ตอนที่ 420 สายลับจากเมืองวารีมายา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ขณะขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวเข้าใกล้ชนเผ่าเมฆาครามอย่างรวดเร็ว สีหน้าของฉินอวี้โม่และซูน่าก็ไม่สู้ดีนัก

ระหว่างทาง พวกนางพบว่ามีผู้คนมากมายในเมืองเพลิงมายาที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปที่ชนเผ่าเมฆาครามอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธเกรี้ยวชัดเจนบนใบหน้า และในระหว่างนี้ยังมีร่องรอยของการต่อสู้มากมาย ดูเหมือนว่าจะเกิดการต่อสู้อันดุเดือดหลายครั้งหลายครา

ฉินอวี้โม่สั่งให้หลิวหยาสืบหาเบาะแสทว่าข่าวที่ได้รับกลับทำให้นางโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด

เมื่อนางได้รับคำเชิญไปที่จวนเจ้าเมืองแห่งเมืองวารีมายา ข่าวลือลึกลับได้แพร่งพรายออกมาจากเมืองเพลิงมายาโดยที่ระบุว่าฉินอวี้โม่คือสายลับที่ถูกส่งมาจากเมืองวารีมายาโดยมีจุดประสงค์เพื่อสืบหาข้อมูลความแข็งแกร่งของเมืองเพลิงมายาและหาทางจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างขุมกำลังใหญ่ของเมือง เมื่อถึงตอนนั้น เมืองวารีมายาก็จะฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและกำราบเมืองเพลิงมายา

แม้ว่าไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัด จอมยุทธ์หลายคนก็คล้อยตามและเชื่อข่าวนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ความบังเอิญหลายอย่างในเมืองเพลิงมายาตลอดช่วงไม่นานมานี้ พวกเขาก็เชื่อสนิทใจว่าฉินอวี้โม่คือสายลับจากเมืองวารีมายา

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่านางได้รับเชิญไปที่เมืองวารีมายาโดยฉินเฟิง—เจ้าเมืองวารีมายาในฐานะแขกคนสำคัญและซูวั่งชวนก็มีความคุ้นเคยสนิทสนมกับเจ้าเมืองผู้นี้เช่นกัน

หลายคนในเมืองเพลิงมายาเชื่อว่าฉินอวี้โม่เป็นคนโน้มน้าวใจซูวั่งชวนและชนเผ่าเมฆาครามเพื่อให้พวกเขาร่วมมือกับเมืองวารีมายาและหาทางเอาชนะเมืองเพลิงมายา

และสุดท้าย ด้วยการส่งเสริมยุยงและชักจูงของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยาง ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงมุ่งหน้าตรงไปที่ชนเผ่าเมฆาครามและต้องการถามหาความจริงจากพวกเขา

ตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลายคนบุกเข้าไปในอาณาเขตของชนเผ่าเมฆาครามและเกิดความขัดแย้งกับสมาชิกของชนเผ่าหลายครั้งหลายครา หากไม่ใช่เป็นเพราะการกลับมาอย่างถูกจังหวะของซูวั่งชวน เกรงว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ลงกว่านี้เป็นแน่

“บัดซบ เจ้าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!”

ซูน่ากวาดสายมองบรรดาผู้คนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังชนเผ่าเมฆาครามด้วยแววตาโกรธแค้น หากไม่ใช่เพราะฉินอวี้โม่ห้ามปรามไม่ให้นางกระทำสิ่งใดบุ่มบ่าม นางก็คงพรวดออกไปจัดการกับคนเหล่านั้นเสียแล้ว

“ไม่ต้องห่วง เรากลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามเพื่อดูสถานการณ์ที่นั่นก่อนเถอะ ข้าเชื่อว่าไม่น่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น หากสถานการณ์มันเกินควบคุมจริงๆ ข้าเชื่อว่ามันคงจะไม่ใช่ภาพที่เราเห็นในตอนนี้”

ฉินอวี้โม่เอ่ยปรามซูน่าให้ใจเย็นลง แม้ว่าตัวนางเองก็โกรธแค้นไม่น้อย ทว่าการใจร้อนบุ่มบ่ามเกินไปย่อมไม่มีประโยชน์อันใด ยิ่งไปกว่านั้น นางก็เชื่อมั่นในตัวซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ การจัดการกับชนเผ่าเมฆาครามไม่ใช่เรื่องง่าย

