เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ผู้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทุกคนก็ตกใจเล็กน้อย

“อวี้โม่ ซูน่า พวกเจ้ากลับมาแล้ว”

สวี่ซิ่ว—มารดาของซูน่าเป็นคนแรกที่ตอบสนองด้วยรอยยิ้มกว้าง

“มานั่งก่อนเถอะ ดูท้องของเจ้าสิ”

ป้าหลานสังเกตเห็นครรภ์ของฉินอวี้โม่ที่ใหญ่ขึ้น จากนั้นนางก็วางเบาะนุ่มลงบนเก้าอี้ข้างตัวพร้อมเอ่ยเรียกให้ฉินอวี้โม่มานั่งลงก่อน

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธน้ำใจของป้าหลานและซูน่าก็พยุงนางเดินไปนั่งลง

“แม่สาวตัวน้อย ข้าได้ฟังท่านลุงกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองวารีมายาแล้ว แม้ว่าเจ้าจะทำถูกต้อง มันก็ยังทำให้พวกเราเป็นห่วงมาก ตอนนี้ในเมื่อเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เราก็จะได้รู้สึกโล่งใจกันสักที”

ความเป็นห่วงที่ป้าหลานมีต่อฉินอวี้โม่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ตลอดช่วงที่ผ่านมาที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน นางมองฉินอวี้โม่เป็นคนในครอบครัวอย่างแท้จริง

ป้าหลานไม่มีบุตรทายาทสืบสกุล เพราะเหตุนั้นนางจึงมองฉินอวี้โม่เป็นดั่งบุตรหลานที่รักอย่างจริงใจ สำหรับทารกน้อยในครรภ์ของฉินอวี้โม่ ป้าหลานก็ปฏิบัติเหมือนกับเป็นหลานคนหนึ่งที่นางรักใคร่และหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง

“ขอโทษที่ทำให้ป้าหลานเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเขย่ามือของป้าหลานเบาๆ นางรู้สึกได้ว่าป้าหลานหวังดีต่อนางอย่างไม่มีเงื่อนไขและนางก็ซาบซึ้งใจกับความเมตตาของสตรีผู้นี้อย่างที่สุด

“เหอะ อวี้โม่ เจ้ายังกล้ากลับมาอีกรึ!”

เมื่อเห็นผู้ที่ตนเองกำลังกล่าวถึง เฉินสวินก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนเรียกสติกลับคืนมา เขาแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวพร้อมสีหน้าเย้ยหยัน

“ผู้อาวุโสสาม เหตุใดข้าจะไม่กล้าล่ะ? ชนเผ่าเมฆาครามแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านของข้า แน่นอนว่าข้าต้องกลับมา”

เมื่อได้ยินวาจาเชิงตำหนิของเฉินสวิน นักฆ่าสาวก็มิได้สะทกสะท้านขณะกระตุกยิ้มมุมปากและกล่าวตอบโต้

“ผู้อาวุโสสาม ท่านต้องการที่จะเผชิญหน้ากับข้าอย่างซึ่งๆหน้าไม่ใช่รึ? นี่ไง ข้ามาแล้ว มีอะไรก็ว่ามาสิ”

น้ำเสียงของฉินอวี้โม่ราบเรียบและฉายรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า ความนิ่งสงบเช่นนี้ทำให้เฉินสวินประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

“เหอะ ย่อมได้ ข้าขอถามเจ้าว่าการตายของพ่อแม่อาอู่เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?!”

หลังจากพยายามควบคุมสติของตนเองให้เย็นลง เฉินสวินก็มองฉินอวี้โม่และเอ่ยคำถามที่ทำให้คนอื่นแทบหัวเราะพรืดออกมา

“พรืดดด! ผู้อาวุโสสาม ท่านคิดเองไม่ได้รึ? ข้าไม่เคยมีความบาดหมางใดๆกับพ่อแม่ของอาอู่ อีกทั้งข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วการตายของพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไรกัน?”

วาจาและสีหน้าของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความดูหมิ่น ผู้อาวุโสสามผู้นี้ช่างเขลายิ่งนักถึงได้เอ่ยคำถามออกมาอย่างไร้ความคิดเช่นนี้

เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้และรู้สึกเช่นเดียวกันว่าเฉินสวินดูจะสมองเลอะเลือนไปแล้ว

เฉินสวินเองก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่าคำถามของตนเองเมื่อครู่ฟังดูไม่ฉลาดและไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นักขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีกครา เจ้ากล้าเอ่ยคำสาบานรึไม่ว่าเจ้าไม่ใช่สายลับที่เมืองวารีมายาส่งมา?”

