บทที่ 1652 - กลับคืนสู่บ้าน งานแต่ง

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1652 – กลับคืนสู่บ้าน งานแต่ง

 

“เจี้ยนเก้อ ความสัมพันธ์ของเราเหมือนย้อนกลับไปในอดีตเลยนะ พวกเรากลับกันเถอะ หลวนหลวนและทุกคนรอคอยการกลับมาของเจ้า”

 

“อืม ข้ามันอยากทําเช่นนั้น แต่ข้าจะพบหน้าแม่ของเจ้าและคนอื่นๆได้อย่างไร” แม้ว่าเจี้ยนเก้อและชิงสุ่ยจะมีความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ที่ไม่ค่อยชัดเจน และพวกเขาก็ไม่อาจทําลายกําแพงความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาทั้งหมดจึงเกิดขึ้นจากความคิดของหลวนหลวน

 

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จอมปลอมกําลังจะกลายเป็นความจริง

 

“เจ้าเป็นภรรยาของข้า และทุกคนในบ้านก็รับรู้ อย่าลืมสิพวกเรามีลูกสาวที่รอเราอยู่”ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะขณะที่เขามองดูอาการเขินอายของเจี้ยนเก้อ

 

“แต่ทุกคนในบ้านก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก หลวนหลวนเองก็โตมากพอที่จะรับรู้เรื่องเหล่านี้ หลวนหลวนคงจะเชื่อเจ้าอยู่หรอกนะ”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

 

“แม้ว่าแม่ของข้าจะยังดูไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร แต่อย่างน้อยแม่ของข้าก็รู้ว่าหญิงสาวที่งดงามคนใดคือภรรยาลูกชายของเธอ”

 

………………..

 

การเดินทางกลับใช้เวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น ทันทีที่พวกเขาออกจากพระราชวังทะเลราชนย์ ชิงสุ่ยเปิดใช้งานธงสวรรค์ปัญจธาตุ และเดินทางมาถึงมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรําในช่วงพริบตา สถานที่ของอี่หวงกู่หวู่

 

หากชิงสุ่ย เดินทางมาคนเดียวเขาจะปรากฏตัวด้านข้างของหวงกู่หวู่ แต่เมื่อเขานําเจี้ยนเก้อมาด้วย เขาจะมาปรากฏตัวอยู่ภายในเมืองอี่หวง

 

“ไปพบเจอบรรดาเพื่อนๆกันเถอะ” ชิงสุ่ยยิ้ม

 

หมอปีศาจแห่งหอคอยจักรพรรดิตื่นเต้นหรือยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบหน้าชิงสุ่ย “พี่ใหญ่ยินดีที่ได้พบ”

 

ขณะที่กล่าวชิงสุ่ยก็เดินไปยังชั้นบนสุด ซึ่งมีห้องเก่าๆที่ยังคงสภาพเดิม

 

” พี่สะใภ้และหลานชายของข้าอยู่ที่ไหนกัน?”ชิงสุ่ยหัวเราะแม้จะไม่เห็นพวกเขา ในตอนที่ลูกชายของหมอปีศาจถือกําเนิด เขาได้ขอให้ชิงสุ่ยมาเป็นพ่อทูนหัว ซึ่งแน่นอนว่าชิงสุ่ยไม่ได้ปฏิเสธ

 

ข่าวคราวกันมาถึงของชิงสุ่ยแพร่กระจายออกไป และการมาถึงของเขาครั้งนี้ เขาจะทําการพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาอย่างน้อย 1 วัน เมื่อข่าวคราวถึงหูของผู้อาวุโสปู่หยางชิง เขาได้รีบส่งบัตรเชิญฉลองงานเลี้ยงแก่ชิงสุ่ยทันที

 

งานเฉลิมฉลองเต็มไปด้วยความหรูหราและไม่มีบุคคลอื่นภายนอก ปู้หยางชิงต้องตะลึงเป็นอย่างมากเพราะตอนนี้เขามองไม่เห็นถึงความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยเลย เขาไม่อาจหยั่งรู้และไม่อาจคาดเดาอะไรได้