สิ่งที่ฉินอวี้โม่กังวลในเวลานี้คือมีผู้ใดในชนเผ่าเมฆาครามที่ถูกชักจูงยุยงจนเชื่อข่าวลือเหล่านี้และสร้างปัญหาให้คนในชนเผ่าขัดแย้งกันเองหรือไม่

ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าสู่ชนเผ่าเมฆาครามอย่างรวดเร็ว

ชนเผ่าเมฆาครามในเวลานี้เงียบสงบอย่างยิ่งและดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลภายนอกเลยสักนิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าใกล้กระโจมของซูวั่งชวนและคนอื่นๆ ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากข้างในซึ่งฟังดูรุนแรงมากทีเดียว

ฉินอวี้โม่และซูน่าสบตากันทันที ทว่าแทนที่จะออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและบุกเข้าไปข้างในนั้นทันที พวกนางเลือกที่จะหยุดอยู่หน้าทางเข้าและฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่ภายในคฤหาสน์ล่องหน

“ท่านอดีตผู้นำ ท่านถูกเจ้าอวี้โม่นั่นหลอกลวงและหลงเชื่อนางไปแล้วงั้นรึ? นางเป็นสายลับจากเมืองวารีมายาซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างขุมกำลังใหญ่ของเมืองเพลิงมายา จากนั้นเมืองวารีมายาก็จะมีโอกาสพิชิตเมืองของเรา!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูฉินอวี้โม่และซูน่าส่งผลให้สีหน้าของซูน่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นางทราบดีว่าเจ้าของเสียงนี้คือผู้ใด เขาคือผู้อาวุโสสามของชนเผ่าเมฆาคราม—เฉินสวิน

“เหอะ ผู้อาวุโสสาม ท่านก็เห็นแล้วว่าอวี้โม่ทำเพื่อชนเผ่าของเราแค่ไหน ทว่าท่านก็ยังคิดสงสัยว่านางเป็นสายลับจากเมืองวารีมายา นางเป็นผู้มีพระคุณของชนเผ่าเมฆาคราม ไม่ว่าภายนอกจะลือกันอย่างไร พวกเราก็เชื่อมั่นในตัวนาง”

ป้าหลานแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวแสดงความเชื่อมั่นในตัวของฉินอวี้โม่ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ป้าหลานทราบดีว่าฉินอวี้โม่เป็นคนอย่างไรและไม่มีทางเชื่อคำกล่าวหาว่าฉินอวี้โม่เป็นสายลับที่เมืองวารีมายาส่งตัวมา ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่เป็นสายลับดังที่กล่าวหาจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นางไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อชนเผ่าเมฆาคราม หนำซ้ำยังช่วยในทุกๆด้าน สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอให้ป้าหลานซาบซึ้งในน้ำใจของฉินอวี้โม่อย่างที่สุดแล้ว

“ผู้อาวุโสหลาน หากนางมิใช่สายลับที่เมืองวารีมายาส่งมา เหตุใดจึงเกิดเรื่องหลายสิ่งหลายอย่างในเมืองเพลิงมายาหลังจากที่นางปรากฏตัวล่ะ? เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามมาก่อน ทว่าเหตุใดหลังจากที่นางปรากฏตัว จู่ๆทั้งจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามจึงได้บุกรุกเข้ามาหาพวกเราและมีท่าทีเป็นศัตรูกับเราเช่นนี้?”

แน่นอนว่าเฉินสวินไม่สนใจวาจาของป้าหลาน เขาได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีของฉินอวี้โม่มาแล้วอย่างหนาหู หลังจากไตร่ตรองคิดดู ข้าก็รู้สึกว่าข่าวลือเหล่านั้นมีมูลเหตุ นั่นคือสาเหตุที่เขาเดือดดาลและต้องการจับตัวฉินอวี้โม่เพื่อส่งตัวไปให้ฉินส่าวชิงจัดการ

“ผู้อาวุโสสาม พอเถอะ ท่านน่าจะเข้าใจความบาดหมางระหว่างเราและชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเลี่ยหยางที่ฆ่าพ่อแม่ของอาอู่ซึ่งเป็นน้องสาวและน้องเขยของข้า เรื่องทั้งหมดจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร? เวลานี้เราทุกคนล้วนหวังพึ่งอวี้โม่ ท่านอยากให้ชนเผ่าเมฆาครามของเรากลายเป็นชนเผ่าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นรึ?”

