บทที่ 1651 – ปีใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ปีใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสียงอึกทึกเกิดขึ้นมากมายภายในหอคอยจักรพรรดิ และเต็มไปด้วยกลุ่มคนของจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ หลายคนรู้ดีว่าผู้นําของหอคอยจักรพรรดินั้นคือตัวตนแห่งเทพเจ้า
ผู้คนมากมายที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นปลายล้วนแล้วแต่บาดเจ็บสาหัสภายในกระบวนท่าเดียว จึงเป็นข้อยืนยันและแทบไม่ต้องสงสัยในตัวของชิงสุ่ยเลย
เหลียนหลิงเฟิงได้ผ่านพิธีการแต่งงาน ผู้คนมักบอกว่าชายที่ผ่านการแต่งงานแล้วจะมี ความมั่นคงมากขึ้นแม้ว่าภายนอกแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ภายในย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปกว่า 10 วัน ชิงสุ่ยคอยให้ความช่วยเหลือตระกูลซีฉีและตระกูลเหลียนในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคและการต่อสู้ ด้วยคนที่เขาช่วยเหลือมากที่สุดนั่นก็คือซีฉีชา
ความแข็งแกร่งของถานท่าย หลิงเยียนและฉินชิงไม่อาจขัดเกลาได้ต่อไป ดังนั้นพวกเธอต้องหมั่นฝึกฝนเพิ่มพูนรากฐานให้มั่นคง และแก้ไขเรื่องต่างๆ ในขณะที่ชิงสุ่ยจะต้องมุ่งหน้าไปยังพระราชวังทะเลราชันย์
ถานท่าย หลิงเยียนและฉินชิงยังคงอยู่ที่หอคอยจักรพรรดิ เนื่องจากหญิงสาวทั้งสองคนแข่งกันเป็นอย่างมากและเมื่อรวมพลังกัน แม้แต่ผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นสูงสุดก็ยังต้องเกรงกลัว แม้ว่าผู้คนที่มีพลังระดับ 10-100 เต๋าจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง แล้วตัวของชิงสุ่ยที่มีพลังความแข็งแกร่งมากถึง 160 เต๋าแต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้รับพลังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ผู้ที่จะได้รับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีพลังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่ํากว่า 100 เต๋าโดยที่ 100 เต๋านั้นจะถือได้ว่าเป็นขั้นต่ําที่สุดของระดับดินแดนปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และถือได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นปลาย แต่ตัวของชิงสุ่ยนั้น แปลกประหลาดจากคนอื่นเพราะต่อให้เขามีพลัง 160 เต๋าหรือมากกว่า 320 เต๋า เขาก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พื้นะขั้นปลายเท่านั้น
แน่นอนว่าข้อยกเว้นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่ชิงสุ่ยเองก็ต้องตกอยู่ภายใต้กฎนี้
ชิงสุ่ยตัดสินใจออกเดินทาง และปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองเป็นผู้ดูแลหอคอยจักรพรรดิ หญิงสาวทั้งสองไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมหรือซักไซ้อะไรให้มากกว่า
หลังจากออกเดินทาง ชิงสุ่ยก็ใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุทันทีและปรากฏตัวที่ถ้ําสวรรค์ในชั่วพริบตา
ซึ่งทันทีที่ชิงสุยปรากฏตัว เขาก็ได้พบกับอีเย่ เจี้ยนเก้อและมู่หยุน ชิงเฉิง ทั้งสองคนมีความสุขอย่างมากที่ได้พบกับชิงสุย นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ทั้งสามคนไม่ได้พบเจอกันเลยจากนั้นอีเย่ เจี้ยนเก้อก็กล่าวกับชิงสัยว่า “แม้วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่หัวใจของข้าก็ไม่อาจหาจุดสมดุลได้ แต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่เลยตอนนี้ ข้าก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น”
ชิงสุ่ยหมดสติไปเกือบ 2 เดือน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอกําลังพูดถึงช่วงเวลานั้น?