 

ปู้หยางชิงได้นําหญิงสาวตัวเล็กๆมาด้วยคนนึง เธอยังคงเป็นเด็กที่เติบโตมาเหมือนกับดอกไม้บริสุทธิ์และงดงาม ทันทีที่เธอเห็นชิงสุ่ย เธอกล่าวยังมีความสุขมาก “สวัสดีท่านลุง ข้าจําท่านได้”

 

ตอนที่เธอยังเล็ก ปู้หยางชิงเคยพาเธอมาเลี้ยงสังสรรค์กับชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยรักและเอ็นดูเด็กน้อยเสมอ เขาจึงมอบกําไลข้อมือเป็นของขวัญ จากนั้นเขาก็หวังว่าในอนาคตเธอจะได้เป็นคู่ครองกับชิงหลงลูกชายของเขา

 

ในงานเลี้ยงชิงสุ่ยได้แนะนําอีเย่เจี้ยนเก้อให้ทุกคนได้รู้จัก ปู้หยางชิงถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความสงสัยว่าทําไมหญิงสาวโฉมงามทั้งหลายภายใต้แผ่นฟ้าแห่งนี้ถึงได้อยู่ภายใต้การครอบครองของชิงสุ่ยเพียงผู้เดียว?

 

ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะพักอยู่ที่นี่ 1 คืน เขาใช้เวลาทั้งคืนในการพูดคุยเรื่องต่างๆกับหมอปีศาจ และปู้หยางชิง ในขณะที่อีเย่เจี้ยนเก้อออกไปเดินเล่นและเที่ยวเตร่ตามประสาหญิงสาวกับบรรดาหญิงคนอื่นๆทันทีที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลง

 

วันรุ่งขึ้นชิงสุ่ยและอีเย่ เจี้ยนเก้อกล่าวอําลาทุกคนก่อนจะออกเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิ

 

เมื่ออาศัยทักษะย่างก้าวเก้าเทวาและวิหคเพลิงนรกานต์ สัตว์อสูรของเขา ทั้งสองคนใช้เวลาประมาณ 2 วันในการเดินทางมาถึงเมืองจักรพรรดิ ซึ่งระหว่างการเดินทางทั้งสองได้นอนพิงกายอยู่บนเส้นขนอันนุ่มนิ่มของวิหคเพลิง

 

“การไปอยู่กับเจ้ามันทําให้ข้ามีความสุขจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้แหละคือความรู้สึกที่ผู้หญิงควรมี” อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวกับตัวเอง

 

“ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว เจ้ามีความสุขหรือไม่?”ชิงสุ่ยเอื้อมมือออกไปปลดเสื้อผ้าของเธอ

 

ร่างกายที่บอบบางของอีเย่เจี้ยนเก้อกําลังสั่นเครือ

 

ชิงสุ่ยแตะจมูกและกล่าวว่า “กลิ่นกายของเจ้าหอมยั่วยวนยิ่งนัก!”

 

“เจ้าคนร้าย” อีเย่เจี้ยนเก้อยิ้ม

 

เขาคือชายคนเดียวที่สามารถกลั่นแกล้งเธอได้โดยที่เธอรู้สึกมีความสุข นี่น่ะหรือคือความหมายของความรักที่เธอมี

 

…………………

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยจับมืออีเยเจี้ยนเก้อและเดินตรงไปยังประตูทางเข้าของตระกูล ทหารที่ถูกจ้างโดยชิงสุ่ยรีบกล่าวต้อนรับด้วยความประหลาดใจ

 

เมื่อเข้ามาในสนามหญ้า พวกเขามองเห็นเหวินเหรินอูซวงและติ๊ชิงกําลังนั่งเล่นกับเด็กๆ ชิงเติงและชิงนิ๋วจ้องมองดูชิงสุ่ยด้วยสายตาประหลาดใจ

 

เหวินเหรินอูซวงและติ๊ชิงดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขทันทีที่เห็นชิงสุ่ย และยิ่งมีมากขึ้นเมื่อพวกเธอเห็นอีเย่เจี้ยนเก้อ ” พี่เจี้ยนเก้อ ท่านกลับมาแล้ว!!”

