บทที่ 5 อันโตนิโอเจอนิคิตะ โดย Ink Stone_Fantasy
ตอนบ่าย
เลยมาเป็นเวลาแปดชั่วโมงแล้ว โอเล็กเปิดรถกระบะสีเหลืองคันนั้นของเขา แทบจะไปทั่วทุกแห่งในเมืองนี้แล้ว แต่เขายังคงหาตัวอันโตนิโอไม่พบ
“ฉันไม่น่าตีเขาเลย”
โอเล็กอดโทษตนเองไม่ได้
เริ่มตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนที่ชีวิตของเขาเหลือแค่อันโตนิโอ ชีวิตน้อยๆ นี้เป็นแรงผลักดันให้เขามีชีวิตต่อไป
“อันโตนิโอ ลูกอย่าเป็นอะไรไปนะ”
คุณโอเล็กซึ่งไม่ใช่ชาวคริสต์ แต่ตอนนี้เขากลับศรัทธามากกว่าเมื่อก่อน และศรัทธามากกว่าศาสนิกชนธรรมดาทั่วไปเสียอีก
แต่เขาคิดว่าความศรัทธาแบบนี้จะมากน้อยแค่ไหนก็ไม่ใช่ศรัทธาแท้จริงอะไรพอเกิดเรื่องถึงได้คิดจะไปสวดขอพร ดูเหมือนเขาจะเป็นพวกนับถือลัทธิผลประโยชน์ล่ะมั้ง?
ในที่สุด ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีจนเหมือนสีเหลืองของรถกระบะคันนี้ ซึ่งยังคงแล่นผ่านไปในเมืองวุ่ยวายแห่งนี้
แท้จริงแล้วแววตาของโอเล็กจดจ่ออยู่กับเด็กที่รูปร่างสูงกว่าหัวดับเพลิงหน่อย เขาเลยไม่ได้สังเกตเห็นวินาทีที่รถกระบะเลี้ยวไปเมื่อครู่นี้ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่
เป็นสายตาที่มองมาจาก เรือนร่างที่แข็งแรงกำยำมากคนหนึ่ง
แข็งแรงมากขนาดไหนกันแน่?
ถ้าเป็นสายตาของคนที่เดินผ่านไปมา ก็น่าจะรู้สึกประมาณว่า ‘เจ้าหมอนี่แข็งแรงเหมือนหมีสีน้ำตาลเลย!’
…
อันโตนิโอได้แต่มองรถกระบะที่คุ้นเคยคันนี้ค่อยๆ แล่นผ่านตัวเองไปอย่างช้าๆ เขามองเห็นโอเล็กตรงที่นั่งคนขับอย่างชัดเจน
บางทีเป็นเพราะว่าเขาโตขึ้นแล้ว อันโตนิโอจึงคิดว่าการมองเห็นของตนเองนี่ดีขึ้นเยอะเลย ถึงได้มองเห็นความร้อนใจบนใบหน้าโอเล็กได้อย่างชัดเจน
“พ่อ…”
ในวินาทีที่รถกระบะแล่นผ่านไป ริมฝีปากอันโตนิโอสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว เขาคิดจะโบกมือทักทาย แต่โอเล็กไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยสักนิด
อันโตนิโอมองดูรถกระบะขับเข้าไปในอีกซอยหนึ่ง เขาพูดพึมพำกับตนเอง “พ่อจำผมไม่ได้แล้วจริงๆ…ผมโตขึ้นแล้วจริงๆ!”
อันโตนิโอมองเงาสะท้อนตนเองในกระจกของร้านอาหารริมถนน ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจที่โตขึ้นแล้ว จริงสิ ตอนที่เขาออกมาจากเขตโรงงาน ยังได้แอบเอาเสื้อผ้ามาจากสวนบ้านคนอื่นชุดหนึ่งด้วย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าตอนนี้คงตัวเปลือยไปแล้ว
“คุณครับ ต้องการสั่งอะไรไหมครับ?” พนักงานร้านเดินออกมา นี่เป็นร้านขนมเค้กร้านหนึ่ง
อันโตนิโอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเค้กช็อกโกแลตให้ผมที่หนึ่ง”
ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่มันช่างดีจริงๆ เลย ชอบซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่มีใครคอยบ่นอยู่ข้างๆ ว่าอันนี้ไม่ได้อันโน้นไม่ได้อีกต่อไป
อันโตนิโอกินขนมเค้กอย่างเอร็ดอร่อยพลางเดินเล่นอยู่ริมถนน เขาพบว่าคนจำนวนไม่น้อยหันมามองทางเขา โดยเฉพาะพวกพี่สาวที่มองมาทางเขาเป็นพิเศษ
แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวพวกนี้ถึงหัวเราะกระซิกมาทางเขา บางครั้งก็กระพริบตาใส่เขาไม่หยุด จริงสิ แถมเจอพี่สาวคนหนึ่งมาชนเขา แล้วยังลูบคลำหน้าอกของเขาอีก
รู้สึกจั๊กจี้
“ไฮ! พ่อรูปหล่อ อยากไปดื่มกาแฟด้วยกันสองคนไหม?”