“ข้าดีใจมากๆที่เจ้าป็นห่วงข้า แต่ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งแล้ว มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าได้อีก?”ชิงสุ่ยหัวเราะ อีเย่ เจี้ยนเก้อรู้สึกว่าคําพูดของชิงสุ่ยนั้นผิดธรรมชาติเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่พูดอะไร
” พวกเจ้าทั้งสองไปกันก่อนเลย ข้าขอตัวไปที่พระราชวังทะเลราชันย์สักหน่อย” มู่หยุน ชิงเฉิง ทักทายยิ้มและกล่าวทักทายชิงสุ่ย
” เจ้ากําลังรีบอยู่หรือเปล่า?” ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ข้าต้องการจะไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เจ้ากลับมาเสียก่อน” มู่หยุน ชิงเฉิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มและจากถ้ําศักดิ์สิทธิ์ไปทันที
ทั้งสองคนมองดูมู่หยุน ชิงเฉิงจากไป จากนั้นเขาก็เข้าไปโอบกอดอีเย่ เจี้ยนเก้อและกล่าวว่า ” ข้าคิดถึงเจ้ามากๆ!!”
อีเย่ เจี้ยนเก้อมองไปที่ชายคนนี้พร้อมกับปรากฏรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้า เธอค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นไปคล้องคอและกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน!”
ชิงสุ่ยค่อยๆขยับตัวในขณะที่ปากของเขาประทับริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว และการเคลื่อนที่เพียงแว้บเดียวเท่านั้นเขาเพิ่งหน้าตรงมายังห้องหินที่มีอยู่ภายในถ้ําซึ่งเป็นห้องของเธอ
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสงบ อีเย่ เจี้ยนเก้อ ยังคงจูบชิงสุ่ยในขณะที่เธอลืมตาขึ้น ใบหน้าอันละเอียดอ่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อที่ทรงเสน่ห์ มือทั้งสองข้างของชิงสุ่ยกําลังซุกซนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าของเธอ และค่อยๆประกบลงบนลูกโลกที่กลมมนต์อันน่าทึ่ง
เธอไม่อาจปิดกั้นเสียงครางเบาๆของเธอได้ซึ่งมันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของชิงสุ่ย จนกระทั่งเขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นกันและเริ่มปลดเสื้อผ้าของเธอออกอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยเปรียบเสมือนหมาป่าที่หิวกระหาย ในขณะที่มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกาย และเริ่มโอบเอวเหมือนไม้เลื่อย
ใบหน้าที่งดงามของเธอแดงระเรือเหมือนกับว่าจิตกําลังหลุดออกจากร่างกาย เธอโอบกอดชิงสุ่ยแน่น และไม่ปล่อยให้เขาออกไปไหน
ชิงสุ่ยมองดูโฉมงามที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ชิงสุ่ยรักอีเย่ เจี้ยนเก้ออย่างมาก และทุกอย่างในการกระทําของเธอ
“เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่หรือ? หรือว่าเจ้ากําลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น” ชิงสุ่ยกล่าวถามขณะที่อีเย่ เจี้ยนเก้อลืมตา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเขินอายแต่ยังคงโดดเด่นและดึงดูดใจ
เธอจึงรีบตอบกลับไปอย่างเร่งรีบว่า ” หากเจ้ายังเอาแต่พูดข้าคงทนไม่ได้”
เสียงสง่างามและเย้ายวนยิ่งสร้างความพึงพอใจในขณะที่มือของชิงสุ่ยก็ยังคงลูบไล้ไปตามผิวสัมผัสบนร่างกาย
“เจี้ยนเก้อ เจ้าคิดว่าข้าชอบแค่เลือนร่างของเจ้าหรือไม่?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เจ้ากําลังทํา?”เจี้ยนเก้อหัวเราะ
เธอรู้ดีว่าชิงสุ่ยพยายามทําอะไรเพื่อเธอมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้าหากเขาชอบผู้หญิงเพียงคนเดียว เขาก็คงไม่จําเป็นต้องทุ่มเทหรือเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมหาศาลเพื่อเธอ
“เกี่ยวอะไร?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
ดูเหมือนชิงสุ่ยจะเริ่มเข้าใจ เธอคงหมายถึงการที่ชอบใครสักคนนึง มันอาจจะเกิดจากการหลงใหลในร่างกาย แค่นี้ก็เรียกว่าชอบแล้วอย่างนั้นหรือ?
“ข้าพึงพอใจในทุกๆของเจ้า”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่เขาจ้องมองอีเย่ เจี้ยนเก้อ
อีเย่ เจี้ยนเก้อกล่าวด้วยน้ําเสียงเขิลอาย “ข้าเองก็ด้วย!!”