ซูชิงกล่าวอย่างเย็นชาและน้ำเสียงเจือความโกรธแค้น

โดยปกติแล้วเฉินสวินผู้นี้มักจะสงบเสงี่ยมและเคารพพวกเขาอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าครานี้เขาจะหนักแน่นมั่นใจยิ่งนักและดูเหมือนว่าเขาถูกชักจูงโดยใครบางคน เขาไม่เพียงแต่ตั้งเป้าโจมตีไปที่ฉินอวี้โม่เท่านั้นทว่าเขายังรวมกลุ่มกับสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามหลายคนและมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อกดดันให้ซูวั่งชวนและซูชิงอธิบายความจริง

“ท่านผู้นำ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้ชนเผ่าของเราได้รับความเป็นธรรม ทว่าท่านกำลังทำให้ชนเผ่าเมฆาครามของเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่!”

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเฉินสวินไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แววตาของเขาดูราวกับหวังดีและเห็นแก่ประโยชน์ของชนเผ่าเมฆาครามอย่างที่สุด

“ลองคิดดูเถอะ มีเรื่องที่น่าสงสัยมากทีเดียว เหตุใดเลี่ยหยางที่ไม่เคยกล้าจัดการกับบิดามารดาของอาอู่มาก่อนจึงสังหารพวกเขาไปอย่างกะทันหันเช่นนี้? เหตุใดอวี้โม่จึงเข้ามาช่วยชีวิตอาอู่ระหว่างหลบหนีได้อย่างเหมาะเจาะพอดี? ทุกคน..พวกท่านไม่คิดว่าเรื่องนี้บังเอิญและประหลาดเกินไปหน่อยรึ?”

เมื่อได้ยินวาจาของเฉินสวิน หลายคนก็มองหน้ากันและสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะคล้อยตามทีละน้อย ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบังเอิญอย่างที่สุดและความบังเอิญคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยเช่นนี้

“ผู้อาวุโสสาม พอกันที ข้าเคารพท่านในฐานะผู้อาวุโสของชนเผ่าและไม่อยากจะโต้เถียงกับท่าน ทว่าหากท่านยังให้ร้ายพี่อวี้โม่ต่อไป อย่าโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าท่านก็แล้วกัน”

จู่ๆอาอู่ก็กล่าวออกไป สีหน้าของเขาเย็นชาและความมุ่งร้ายแผ่จากร่างของเขาทันที

ฉินอวี้โม่คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้และเขาทราบถึงตัวตนของนางเป็นอย่างดี การที่ผู้อาวุโสสามกล่าวให้ร้ายผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเช่นนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่มีทางอดทนอดกลั้นได้!

“อาอู่ เจ้าถูกเจ้าอวี้โม่นั่นควบคุมบงการไว้สินะ เจ้าจึงช่วยออกหน้าแทนนางเช่นนี้ หากเจ้าถูกควบคุมก็กล่าวออกมาเถอะ ไม่ต้องกลัว ตอนนี้แม่นางชั่วร้ายนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราจะปกป้องเจ้าเอง”

เมื่อได้ยินวาจาของอาอู่ ไม่เพียงผู้อาวุโสสามไม่โกรธเคืองเท่านั้น ทว่าเขาเดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่มและสบตาด้วยความจริงใจ

“คนที่ถูกควบคุมคือท่านต่างหาก!”

อาอู่มองตอบด้วยแววตาดุดันและกล่าวต่อ “ข้าทราบความบาดหมางระหว่างพ่อแม่ของข้าและเลี่ยหยางเป็นอย่างดี เลี่ยหยางอยากจะกำจัดพวกเขาและเปิดเผยมันอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น มันไม่ใช่ความขัดแย้งที่เพิ่งเกิดขึ้น พี่อวี้โม่ช่วยชีวิตข้าไว้เพราะข้าบังเอิญหนีไปหลบในสถานที่ที่นางกำลังฝึกยุทธ์อยู่และคนชั่วพวกนั้นกล่าววาจาหยาบคายต่อนาง นางจึงลงมือจัดการกับพวกเขา หากผู้อาวุโสสามยังกล่าวว่าร้ายผู้มีพระคุณของข้าต่อไป อย่าโทษว่าข้าหยาบคายกับท่านก็แล้วกัน!”

หากไม่ใช่เพราะซูวั่งชวนปรามไม่ให้เขากระทำการบุ่มบ่าม อาอู่ก็คงจัดการผู้อาวุโสสามไปแล้ว คนผู้นี้ริอาจกล่าวว่าร้ายดูหมิ่นผู้มีพระคุณของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยังยุยงให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในชนเผ่า ผู้อาวุโสสามผู้นี้สมควรตายเสียจริง

“ผู้อาวุโสสาม พอกันที!”

