เนื้อแกะย่างห้าสิบไม้ได้เข้าไปอยู่ในกระเพาะของเย่เทียนอย่างรวดเร็ว เรอออกมาด้วยความสบาย จากนั้นก็กินเบียร์ไปอึกหนึ่ง เขาถึงมองไปยังเรียกไก่ด้วยความเหลืออด
“ลูกพี่ของนายล่ะ? ทำไมยังมาไม่ถึงอีก”
“ถ้าเขายังมาไม่ถึง มือทั้งสองข้างของนายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
“จะรีบร้อนไปทำไม เดี๋ยวลูกพี่ของฉันก็มาถึงแล้ว!”
เรียกไก่รู้สึกตกใจ แล้วเอามือไปซ่อนไว้ข้างหลังตามสัญชาตญาณ
เย่เทียนยิ้มเยาะออกมาที่มุมปาก ก้มลงไปมองนาฬิกา
“หลีกไปหลีกไป จะมุงอะไรกันนักกันหนา? อย่ามาขวางทางของกูนะ!”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังมาจากฝูงชน น้ำเสียงที่หยาบคายของชายคนหนึ่งได้ดังมาแต่ไกล
“ลูกพี่เจี่ยง!”
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้แทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจี่ยงเกาเฟย แต่ละคนต่างพากันหลีกทางให้เขา แล้วกล่าวทักทายอย่างต่ำต้อย
เจี่ยงเกาเฟยรู้สึกพอใจกับการถูกผู้คนรายล้อมแบบนี้ รับรู้ได้ถึงสายตาที่เคารพของทุกคน เขาจึงยืดอกขึ้นมาโดยอัตโนมัติเดินเชิดหน้าชูตามาจากข้างนอก
พอมาถึงข้างใน เจี่ยงเกาเฟยก็มองไปรอบๆ และรับรู้ได้ถึงความผิดปกติขึ้นมาทันที
ตรงหน้าร้านปิ้งย่าง มีชายหลายคนที่กำลังนอนโอดครวญอยู่บนพื้น เรียกไก่ยืนอยู่คนเดียวในที่ไกลๆ เหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่
ส่วนบนเก้าอี้ตัวหนึ่งของร้านปิ้งย่าง กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ และกำลังแคะขี้ฟันด้วยท่าทางที่เกียจคร้านเป็นที่สุด
“เรียกไก่ นี่มันเรื่องอะไร? คนที่แกบอกอยู่ไหน?”
เจี่ยงเกาเฟยทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที แล้วตะโกนเรียกเรียกไก่อย่างไม่ชอบใจ
เรียกไก่ที่ได้ยินอย่างนั้น จึงรีบวิ่งต้วมเตี้ยมมาหา แล้วชี้ไปยังเย่เทียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ลูกพี่ มันอยู่ตรงนั้นครับ!”
“ไอ้หมอนั่นนะเหรอ? ไหนแกบอกว่าคุมตัวมันได้เเล้วไม่ใช่รึไง? นี่นะเหรอคุมได้ที่แกพูดถึง?”
“ไอ้คนไร้ค่า มันก็แค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมรึไง แต่กลับทำให้แกกลัวได้!”
เจี่ยงเกาเฟยทำหน้าเดือดดาล จิ้มๆ ไปที่หัวของเรียกไก่
“ลูกพี่ ไอ้หมอนั่นมันเก่งจริงๆ นะครับ พวกเราทุกคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย!
“ที่สำคัญ ไอ้หมอนั่นมันยังบ้าบิ่นมาก แค่เล่นงานเรายังไม่พอ มันยังบอกว่าจะทำให้พี่ได้เห็นดีด้วย!”
“ด้วยเหตุนี้ มันเลยให้ผมโทรหาพี่ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตารอพี่อยู่ตรงนั้น!”
เรียกไก่ฟ้องทั้งน้ำตาด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว
“เชี่ย! ไอ้หมอนั่นมันบ้าจริงๆ!”