“ข้าพึงพอใจเหลือเกินที่ได้มีภรรยาเช่นเจ้า แล้วเจ้าล่ะ?”
“ไอ้คนไม่ดี” อีเย่ เจี้ยนเก้อใบหน้าแดงกล่ํา ขณะที่เธอค่อยๆแนบหน้าของเธอในอ้อมแขนของชิงสุ่ย
“ชิงสุ่ย ว่าแต่พลังของเจ้าตอนนี้อยู่ในระดับใดกัน? ข้ารู้สึกถึงพลังของเจ้าแต่ขากลับไม่อาจสัมผัสได้ “อีเย่ เจี้ยนเก้อกล่าวถามหลังจากที่ทั้งคู่ตกแต่งร่างกายจนครบเรียบร้อยแล้ว
“ปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหลายวันก่อนข้าคงมีโชคจึงทําให้ค่าทะลวงผ่านไปได้”ชิงสุยตอบ
“เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนที่เราพบเจอกันครั้งแรกเจ้าเป็นเพียงแค่ระดับปราณเซียนเทียน แต่ตอนนี้เจ้าขึ้นสู่ระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว”อีเย่ เจี้ยนเก้อรําพึงขณะถอนหายใจ
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นเจ้าเป็นอาจารย์ของข้าแต่ตอนนี้เจ้ากลายเป็นภรรยาของข้าแล้ว”
“เจ้า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดเช่นนั้น” อีเย่ เจี้ยนเก้อยื่นมือออกมาขยี้หัวของชิงสุ่ย
“จริงๆแล้ว ข้าชื่นชมเจ้ามาโดยตลอด แต่ข้าก็รู้สึกละอายใจเรื่องที่ตัวเองอ่อนแอ ข้าจึงพยายามทุกอย่างและหวังว่าสักวันหนึ่งข้าจะปกป้องเจ้าได้ ดูเหมือนสวรรค์จะเห็นใจข้าและทําให้ข้าก้าวมายืนในจุดจุดนี้และได้รักกับเจ้า” ชิงสุ่ยกล่าวความในใจออกมา
ก่อนหน้านี้ อีเย่ เจี้ยนเก้อเองก็ไม่เคยวาดฝันว่าวันนี้จะมาถึง แล้วเธอไม่รู้ด้วยว่าทําไมตอนนั้นเธอถึงเลือกช่วยเหลือชิงสุ่ย
” ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะมีจริงและไม่กล้าคิดถึงมันด้วยซ้ํา เจ้าคือผู้มีพระคุณของข้าและครอบครัวข้า และข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นดั่งเทพธิดา ถ้าย้อนกลับไป ข้าคงรู้สึกว่าข้านั้นเลวทรามยิ่งกว่าสัตว์ และไม่ควรคิดอะไรกับเจ้าเช่นนี้”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่เขายังคงจ้องมองอีเย่ เจี้ยนเก้อ
“เจ้าเห็นข้าเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?”อีเย่ เจี้ยนเก้อหัวเราะ เธอรับรู้ได้ถึงคําพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“ถูกต้อง เจ้าคือดวงใจของข้า ถ้าหากไม่มีเจ้าข้าก็คงไร้ชีวิตชีวาและคงสิ้นชีวิตไปนานแล้ว”
“เจ้าเก่งจริงๆ เจ้าประจบและเกลี้ยกล่อมข้าได้ โดยอาศัยคําพูดและรอยยิ้มหวานๆ” อีเย่ เจี้ยนเก้อยิ้ม
“แม้ว่าตัวข้าจะมีความรักที่ไม่แน่นอนแต่ความรักของข้านั้นมีให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน สําหรับเจ้าข้าพร้อมเสียสละทุกอย่างเพื่อเจ้าได้”
“ข้ารู้และข้าก็ไม่เคยคิดตําหนิเจ้า บนโลกใบนี้มีผู้หญิงที่ดีมากมาย ข้าจึงไม่มีปัญหาแม้ว่าเจ้าจะมีหญิงสาวมากมายข้างกาย” อีเย่ เจี้ยนเก้อลูบหัวของชิงสุ่ยขณะกล่าวอย่างมีความสุข