ซูวั่งชวนทนไม่ไหวอีกต่อไปและกล่าวอย่างเยือกเย็น “หากท่านได้รับคำสั่งจากใครให้กล่าวว่าร้ายฉินอวี้โม่ ท่านก็ออกไปจากชนเผ่าเมฆาครามและไปหาผู้นำของท่านเถอะ ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอยู่ที่นี่และไม่ต้องเอ่ยวาจาคมคายเล่นลิ้นใดๆ อวี้โม่ไปที่เมืองวารีมายาเพราะความจำเป็นในการทะลวงพลังของมารยา ฉินเฟิงไม่รู้จักอวี้โม่มาก่อนและเขาเชิญนางไปที่จวนเจ้าเมืองในฐานะแขกก็เพราะนางได้รับบาดเจ็บ เรื่องที่ฉินอวี้โม่เป็นคนอย่างไรนั้น ข้าเชื่อว่าทุกคนคงได้เห็นกันอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าท่านจะกล่าววาจาโน้มน้ามน่าฟังเพียงใด ไม่ว่าท่านจะพยายามกล่าวยุยงเพียงใด มันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ”

ซูวั่งชวนไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้เมื่อกลับมา เขามองเฉินสวินผู้นี้ผิดไปจริงๆและเขาก็อดรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆไม่ได้ โชคดีที่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ที่เขาไม่ได้บอกให้เฉินสวินผู้นี้รับรู้ มิฉะนั้นเรื่องจะเลวร้ายไปกว่านี้อย่างแน่นอน

น่าสงสัยยิ่งนักว่าเฉินสวินถูกโน้มน้าวใจด้วยสิ่งใด เขาจึงตัดสินใจทำเช่นนี้

เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวน หลายคนที่สับสนเมื่อครู่ต่างก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย

ซูวั่งชวนพูดถูก ฉินอวี้โม่อาศัยอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามมาพักหนึ่งแล้วและพวกเขาทราบดีว่านางเป็นคนอย่างไร วาจายั่วยุชักจูงของเฉินสวินทำให้พวกเขาเกิดความสงสัยและคลางแคลงใจทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

“ท่านอดีตผู้นำพูดถูก ทุกคนทราบดีว่าอวี้โม่เป็นคนอย่างไร ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสสามได้รับสินบนจากใครบางคนซึ่งต้องการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกเรา นั่นคือเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้”

ผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งทราบเรื่องทุกอย่างเชื่อฉินอวี้โม่อย่างสนิทใจ เขากวาดสายตามองเฉินสวินและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจ

“ผู้อาวุโสสาม ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้ ท่านถูกโน้มน้าวใจจากใครบางคนเพื่อให้พยายามจุดชนวนปัญหาความสัมพันธ์ในชนเผ่าเรา คิดผิดไปจริงๆที่เราเคยเชื่อและเคารพท่านมาก”

ผู้อาวุโสสองถือโอกาสนี้กล่าวเสริมเช่นกัน แม้ว่าไม่มีหลักฐานใดๆ พวกเขาก็เชื่อว่าผู้อาวุโสสามจะต้องรับสินบนมาจากใครอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่สร้างปัญหาขึ้นมาเช่นนี้

“พวกท่าน…”

เมื่อได้ยินวาจาของผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสอง กอปรกับสายตาไม่เป็นมิตรของทุกคนยกเว้นสหายคนสนิทของตนเอง สีหน้าของเฉินสวินก็เหยเกอย่างยิ่ง

“เหอะ หากเจ้าอวี้โม่นั่นไม่ใช่สายลับจากเมืองวารีมายาจริง เหตุใดตอนนี้นางจึงไม่กล้ากลับมาล่ะ? หากนางไม่ใช่อย่างที่ข้ากล่าวไว้ เหตุใดนางจึงไม่ออกมาเผชิญหน้ากับข้าอย่างซึ่งๆหน้าล่ะ?!”

เฉินสวินแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวยั่วยุฉินอวี้โม่ต่อไป

“ฮ่าๆๆ ในเมื่อผู้อาวุโสสามอยากจะประจันหน้ากับข้าอย่างซึ่งๆหน้า ถ้างั้นข้าก็จะจัดให้ตามคำขอ!”

เมื่อได้ยินวาจายั่วยุของเฉินสวิน นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวพร้อมกับซูน่าเพื่อปรากฏกายต่อหน้าทุกคน