ตอนที่ 566 คลุมถุงชนอย่าหน้าไม่อาย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีกล่าว “ตำหนักโม่อวี่รึ ? แน่นอนว่าเจ้าต้องไป เดิมทีข้ายังไม่แน่ใจนักว่าสาขาที่สองของเสียโจวจะไปเปิดที่ไหน ด้วยเพราะเจ้าเป็นผู้อาวุโสที่สามแห่งตำหนักโม่อวี่ จะทำเรื่องต่าง ๆ ในเขตของตำหนักโม่อวี่นั้นคงเป็นอะไรที่เหมาะสมที่สุดแล้วใช่ไหมล่ะ ?”

โม่จิ่นพยักหน้ารับ “อืม ที่จริงแล้วข้าก็คิดเช่นนั้น”

มีนักปรุงยาระดับสูงอยู่ถึงสิบสองคนคอยดูแล ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีและโม่จิ่นจะจากไป หอหมอปีศาจก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นมา

ตำแหน่งของตำหนักโม่อวี่อยู่ในเมืองโม่  เมืองโม่นั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองใจกลางของทวีปเสียโจว ระดับของเมืองก็สูงกว่าเมืองตงไห่ถึงหนึ่งขั้นเพราะเมืองแห่งนี้มีสำนักนิกายระดับหนึ่งคอยดูแลอยู่

เมื่อโม่จิ่นและมู่เฉียนซีก้าวเข้าไปในตำหนักโม่อวี่ ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้น “ท่านผู้อาวุโสที่สาม หัวหน้าตำหนักเชิญท่านไปที่โถงห้องประชุมขอรับ” “ข้าเข้าใจแล้ว”

เวลานี้มีคนอยู่ในห้องประชุมใหญ่ไม่น้อย  ผู้ที่นั่งตรงตำแหน่งหลักนั้นเป็นคนรุ่นอาผู้มีใบหน้างามละม้ายคล้ายคลึงกับโม่ซางคง แต่ยังไม่ทันที่จะให้เหล่าบรรดาผู้คน ณ ที่แห่งนั้นเริ่มติเตียนโม่จิ่น ผู้อาวุโสสูงสุดก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง “เจ้า… เจ้าออกมาแล้วรึ ?!”

แน่นอนว่าคำพูดนี้ของผู้อาวุโสสูงสุด เขาจงใจกล่าวกับมู่เฉียนซี

ระยะเวลาที่นางเข้าไปในจวนชางไห่มันเกินเลยกว่าเวลาปกติไปมาก นางไม่น่าจะออกมารวดเร็วเช่นนี้ได้ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “อืม ข้าออกมาแล้ว ท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้”

“ข้าไม่ตื่นเต้นได้รึ ? ในเมื่อเจ้ายังมีชิวิตอยู่” เสียงโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดถูกส่งออกมา

มู่เฉียนซียิ้มยียวนก่อนจะกล่าวตอบออกไป “โอ้! ท่านเองก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันนี่”

“เจ้า… บังอาจนัก!  ข้าจะฆ่าเจ้า!”

บรรยากาศทั่วทั้งห้องประชุมตึงเครียดขึ้นมาในบัดดล หัวหน้าตำหนักโม่รีบกล่าวทัดทานเพื่อให้สถานการณ์เย็นลง “เอาล่ะ ๆ พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันได้แล้ว” สายตาของเจ้าตำหนักโม่ตกทอดไปยังร่างของโม่จิ่น เขากล่าว “เหอะ! ออกมาแล้วแต่กลับมัวไปเที่ยวเล่นอยู่ที่เมืองตงไห่ ไม่รู้จักกลับมาหาข้าเสียบ้าง”