 

หญิงสาวทั้งสองเข้าสวมกอดเจี้ยนเก้อและชิงสุ่ย

 

เมื่อเด็กชายทั้งสองคนเห็นเจี้ยนเก้อ เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วหยิบเอาของขวัญที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ออกมา

 

เจี้ยนเก้อรับของขวัญของเด็กๆก่อนจะอุ้มเด็กตัวน้อยขึ้นมาบนแขน มันเป็นภาพที่ดูงดงามอย่างยิ่ง ซึ่งที่เห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ ” พี่เจี้ยนเก้อ ดูเหมือนท่านจะรักเด็กๆมาก ทําไมท่านไม่ให้กําเนิดเองสักหนึ่งคนล่ะ?”

 

อีเย่เจี้ยนเก้อแสดงที่ท่าเขินอายก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้าก็พูดไปเรื่อย”

 

เมื่อได้ยินเสียงเอะอะอยู่ภายนอก ผู้คนในตระกูลก็รีบเดินออกมาไม่ว่าจะเป็นหลวนหลวน อีเย่เทียนและบรรดาภรรยาของเขา รวมทั้งคนอื่นๆ ทันที่ที่หลวนหลวนเจอหน้าอีเย่เจี้ยนเก้อเธอก็รีบวิ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว

 

“ท่านแม่”

 

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าโตขึ้นมากนักแต่เจ้าก็ยังเหมือนเดิม” อีเย่เจี้ยนเก้อสวมกอดหลวนหลวนด้วยความรัก

 

หลวนหลวนอายุย่างใกล้ 30 ปี แต่ก็ยังถือว่าเป็นเด็กเมื่ออยู่ในโลกใบนี้

 

ทั้งสองคนต้องแยกทางจากกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี หลวนหลวนเดินเข้าไปกอดชิงสุ่ยก่อนจะถามว่า ” ท่านพ่อ เมื่อไหร่ท่านจะแต่งงานกับท่านแม่สักที?”

 

ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะ เด็กน้อยคนนี้ช่างฉลาดและมีไหวพริบเกินกว่าจะรับมือ “พ่อกลับมาคราวนี้ก็เพื่อที่จะแต่งงานกับท่านแม่ของเจ้าไงล่ะ”

 

หลวนหลวนยิ้มกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อน “ข้าดีใจเหลือเกิน ท่านพ่อดีที่สุดในโลกเลย”

 

ชิงสุ่ยค่อยๆลูบหัวหลวนหลวน

 

อีเย่เจี้ยนเก้อที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชิงสุ่ยและหลวนหลวน ใบหน้าของเธอแดงก่ําพร้อมกับดวงตาที่มีน้ําตาเอ่อล้น เธอมองเห็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนที่เธอจะเดินไปหาอีเย่เทียนและโอบกอดพี่ชายของเธอ ” ท่านพี่ ท่านอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”

 

“ข้าสบายดี อยู่ที่นี่มันทําให้ข้ารู้สึกอุ่นใจเหมือนบ้านของข้าหลังหนึ่งเลย”

 

น้ําตาไหลอาบแก้มของอีเย่เจี้ยนเก้อและยังคงไหลรินอย่างต่อเนื่อง

 

“เจ้าร้องไห้ทําไม เจ้าไม่อยากเจอพวกเราหรือ?”อีเย่เทียนหัวเราะ

 

“ข้ามีความสุขเหลือเกิน” อีเย่เจี้ยนเก้อกอดบรรดาพี่สะใภ้ของเธอก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวอีเย่ เจี้ยนทง เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ตอนที่เจอกันอีเย่ทงยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุ 10 ขวบ แต่ตอนนี้เขามีร่างกายที่ใหญ่โต

 

อีเย่ทงมีความสามารถที่ไม่เลวเลยทีเดียว เขาฝึกฝนรูปแบบพยัคฆ์จนก้าวขึ้นสู่ระดับสูง แม้ว่าไม่อาจเทียบได้กับหมิงเยวี่ยเก้อโหลวหรืออี่หวงกู่หวู่ แต่อย่างน้อยเขาก็โดดเด่นและมีอนาคตที่สดใส

