่ากลับเหมือนหินจมลงมหาสมทุร เจดีย์สีแดงยังคงเงียบงัน คล้ายกับอยู่ในสภาวะหลับลึก ไม่มีปฏิกิริยากับการกระตุ้นจากโลกภายนอก

เยี่ยนจ้าวเกอใส่ญาณจริงแท้ของตัวเองในเจเดีย์ มันสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย ลวดลายมักรสีน้ำเงินที่วนเวียนอยู่บนผิวพลันเปล่งแสงออกมา

มีกระแสปราณเย็นความร้อนผสมผสานกันสะท้อนสู่ตัวเยี่ยนจ้าวเกอ

ปราณวิญญาณมหาศาลที่หลอมไม่หมดเต็มเปี่ยวอยู่ในร่างกาย เยี่ยนจ้าวเกอจึงมิได้ดูดปราณวิญญาณต่อ

แต่ว่าในตอนที่ปราณวิญญาณเชื่อมต่อกัน ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอก็ปรากฏภาพหนึ่งขึ้น

ในโลกที่เป็นสีแดงฉานทั้งใบ เปลวไฟที่เดิมควรจะบ้าคลั่ง กลับอยู่ในสภาวะที่ผิดไปจากปกติ

เพราะเปลวไฟในโลกนั้นสงบและราบเรียบ เหมือนกับกระแสน้ำก็ไม่ปาน

ในโลกเปลวเพลิงสีแดงนี้ เมฆสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งเดี๋ยวรวมตัวเดี๋ยวกระจัดกระจาย ไม่มั่นคงเหมือน้ำแข็งทั่วไป แต่กลับอยู่ในสภาวะเคลื่อนไหวตลอดเวลา

น้ำแข็งกับไฟดูผิดปกติ แต่ดูไปกลับเข้ากันอย่างน่าประหลาด

ทำให้รู้สึกว่า เดิมทีมันควรจะเป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นถือว่าผิดปรกติ

น่าอัศจรรย์และน่าประหลาดนัก

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพนี้ ในใจคล้ายมีแสงประหลาดสว่างขึ้น เหมือนจะพวยพุ่งออกมา

‘อืม การใคร่ครวญความลี้ลับของภาพนี้มีประโยชน์ต่อพลังฝึกปรือไม่น้อย’ เยี่ยนจ้าวเกอลองเก็บเจดีย์สีแดงด้วยถุงย่อส่วน

เป็นดังคาด ไม่เหมือนซากมังกรก่อนหน้า ที่ต้องใช้เสาระเบียงวังเทพมาสะกดการเคลื่อนไหว เพียงเตรียมพื้นที่ในถุงย่อส่วนให้มากพอ ก็ใส่เจดีย์สีแดงได้พอดิบพอดี

ชายหนุ่มเก็บเจดีย์สีแดง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ

เขาเห็นคนจำนวนมากที่อยู่รอบๆ ในตอนนี้มีสีหน้าซับซ้อน สายตาจับอยู่บนร่างของตน

คนที่พักฟื้นและไม่ได้ไล่ตามปีศาจอัคคี ส่วนใหญ่แล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังปราณไปมาก จึงใกล้จะหมดแรงเต็มที

แต่เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองไป กลับเห็นคนที่มีสภาพค่อนข้างดีอยู่ด้วย

นั่นเป็นชายชราใบหน้ากว้าง สีหน้าน่าเกรงขาม ในตอนนี้เขากำลังมองตนด้วยสายตาเคร่งขรึม

ถึงจะพบกันเป็นครั้งแรก แต่เยี่ยนจ้าวเกอเคยเห็นภาพเหมือนใบหน้าของอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว

หนึ่งในเจ็ดสุริยัน จงเทียนจวิน ผู้รับผิดชอบสูงสุดจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพำนักอยู่ที่ทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออก เขามีตำแหน่งเทียบเท่าผู้อาวุโสระดับหนึ่ง ฟู่เอินซูแห่งเขากว่างเฉิงที่อยู่ในทะเลตะวันออก

ในสงครามก่อนหน้า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีผู้ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ว่าจงเทียนจวินไม่ได้เสียพลังมากนัก

ตามปกติ เขาควรจะไล่ตามปีศาจอัคคีพร้อมหวงกวงเลี่ย แต่ตอนนี้กลับรั้งอยู่ที่นี่

แต่ถึงอย่างไรแนวรบทั้งหมดของปีศาจอัคคีก็พังลายลงแล้ว คิดจำกัดพวกที่เหลืออยู่บนทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออก น่าจะไม่จำเป็นต้องให้คนระดับจงเทียนจวินออกโรง

เยี่ยนจ้าวเกอใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร

เป็นเจดีย์สีแดงของตนนั่นเอง

ปีศาจอัคคีสั่นสะเทือนการไหลเวียนของชั้นใต้ดิน ของมหาอำนาจแปดพิภพที่ไม่คุ้นเคยได้ขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น ของสิ่งนี้ย่อมมีประโยชน์อย่างมหาศาล

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์่ซึ่งปั่นปั่วนเพราะความวุ่นวายที่วังสุสานทะเลเพลิง ณ ทุ่งร้างแดนเหนือ พุ่งเป้ามาที่ของสิ่งนี้ย่อมสมเหตุสมผล