โม่จิ่น “ขอประทานโทษเจ้าตำหนักโม่ มันไม่ง่ายเลยกว่าที่ข้าจะออกจากเกาะวิญญาณมรณะมาได้  ข้าอยู่ที่นั่นมานาน ในเมื่อออกมาแล้วก็ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อยปะไร!  แต่ดูสิ หลายวันมานี้แทนที่ข้าจะได้เที่ยวเล่นเต็มที่ ยังต้องมาโดนพวกท่านเร่งให้กลับมาอีก”

ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ท่านเจ้าตําหนัก ท่านอย่าได้เกรงใจเขานักเลย เจ้าเด็กนี่ยังไม่ตายก็ยังไม่ปรับปรุงตัว เห็นทีคงต้องสั่งสอนให้ดี ๆ”

เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังลอยมา “ผู้อาวุโสที่สามออกมาจากเกาะวิญญาณมรณะได้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ทว่าท่านทำลายชื่อเสียงของบุตรสาวข้า และทำให้บุตรสาวของข้าหลับใหลไม่ยอมตื่นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ พวกเราหอชิงลั่วไม่ยอมจบเรื่องนี้แน่”

เสียงนั้นเป็นของท่านผู้นำแห่งหอชิงลั่วหรือหัวหน้าหอชิงลั่ว  เขามาเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่บุตรสาวของตนเอง โม่จิ่นกล่าวถามขึ้น “เช่นนั้นมิทราบว่าหัวหน้าหอชิงลั่วต้องการจะเอาอย่างไรล่ะ ? จะส่งข้าไปที่เกาะสิ้นวิญญาณอีกรึ ? สถานที่แห่งนั้นข้าเที่ยวเล่นทั่วเสียจนเบื่อแล้ว และมันมิอาจที่จะกักขังข้าเอาไว้ได้”

หัวหน้าหอชิงลั่ว “แน่นอนว่าไม่ถึงขั้นนั้น ในเมื่อเจ้าทำลายชื่อเสียงบุตรสาวของข้า เจ้าควรแต่งงานกับนางเสีย ตบแต่งเข้ามาเป็นคนของหอชิงลั่วเป็นอย่างไร ?”

โม่จิ่นตอบ “นี่มันไม่ถูกต้อง ข้ารักอิสระ  มักชอบการเล่นเสเพลไปเรื่อย  เกรงว่าจะทำให้คุณหนูใหญ่ชิงต้องมาคอยแบกรับความลำบากใจเปล่า ๆ ”

โม่จิ่นจัดเป็นบุคคลระดับมหาจักรพรรดิ แน่นอนว่าพวกเขามิได้มีแผนเช่นนั้น

และในตอนนี้ ผู้ไร้ความสามารถที่หลับใหลอยู่ผู้หนึ่งแลกกับตัวผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิเป็นเรื่องที่คุ้มค่าอย่างมาก มีหรือโม่จิ่นจะโง่ไปตอบตกลง “ข้าขอปฏิเสธ ข้าจะไม่แต่งงาน” โม่จิ่นกล่าวอย่างจริงจัง

ชิงฮุ้ยสวนทันที “งั้นเจ้าคืนความบริสุทธิ์ให้กับพี่สาวของข้ามา ที่เจ้าไม่อยากจะแต่งงานกับพี่สาวของข้าเป็นเพราะนางสารเลว ใช่ไหมเล่า ?”

แม้อีกฝ่ายจะมีไฟสุมร้อนในใจ แต่โม่จิ่นยังคงนิ่งสงบพอตัว “ทางที่ดีเจ้าเก็บเอาคำพูดนั้นของเจ้ากลับไปเสียดีกว่า  มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะใช้กำลังกับสตรี”

หัวหน้าตําหนักโม่รีบกล่าวขึ้น “พี่ชิง ท่านเปลี่ยนข้อเรียกร้องของท่านได้หรือไม่ล่ะ ?”