 

“ท่านน้า!” อีเย่ทงรู้สึกประหม่าอย่างมาก และไม่คุ้นเคยกับน้าของเขาที่มีความงามดุจนางอัปสร

 

อีเย่เจี้ยนเก้อหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนจะมอบของขวัญเป็นทักษะเพลงหมัดซึ่งเธอได้รับจากพระราชวังทะเลราชันย์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ทักษะที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นทักษะที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขา

 

ในไม่ช้ากลุ่มคนตะกูลชิงก็เดินตามกันออกมา ทันทีที่ชิงสุ่ยมองเห็นแม่ของเขา เขารีบจูงมือชิงอี้และกล่าวกับเธอว่า “ท่านแม่ เหตุผลที่ข้ากับมาในครั้งนี้ก็เพื่อแต่งงานกับเจี้ยนเก้อ”

 

ชิงสุ่ยได้ผ่านพิธีแต่งงานกับหญิงสาวของเขาทั้งหมดในบ้าน

 

ชิงอี้ยิ้ม เธอไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย เธอรอคอยวันนี้มาโดยตลอด หากนับย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่อีเย่เจี้ยนเก้อคือผู้มีพระคุณต่อตระกูลชิง แล้วตลอดช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ชิงอี้ก็เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่วันนี้จะมาถึง ซึ่งนั่นก็เป็นเวลากว่า 20 ปี

 

ชิงอี้ดึงมืออีเย่เจี้ยนเก้อด้วยท่าทางที่ดีใจอย่างยิ่งและกล่าวว่า “เจ้าจากบ้านหลังนี้ไปนานมาก และไม่ได้กลับมาเลย ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ทําอะไรกับเจ้าบ้าง แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาทํา มันทําให้เจ้ามีชีวิตที่ร่าเริง”

 

” ท่านป้า ท่านอย่าแกล้งข้าสิ” อีเย่เจี้ยนเก้อยิ้มด้วยความเขินอาย

 

ชิงอี้ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส เธอคาดเดาได้อย่างแม่นยําว่าหลังจากงานแต่งงานเสร็จสิ้น อีเย่เจี้ยนเก้อคงไม่พักอยู่ที่ตระกูลชิง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังพึงพอใจ

 

พิธีแต่งงานระหว่างชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อถูกจัดขึ้นในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า พวกเขาไม่ได้เชิญชวนคนมากมายมาเข้าร่วมพิธี ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของเจี้ยนเก้อ ในขณะที่ซิงสุ่ยเองก็ไม่ต้องการปาวประกาศอะไรมากมายเช่นกัน ทั้งสองคนมีความรักแก่กันโดยไม่จําเป็นต้องแสดงให้ผู้อื่นรับรู้ ขอเพียงแค่เพื่อนและครอบครัวใกล้ตัวรับรู้ก็พอ

 

แต่งานเลี้ยงก็ยังคงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เนื่องจากบรรดาแขกและเพื่อนๆของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความวุ่นวายกว่าทุกอย่างจะสงบนิ่งก็คงเป็นตอนท้ายพิธี ทุกคนรื่นเริงกับงานเฉลิมฉลอง ส่วนคนที่ต้องการแสดงความยินดี ชิงสุ่ยก็เปิดหอคอยจักรพรรดิเพื่อรับของกํานัลมากมาย ผู้คนที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาสามัญชนซึ่งเคยได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลชิง ทุกคนต่างร่วมยินดีโดยการมอบของขวัญ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของพิเศษแต่ก็เป็นของที่พวกเขาพยายามหามาด้วยน้ําพักน้ําแรง

 

และยิ่งไปกว่านั้น คําขอบคุณของชิงสุ่ยได้ส่งต่อถึงพวกเขาด้วยความตั้งใจโดยไม่สนใจว่าของขวัญเรานั้นจะมีค่ามากเพียงใด แค่เขารับรู้ก็มีความสุขมากแล้ว