หลังจากเรียกสติกลับมาและปรับอากัปกิริยาอีกครา เฉินสวินก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“ฮ่าๆๆ ไม่มีปัญหา ว่าแต่…ผู้อาวุโสสามกล้าให้สัตย์สาบานรึไม่ว่าท่านมิได้ถูกยุยงหรือจูงจมูกโดยผู้อื่นและคิดทรยศชนเผ่าเมฆาคราม?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและโต้ตอบกลับไปอย่างทันควัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของผู้อาวุโสสามก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อกวาดสายตาและพบว่าทุกคนรอบตัวกำลังจับจ้องมาที่ตนเอง สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม

เวลานี้เขาขึ้นหลังเสือแล้วก็คงจะลงได้ยาก หากเขากล่าวว่ามิกล้า เขาก็จินตนาการถึงจุดจบของเรื่องนี้ได้ดี

* 骑虎难下 ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ความหมายคือ เมื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วพบอุปสรรคใหญ่ แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องทำอย่างนั้นต่อไปจนถึงที่สุด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจหยุดกลางคันได้ เปรียบได้กับ การขึ้นหลังเสือที่ดุร้าย ลงจากหลังเสือเมื่อใดอาจถูกเสือจับกินเมื่อนั้น

“เหตุใดข้าต้องสาบานว่าข้าไม่ได้ทรยศต่อชนเผ่าเมฆาครามหรือไม่ถูกผู้อื่นชักจูงด้วยเล่า? ข้าทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของชนเผ่าเมฆาครามทั้งสิ้น เจ้าอย่ายุให้รำตำให้รั่วเลย”

* 挑拨离间 ยุให้รำ ตำให้รั่ว ความหมายคือ ยุแยงให้ผู้อื่นแตกคอกัน ความหมายเหมือนกับเสี้ยมเขาให้ชนกันและยุแยงตะแคงรั่ว

เมื่อกล่าวจบ เฉินสวินรู้สึกพึงพอใจกับคำตอบของตนเองเป็นอย่างมาก

เพียงแต่…เขาไม่ทราบเลยว่าอากัปกิริยาลังเลเพียงชั่วขณะของตนเองจะอยู่ในสายตาของทุกคน บางคนเริ่มคลางแคลงใจในตัวเขาเพราะความลังเลเมื่อครู่

“ฮ่าๆๆ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดข้าจะต้องสาบานด้วยล่ะ? ข้าก็มิใช่สายลับจากเมืองวารีมายาเช่นกันและข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่น่าละอาย การที่ท่านอยากให้ข้ากล่าวสัตย์สาบานนั้นเพื่ออะไรกัน?”

แน่นอนว่าอดีตนักฆ่าสาวผู้เคยพานพบกับคนใจคดทุกรูปแบบไม่ยอมลดละเพียงเพราะคำตอบของอีกฝ่าย นางเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวตอบโต้ นางจะต้องเปิดโปงเฉินสวินผู้นี้ให้จงได้

“ใช่แล้ว พวกเราทั้งหมดทราบดีว่าอวี้โม่เป็นใคร นางไม่จำเป็นต้องสาบานอะไรทั้งนั้น”

ซูน่ากล่าวเห็นด้วย ความเคารพทั้งหมดที่นางเคยมีต่อผู้อาวุโสสามได้มลายหายไปทั้งสิ้นและเวลานี้มีเพียงแค่ความรังเกียจเท่านั้น

เมื่อได้ยินวาจาของซูน่า สีหน้าของเฉินสวินก็เปลี่ยนไปทันที เป็นจริงอย่างที่ว่า นางไม่จำเป็นต้องสาบานเพื่อพิสูจน์ตัวเองแต่อย่างใด

“หากเจ้าไม่สาบาน มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีเรื่องปิดบังซ่อนเร้นอยู่และเป็นไปได้ว่าเจ้าเป็นสายลับที่เมืองวารีมายาส่งมาที่นี่!”

เฉินสวินกัดฟันแน่นและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาโกรธเคือง

“ฮ่าๆๆ มันก็เหมือนกัน หากท่านไม่สาบาน มันก็หมายความว่าท่านถูกคนอื่นชักจูงและหมายจะทำลายความสัมพันธ์ในชนเผ่าของเรา”

“ข้าคิดว่าเอาอย่างนี้จะดีกว่า ทั้งอวี้โม่และผู้อาวุโสสามต้องหลั่งเลือดสาบานเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองกล่าวความจริง เมื่อถึงตอนนั้น ทุกอย่างก็จะชัดเจนเอง”

ผู้อาวุโสใหญ่มองฉินอวี้โม่พร้อมพยักศีรษะเบาๆและกล่าวออกไป

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเห็นด้วยและหลั่งเลือดสาบานด้วยใบหน้าเรียบเฉยเพื่อพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่าตนเองมิใช่สายลับจากเมืองวารีมายา