“ข้อเรียกร้องอีกข้อหนึ่งคือให้นายน้อยโม่สู่ขอฮุ้ยเอ๋อร์ นางสองคนมีรูปลักษณ์สง่างาม ทั้งยังมีพรสวรรค์สูงส่ง ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว” หัวหน้าหอชิงลั่วกล่าว อีกผู้หนึ่งเป็นถึงผู้อาวุโสที่สามระดับมหาจักรพรรดิ อีกผู้หนึ่งนั้นเป็นนายน้อยแห่งตำหนักโม่อวี่ ไม่ว่าจะเสียสละตัวผู้ใดมาตบแต่ง พวกหอชิงลั่วก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายที่ได้กำไร

หัวหน้าตำหนักโม่กล่าว “อา… เรื่องนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”

หัวหน้าหอชิงลั่วกล่าวตอบ “ข้าผู้นี้ให้หน้าแก่ตำหนักโม่อวี่มากพอแล้ว หากว่าข้อเสนอทั้งสองนี้พวกเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นโม่จิ่น เจ้าจงระวังตัวให้ดีและจงหดหัวอยู่แต่ในตำหนักโม่อวี่ มิเช่นนั้นคนของหอชิงลั่วของข้าอาจเผลอพลั้งมือฆ่าเจ้าหมอนี่เข้าให้ก็ได้ ถึงตอนนั้นขอเจ้าตำหนักโม่จงอย่าได้ช้ำใจก็แล้วกัน!”

เจ้าตำหนักโม่ขมวดคิ้ว สายตากวาดมองไปที่โม่จิ่น

“จิ่นเอ๋อร์!”

สําหรับโม่จิ่นแล้ว เขาปฏิบัติต่อโม่จิ่นเสมือนเป็นบุตรแท้ ๆ ของตนเองเสมอมา ในครานั้นที่ต้องส่งโม่จิ่นไปยังเกาะวิญญาณมรณะ ก็ด้วยเพราะมีเหตุจำเป็นต้องทำ ความแข็งแกร่งของตำหนักโม่อวี่กับหอชิงลั่วช่างห่างชั้นกันยิ่งนัก

โม่จิ่นมิได้เป็นลูกในไส้ เขาไม่สามารถเทียบกับลูกชายที่เขาให้กำเนิดขึ้นมาได้ เพราะอย่างไรเสียโม่ซางคงก็เป็นนายน้อยแห่งตำหนักโม่อวี่ จะให้ไปแต่งงานกับชิงฮุ้ยที่โหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน

เขาทราบดีว่าหัวหน้าตำหนักโม่อวี่ไม่อยากให้เขาต้องตาย กอปรกับไม่อยากเสียสละตัวอาคงไป ดังนั้นแล้วเขาจึงยินยอมให้ความร่วมมือ

ใบหน้าของโม่จิ่นหม่นคล้ำ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

ทันใดนั้น โม่ซางคงผุดลุกขึ้นยืนและกล่าวขึ้น “ท่านหัวหน้าหอชิงลั่ว การแต่งงานระหว่างข้ากับคุณหนูรองชิงสามารถปรึกษากันได้” ชิงฮุ้ยกล่าวอย่างตื่นเต้น “พี่คง ท่านจะแต่งงานกับข้า ท่านตกลงว่าจะมาสู่ขอข้าแล้ว”

“คงเอ๋อร์!”

“นายน้อย!”

สีหน้าของหัวหน้าตำหนักโม่อวี่และบรรดาผู้คนในที่นั้นพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก นี่มันมิใช่เรื่องเล่น ๆ

มุมปากของโม่จิ่นยกขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในตําหนักโม่อวี่อย่างเหลวแหลกเพียงใด ก็ยังคงมีคนผู้หนึ่งที่ใส่ใจจริงจังกับเขาอย่างแท้จริง นั่นก็คือผู้ที่เป็นพี่น้องของเขานั่นเอง ในเมื่อเป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้พี่น้องท้องมารดาเดียวกับตนต้องไปเข้าปากเสือ เขาแค่เพียงต้องออกจากตำหนักโม่อวี่ไปก็เท่านั้น อย่างไรเสียเขาก็อยากจะออกไปจากที่นี่มานานแล้ว

หอชิ่งลั่วจะส่งคนมาสังหารเขา เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่าพวกนั้นจะมีความสามารถมากพอหรือเป็นแค่ปวกเก่งแต่ปาก เก่งแต่ลั่นวาจา

“ข้าอาสาแยกตัว…”

เขายังกล่าวไม่ทันจบประโยค มู่เฉียนซีก็ได้กล่าวแทรกขึ้นมา “หัวหน้าหอชิงลั่ว มิทราบว่าเดินทางมาครั้งนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลชิงมาด้วยหรือไม่ ?”