“หรือแกไม่ได้บอกมันว่าฉันเป็นนักชกที่เคยได้แชมป์เหรอ?”
เจี่ยงเกาเฟยตกใจ และรู้สึกโมโหอย่างมาก สายตาที่มองไปยังเย่เทียนก็เหมือนไฟที่กำลังลุกโชน
“ไอ้หนูนี่แกเป็นใคร? แน่จริงก็บอกชื่อมา!”
เขาได้เดินเข้าไปตรงๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเย่เทียน แล้วตบโต๊ะดังปั้ง
ไอ้คนที่ชื่อเจี่ยงเกาเฟยนี่เป็นคนที่เพิ่งโผล่มาช่วงหลังนี้เอง หยางซิงเห็นว่าเขาเคยเป็นนักชกที่เคยได้แชมป์ จึงเสนอตำแหน่งในแก๊งให้ จนตอนนี้ก็ยังไม่ถึงอาทิตย์เลย แล้วจะไปรู้จักเย่เทียนได้ยังไง
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ฉันกลัวบอกชื่อไปแล้วนายจะตกใจจนช็อกน่ะ”
เย่เทียนพิจารณาด้วยสายตาที่ประหลาด
“โอ้โห ไอ้หนูแกนี่บ้าใช้ได้เลยนี่!”
“ทำร้ายคนของฉันยังไม่พอ ยังกล้ารอฉันอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าแกบ้าไปแล้วจริงๆ รึเปล่า!”
เจี่ยงเกาเฟยเลียริมฝีปากด้วยสีหน้าที่ดุร้าย เอากำปั้นขึ้นมาถู เหมือนอยากจะจัดการสั่งสอนเย่เทียนซะให้หนัก
เย่เทียนไม่เห็นเจี่ยงเกาเฟยอยู่ในสายตาเลย และได้ยิ้มออกมาที่มุมปาก
“ในเมื่อคนของฉันถูกทรมานในที่ของนาย งั้นคนที่เป็นลูกพี่อย่างนายก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้หน่อยแล้ว”
“รับผิดชอบ?”
เจี่ยงเกาเฟยหัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับได้ฟังมุกที่ตลกที่สุดในโลก
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่ไอ้หนู แกช่วยเข้าใจสถานการณ์หน่อย ที่นี่มันถิ่นของฉัน แต่แกกลับจะให้ฉันรับผิดชอบ? สงสัยหัวแกจะถูกประตูหนีบเข้าสินะ?”
พอพูดอย่างนั้นออกไป ผู้คนก็พากันหัวเราะออกมา สายตาที่มองเย่เทียนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจและสงสาร
“ลูกพี่เจี่ยงเป็นถึงนักมวยอาชีพ แถมยังเคยได้แชมป์ด้วย แค่เอาชนะลูกกระจ๊อกไม่กี่คนได้ ไอ้หมอนี่ก็คิดว่าจะเอามาใช้กับ ลูกพี่เจี่ยงได้แล้วรึไง?”
“ฉันคิดว่าเดี๋ยวถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไอ้หมอนั่นคงทนหมัดของลูกพี่เจี่ยงไม่ได้แม้แต่หมัดเดียวด้วยซ้ำ”
“จิ๊จิ๊ ไอ้พวกหน้าโง่น่ะมีทุกปี แต่คืนนี้มันกลับเยอะเป็นพิเศษแฮะ!”
เย่เทียนไม่ได้สนใจ แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่เคยหายไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ต้องการเจรจาว่า
“ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลา อย่าเสียเวลาของชีวิตจะดีกว่า”
“ในเมื่อคนของฉันถูกทรมานในถิ่นของนายมาตั้งหลายวันแบบนี้ คนที่เป็นลูกพี่อย่างนายก็ควรรับหน้าแทนลูกน้องของตัวเองหน่อยจริงมั้ย?”
“เอาแบบนี้แล้วกัน! นายหักแขนของตัวเองซะ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก!”
ปั้ง!