เมื่อกฎแห่งฟ้าดินปรากฏขึ้นมาและไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่านางไม่ใช่สายลับที่เมืองวารีมายาส่งมาเพื่อก่อความวุ่นวาย

“ผู้อาวุโสสาม ถึงตาท่านแล้ว”

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เฉินสวินเป็นตาเดียว เวลานี้พวกเขาไม่สงสัยในตัวฉินอวี้โม่อีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม การกระทำของเฉินสวินน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนรู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสสามผู้นี้น่าจะถูกยุยงจากใครบางคนและต้องการทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในชนเผ่าเมฆาคราม

เมื่อเห็นสายตาของทุกคน สีหน้าของเฉินสวินก็เปลี่ยนไป

แน่นอนว่าเขาไม่กล้าหลั่งเลือดสาบานเพราะเขาถูกดึงดูดด้วยข้อเสนอบางอย่างกอปรกับการยุแหย่ของคนบางกลุ่มอย่างแท้จริง หากเขาหลั่งเลือดสาบาน เขาจะต้องมีอันเป็นไปทันที

“บัดซบ! เจ้าเมืองฉินบอกว่าเรื่องนี้เป็นความจริงไม่ใช่รึ!”

เขาอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ทว่าทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าวอย่างชัดเจน

“เจ้าเมืองฉิน? นี่ท่านกล้าแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินส่าวชิงงั้นรึ?!”

ผู้อาวุโสสองมองเฉินสวินด้วยแววตาโกรธเคือง แม้ว่าเขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว การได้ยินอย่างชัดเจนเช่นนี้ก็เหนือความคาดหมายของเขา

“เป็นจริงอย่างที่คิดไว้ ผู้อาวุโสสาม ท่านทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”

ซูชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและใบหน้าเหยเกเพราะความโกรธเกรี้ยว

ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆและไม่เอ่ยสิ่งใด ผู้อาวุโสสามหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวอย่างแท้จริง ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าฉินส่าวชิงร่วมมือกับผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดแล้วว่าเจ้าเมืองฉินก็คงจะไม่ฉลาดเฉลียวนักเช่นกัน

* 作茧自缚 หาเรื่องใส่ตัว หาเขาใส่ตัว ความหมายคือ สร้างเรื่องขึ้นมามัดตัวเอง; ทำเรื่องขึ้นมามัดตัวเอง

“ผู้อาวุโสสาม ท่านหลอกลวงพวกเราโดยที่มีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝง หากไม่ใช่เพราะวาจาของท่านมีจุดบกพร่องมากเกินไป เกรงว่าพวกเราก็คงจะสงสัยในตัวท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ชนเผ่าเมฆาครามของเราก็จะต้องเกิดสงครามภายในอย่างแน่นอน จากนั้นพวกเราก็จะกลายเป็นตราบาปของชนเผ่า!”

ผู้ที่สงสัยในตัวฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้กล่าวพร้อมใบหน้าเจื่อนๆ หากไม่ใช่เพราะวาจาของผู้อาวุโสสามมีจุดบกพร่องมากเกินไปและพวกเขารู้จักฉินอวี้โม่พอสมควร เกรงว่าพวกเขาคงจะคล้อยตามและถูกชักจูงโดยเฉินสวินเป็นแน่

“ผู้อาวุโสสาม บอกมาสิว่าข้าควรจัดการกับท่านอย่างไร?”

ซูวั่งชวนกล่าวขึ้นเบาๆ ชนเผ่าเมฆาครามของพวกเขาปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาเสมอและไม่เคยมีผู้ใดกินบนเรือน ขี้บนหลังคามาก่อน  ทว่าการกระทำของผู้อาวุโสสามทำให้เขาไม่พอใจอย่างที่สุด

* 吃里爬外 กินบนเรือน ขี้บนหลังคา ความหมายคือ การเนรคุณต่อผู้ที่เลี้ยงดู การเนรคุณต่อผู้ที่เลี้ยงดู ไม่รู้จักบุญคุณคน

“ท่านอดีตผู้นำ ข้าผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ฉินส่าวชิงมาหาข้าและให้สัญญาว่าหากข้าช่วยเขากำจัดอวี้โม่ เขาจะมอบผลประโยชน์ให้ข้ามากมาย นั่นคือสาเหตุที่ข้าหลงผิดและทำเช่นนั้นลงไป ได้โปรด ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ไว้ชีวิตข้าเถอะ!”

เมื่อสัมผัสถึงสายตาของทุกคนที่จับจ้องมา เฉินสวินก็คุกเข่าลงทันทีด้วยความหวาดกลัวและเริ่มกล่าวอ้อนวอน

หากไม่ใช่เพราะคำสัญญาของเจ้าเมืองเพลิงมายาก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะมอบผลประโยชน์ให้เขามากมาย เขาคงไม่กล้าทำเช่นนั้นลงไป

“เหอะ ผลประโยชน์อะไรกันที่ทำให้ท่านทรยศต่อชนเผ่าได้อย่างไม่น่าให้อภัยเช่นนี้!”