“แน่นอนว่าข้าไม่ได้พามา นางป่วยหนัก ไม่เหมาะที่จะเดินไปไหน!” มู่เฉียนซีกล่าว “ขอให้ท่านหัวหน้าหอชิงลั่วนำตัวนางมา ข้าสามารถทำให้คุณหนูใหญ่ชิงตื่นขึ้นมาได้ เมื่อถึงตอนนั้นความจริงทั้งหมดก็จะได้กระจ่างชัด”

“ความจริง… ความจริงอะไร ?”  หัวหน้าหอชิงลั่วกล่าวถามเสียงเครียด

“ความจริงที่ว่าโม่จิ่นไม่ได้แตะต้องคุณหนูใหญ่ชิงเลยยังไงล่ะ” ถึงแม้นางไม่รู้ว่าในตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่นางเชื่อว่าโม่จิ่นจะไม่ทำเช่นนั้นแน่

“ตลกสิ้นดี มีคนเห็นตั้งมากมาย เจ้ากลับบอกว่ามันไม่ใช่” ชิงฮุ้ยแค่นเสียงเย็นชา “แม่สาวน้อย หากจะเดิมพัน เจ้าจะเดิมพันด้วยอะไร ?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ถ้าหากว่าข้าไม่สามารถช่วยคุณหนูใหญ่ชิงได้ เช่นนั้นชีวิตของโม่จิ่นเจ้าเอาไปได้ตามสบาย และยาเม็ดเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นของเจ้า ข้ายกให้เลย!”

“อืม ยาเม็ดระดับเก้าสามร้อยขวด ยาเม็ดระดับปฐพีสามสิบขวด ที่แห่งนี้มีคนเป็นพยานมากมาย ข้านั้นไม่คืนคำอย่างแน่นอน”

โม่จิ่นแสยะมุมปาก นายท่านเอาอีกแล้ว!

นางมักจะโยนเหยื่อล่อที่ใหญ่โตเช่นนี้ออกไป แล้วรอให้ผู้อื่นมาติดกับดักของตน

ดวงตาของชิงฮุ้ยกระตุกอย่างแรง นึกถึงเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ที่โดนนางหลอก นางจึงได้เตือนสติบิดาของนางที่เป็นหัวหน้าหอชิงลั่วว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ไปเชื่อหญิงสาวผู้นั้น นาง…”

นางไม่สนใจใยดีอะไรกับยาเม็ดเหล่านี้ แต่ผู้คน ณ ที่แห่งนั้นล้วนแต่ตะลึงค้างกันไปแล้ว  พวกเขาถูกทำให้ตะลึงงันจนสติปัญญาไม่ทำงาน และไม่ได้สนใจอะไรกับคำเตือนของชิงฮุ้ยเลย

คนของตำหนักโม่อวี่เองก็ตะลึงงันเช่นกัน นั่น…

สาวน้อยคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่!  เมื่อนางลงเดิมพันก็ได้นำยาเม็ดระดับสูงออกมามากมายเช่นนี้ น่าหวั่นพรึงนัก!

โม่ซางคงยิ้มอย่างจืดชืด เมื่อนางได้ออกตัว อันตรายครั้งนี้ของอาจิ่นจะต้องแก้ไขได้อย่างแน่นอน

หัวหน้าหอชิงลั่วถามขึ้น “เจ้าพูดจริงรึ ?”