ถ้าหากเป็นปัญหาของสำนักอื่น ไม่แน่ว่าเยี่ยนจ้าวเกออาจจะยอมช่วย แต่ว่าพอเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ศัตรูคู่อาฆาต ก็ไม่จำเป็นต้องคิดด้วยซ้ำ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของวังสุสานทะเลเพลิงที่ทุ่งร้างแดนเหนือ นั่นเป็นฝีมือของเยี่ยนจ้าวเกอด้วย

ชายหนุ่มไม่สนใจจงเทียนจวินที่จ้องตาเป็นมันอยู่แม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าฟู่เอินซูจะบาดเจ็บสาหัส แต่เหล่าผู้อาวุโสที่ไม่ได้รับบาดเจ็บท่านหนึ่งของเมืองทะเลมรกตก็อยู่ที่นี่เช่นกัน

ถึงแม้จะไม่ทราบว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องการทำอะไร แต่เมืองทะเลมรกตให้ความสนใจศัตรูคู่อาฆาตมาโดยตลอด การเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของจงเทียนจวินทำให้เมืองทะเลมรกตผิดสังเกต ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจึงอยู่แถวนี้ด้วย

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอย่างดุดัน ไม่มีใครยอมลดราวาศอก

สายตาขอจงเทียนจวินเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกต แววตาของเขาเคร่งขรึมยิ่งนัก บัดนี้เขาเริ่มกระวนกระวาย แต่ก็ยังคงนิ่งงันไม่พูดจา

บรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ดึงดูดความสนใจของคนอื่น

เวลาผ่านไปพักหนึ่ง จงเทียนจวินเห็นว่ามิอาจทำอะไรได้ ท้ายที่สุดเขาก็ละสายตา และหมุนตัวจากไป

พวกมหาปรมาจารย์ที่อยู่ที่นี่ก็พากันแยกย้ายเช่นกัน

สงครามยังไม่ได้จบลง มหาปรมาจารย์ที่ได้รับบาดเจ็บหนักเหล่านี้ไม่สามารถไปที่แนวหน้าอีก จึงหันมาจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ จัดตำแหน่งด้านหลัง อีกทั้งกวาดล้างปีศาจอัคคีที่หลงเหลืออยู่บนมหาสมุทรพร้อมกับจอมยุทธ์ที่มีพลังค่อนข้างน้อยคนอื่น

หลังจากสงครามอันดุเดือดผ่านไป การหมุนวนของปราณวิญญาณที่ทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออกก็แทบจะพังทลาย สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลตายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ที่นี่เกือบจะกลายเป็นดินแดนร้างเฉกเช่นปฐพีพิภพ

ถึงแม้ว่าทะเลชั้นในของทะเลตะวันออก รวมถึงทะเลใต้ ทะเลเหนือ และมหาสมุทรที่อยู่ไกลออกไปจะเชื่อมต่อกัน ทั้งยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่คิดจะทำให้สภาพแวดล้อมเหมือนเดิม จำเป็นต้องใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง

และทุกคนล้วนทราบว่า ประตูที่เชื่อมกับโลกปีศาจอัคคีสุดท้ายก็ยังอยู่ที่นี่ ต่อจากนี้ทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออกจะเป็นสนามรบ เกรงว่าจะไม่มีวันสงบสุขอีก

เยี่ยนจ้าวเกอรั้งอยู่ด้านหลัง ข่าวที่แนวหน้าถูกส่งมาไม่ขาดสาย

พวกยอดฝีมือระดับสูงอย่างหยวนเจิ้งเฟิงไล่ล่าปีศาจอัคคี และขับไล่พวกมันออกจากมหาอำนาจแปดพิภพได้สำเร็จ

ถึงแม้ปีศาจอัคคีจะพ่าย แต่ยอดฝีมือส่วนใหญ่ล้วนกลับโลกปีศาจอัคคีอย่างสะดวก

ทางด้านยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ ผู้คุมหอคลื่นโหมอันชิงหลิน เจ้าเมืองทะเลมรกตซ่งอู๋เลี่ยง รวมถึงปราชญ์ภาพวาดผู้อาวุโสม่อล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่ว่าไม่มีจอมยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์คนไหนเสียชีวิตเลย

สงครามครั้งใหญ่ปิดฉากลง หลังสงครามยังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก แต่ในที่สุดก็ไม่นับว่าเป็นวิกฤติอีกต่อไป

ทว่าคำพูดที่ปราชญ์ภาพวาด ผู้อาวุโสม่อซึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกได้ฝากไว้ก่อนกลับเกาะภาพวาด ทำให้คนเกิดความคิดมากมาย

“เยี่ยนจ้าวเกอแห่งเขากว่างเฉิง ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า ใช้มือเดียวยกนภา อนาคตกว้างไกล”

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจของทุกคน สุดท้ายกลายเป็นความชื่นชม

ด้วยเหตุนี้ ฉายาผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้าเยี่ยนจ้าวเกอ จึงขจรขจายไปทั่วใต้หล้า