ซูชิงแค่นเสียงเย็นชา เฉินสวินเป็นผู้ทรยศคนแรกที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของชนเผ่าเมฆาคราม เขาจึงสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าผลประโยชน์ใดที่ทำให้ผู้อาวุโสสามอาจหาญทำเช่นนั้น

“เอ่อ…”

เมื่อได้ยินวาจาของซูชิง เฉินสวินไม่อาจกล่าวออกไปได้ในทันที

“หากข้าเดาไม่ผิด คิดว่าเขาคงสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเมฆาครามให้กับท่านสินะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวคำพูดที่แทงใจดำเฉินสวินในทันที

เมื่อพิจารณาจากวาจาและอากัปกิริยาของเฉินสวินก่อนหน้านี้ เขามิได้เล็งเป้าหมายมาที่นางเพียงคนเดียวทว่าเป็นทั้งชนเผ่าเมฆาคราม เพราะเหตุนั้น ผลประโยชน์ที่ฉินส่าวชิงเสนอให้เขาจึงชัดเจนพอสมควร

เกรงว่าฉินส่าวชิงผู้นั้นคงจะเสนอมอบตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเมฆาครามให้กับเฉินสวินเป็นการตอบแทน เฉินสวินจึงอาจหาญได้เช่นนี้

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเฉินสวินก็เปลี่ยนไปทันทีซึ่งบ่งบอกว่านางกล่าวถูกแล้ว

“เฉินสวิน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ ท่านลุงและพี่ซูชิงปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีมาตลอด ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความคิดเช่นนั้นได้ เจ้าทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ!”

ป้าหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง เฉินสวินเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของชนเผ่าเมฆาครามซึ่งซูวั่งชวนและซูชิงปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีมาเสมอ สถานะของเขาในชนเผ่าเมฆาครามก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงพอสมควร ไม่คิดเลยว่าเขาจะเนรคุณและมีความคิดชั่วร้ายเช่นนั้น

“เฉินสวิน ไสออกไปซะ เจ้ามีส่วนร่วมและอุทิศตนต่อชนเผ่าเมฆาครามมานานหลายปีและเราจะไม่ฆ่าเจ้าในวันนี้ อย่างไรก็ตาม หากเจ้ายังไม่สำนึกผิดและยังคิดรวมหัวกับฉินส่าวชิงต่อไป อย่าโทษพวกเราในภายหลังก็แล้วกัน”

ซูวั่งชวนตัดสินใจและกล่าวขับไล่เฉินสวินไปจากที่นี่

ผู้อาวุโสสามเป็นผู้อาวุโสของชนเผ่าเมฆาครามและทำประโยชน์ต่อชนเผ่ามาแล้วมากมาย ไม่แปลกเลยที่เขาจะตัดสินใจมองข้ามเรื่องนี้ไปก่อนในเวลานี้และไว้ชีวิตผู้ทรยศ อย่างไรก็ตาม หากมีคราต่อไป ซูวั่งชวนจะปลิดชีวิตเฉินสวินด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินวาจาอภัยโทษของซูวั่งชวน เฉินสวินก็รีบลุกขึ้นและหายไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว

“ท่านอดีตผู้นำ โปรดลงโทษพวกเราเถอะ!”

เหล่าผู้ที่สงสัยในตัวฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนก่อนหน้านี้คุกเข่าลงทันทีและยอมรับความผิดของตนเอง

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่โทษพวกเจ้าหรอก”

ซูวั่งชวนกล่าวให้คนเหล่านั้นลุกขึ้นตามเดิม พวกเขาเพียงถูกหลอกใช้และมิได้มีเจตนาร้าย

“ท่านผู้นำขอรับ! ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางนำคนมาล้อมรอบชนเผ่าเมฆาครามของเรา อีกทั้งยังมีขุมกำลังอื่นอีกหลายกลุ่มที่ปรากฏตัวรอบชนเผ่า ตอนนี้พวกพวกเขากำลังเรียกร้องให้แม่นางอวี้โม่ออกไปและขอให้ท่านอดีตผู้นำออกไปอธิบายความให้ชัดเจน!”

จู่ๆบุรุษหนุ่มคนหนึ่งของชนเผ่าเมฆาครามก็วิ่งโร่หน้าตั้งเข้ามาและกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษหนุ่มผู้นี้ สีหน้าของทุกคนในกระโจมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นยืนและทุกคนก้าวออกไปพร้อมกัน พวกเขาต่างก็อยากเห็นนักว่าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางคิดจะทำสิ่งใด!