เย่เทียนนั้นพูดได้อย่างผ่อนคลาย แต่เจี่ยงเกาเฟยที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นโมโหจนหัวแทบลุกเป็นไฟและได้ตบลงบนโต๊ะอีกครั้ง
แรงอันมหาศาลทำให้โต๊ะสั่นไปทั้งตัว จนพวกตะเกียบใช้แล้วทิ้งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจายไปหมด
“แม่งเอ๊ย ถ้าไม่ทำแสดงความร้ายกาจให้แกดู แกก็คงจะเห็นฉันเป็นแค่แมวป่วยๆ ตัวหนึ่งสินะ?”
เจี่ยงเกาเฟยทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็ชกใส่เย่เทียนไปตรงๆ
ทว่า พอหมัดของเขาถูกชกออกไป เย่เทียนก็ได้ขยับตัวทันที
มือขวาถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว ยืดออกไปด้วยความเร็วสูง เสียงหมับดังขึ้น รับกำปั้นของเจี่ยงเกาเฟยไว้อย่างมั่นคง
เมื่อสัมผัสกันแบบนี้ หมัดของเจี่ยงเกาเฟยก็เหมือนจมเข้าไปในบ่อโคลน ไม่สามารถยืดต่อไปได้แม้แต่นิดเดียว!
ไม่เพียงเท่านั้น มันได้ทำให้เจี่ยงเกาเฟยเปลี่ยนใจ พละกำลังของเขามีเท่าไหร่ ตัวเขารู้ดีที่สุด
อย่างน้อย ลำพังแค่หมัดเพียวๆ ก็สามารถต่อยต้นไม้ที่ใหญ่เท่าถ้วยชามหักได้อย่างสบาย
แต่ว่า ตอนนี้เขาใช้กำลังทั้งหมดแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนขยับได้อย่างยากลำบาก
“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!”
เขารู้สึกตกใจ และรีบชักมือออกเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเย่เทียน แต่กลับไม่มีประโยชน์
เย่เทียนยิ้มออกมาที่มุมปาก ไม่ได้ตอบอะไร แต่แรงที่มือกลับมากขึ้นเรื่อยๆ
“แม่งเอ๊ย! รีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!”
สีหน้าของเจี่ยงเกาเฟยค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา ภายใต้ความร้อนรน ขาที่อยู่ใต้โต๊ะก็ถีบออกไป
ด้วยไหวพริบ เย่เทียนนั้นเหมือนติดกล้องเอาไว้ใต้โต๊ะ และได้เตะขาออกไปเหมือนกัน
ปั้ง!
เสียงที่อึดอัดดังขึ้นโต๊ะได้ระเบิดออกจากตรงกลาง ไม้เสียบหลายสิบอันที่วางอยู่บนโต๊ะได้กระจายไปทั่วสารทิศ
“อ้าว!”
เจี่ยงเกาเฟยถึงกับร้องเสียงหลงออกมา และได้ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้
แต่น่าเสียดาย ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ หมัดข้างหนึ่งของเย่เทียนก็ได้ซัดใส่ใบหน้าของเจี่ยงเกาเฟยอย่างแม่นยำ
ตุบ!
แก้มซ้ายของเจี่ยงเกาเฟยบวมเปล่งขึ้นมา หัวเอนไปข้างหลัง แต่เป็นเพราะเย่เทียนกำหมัดของเขาไว้จึงไม่ได้ล้มลงไป
“ฉันเคยให้โอกาสนายแล้ว ถ้าแกยอมหักแขนของตัวเองฉันก็จะปล่อยแกไป”
“แต่แกกลับไม่ยอม ตอนนี้ให้ฉันลงมือ มันก็ไม่ใช่แค่หักแขนแล้ว!”
เย่เทียนขำออกมาอย่างๆ ไม่ชอบใจ ดึงแขนกลับมา ร่างกายของเจี่ยงเกาเฟยได้พุ่งเข้าหาเย่เทียนอย่างควบคุมไม่ได้….