“เอ่อ ไม่ไปล่ะ ผมคิดจะไปหาที่เที่ยวกับเพื่อน ทุกสัปดาห์วันนี้พวกเราจะนัดไปเล่นเกมกัน!”
“งั้นเหรอ…อืม บ๊ายบาย”
หลังจากนั้นรอยยิ้มของพี่สาวก็เลือนหายไปทันที แล้วก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ อันโตนิโอกำผมตนเอง เขาไม่เข้าใจเลย คิดอยู่ในใจว่าตนเองควรจะตอบรับคำเชิญไปหรือเปล่านะ?
“ตอนนี้ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าครั้งหน้าเจออีกก็รับปากไปเลยแล้วกัน? นี่ถึงจะเป็นผู้ใหญ่…”
ตอนที่กำลังแอบคิดอยู่เงียบๆ ข้างหน้าก็มีคนพุ่งเข้ามา
คนนี้ตะโกนเสียงดังว่า “หลีกไป! หลีกไปๆ! หลีกไป!”
เห็นลุงสองคนวิ่งตามหลังเจ้าหมอนี่ที่ตะโกนวิ่งพรวดเข้ามา คนที่แหกปากกำลังถูกคนไล่ล่าอยู่
ในตอนนี้ชายคนนั้น…และลุงสองคนนี่วิ่งผ่านอันโตนิโอไป อันโตนิโอกลับต้องอ้าปากค้าง เขาจำได้แม่นว่าคนที่ถูกลุงสองคนนั่นไล่ล่าคือใคร“นิคิตะ คุณอานิคิตะ?”
…
“คุณหนีไม่พ้นหรอก”
ในที่สุดนิคิตะซึ่งถูกตามล่า ก็เข้ามาในซอยเปลี่ยวทางตัน เขาได้แต่มองข้างหน้าอย่างหงุดหงิด ทำไมตรงนี้เป็นทางตัน? นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ไอ้สารเลวที่ไหนมันก่อกำแพงเนี่ย?
แต่ไม่ว่าเขาจะสบถด่าคนที่สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาอย่างไร เขาก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าเขาไร้ทางหนีแล้ว
นิคิตะได้แต่หันกลับมา สองมือยื่นไปข้างหน้าตัวเอง คิดลองเจรจากับอีกฝ่ายดู “เฮ้ พวกพี่ พี่ซ้อมผมให้ตายที่นี่ พี่ก็เอาเงินไปไม่ได้หรอก ทำไมพวกพี่ไม่ให้เวลาผมสักหน่อยล่ะ ให้ผมได้คิดหาวิธีน่ะ?”
“อืม นิคิตะที่รัก คุณก็รู้นี่ แต่ละเดือนมีคนมากมายเท่าไรขอพวกเราไปคิดหาวิธี ผลสุดท้ายก็แอบหนีไปได้? กฎของบ่อนหลังจากยืมแล้วจะต้องคืนภายในสิบสองชั่วโมง อ้อ คุณนิคิตะ**** หรือว่าก่อนยืมเงินไม่ได้ยินกฎของพวกเราเหรอ?”
“แต่ดอกเบี้ยของพวกพี่มันโหดเกินไปนะ!” นิคิตะมองสองคนนั่นอย่างตื่นกลัวเหงื่อแตกพลั่ก
เขารู้สึกเสียใจที่เมื่อคืนวานไปดื่มเหล้าแก้เซ็งคนเดียวจริงๆ!ถ้าไม่ใช่เพราะดื่มเมามายเกินไปทำให้สมองของเขาไร้ประสิทธิภาพ เขาคงจะไม่คิดเสี่ยงโชคเดินเข้าไปบ่อนพนันใต้ดินเด็ดขาด
ผลก็อย่างที่รู้ นี่ก็คือผลที่ตามมา
“ดอกเบี้ยเท่าไร ก็พูดไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วไม่ใช่หรือไง?” คนนั้นหัวเราะเยาะพูดว่า “คุณนิคิตะกลับไปกับพวกเรา ไปคิดหาวิธีที่นั่นก็แล้วกัน”
“ถ้าคุณคิดจะขัดขืนจนถึงที่สุด ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจล่ะ”
นิคิตะมองดูชายร่างสูงใหญ่กำหมัดเสียงดังกรอบแกรบเดินเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวทันที แต่ทว่าในตอนนี้เอง นิคิตะแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง!
หนึ่งในนั้นลอยขึ้นมา…ไม่ใช่ๆๆ ถูกยกลอยขึ้นมาต่างหาก!
เจ้าคนที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าปกติคนหนึ่ง มือข้างหนึ่งคว้าเข็มขัดของชายคนหนึ่งไว้ มืออีกข้างหนึ่งกำลังออกแรงบิดแขนของเขาอยู่ แล้วก็ยกตัวเขาขึ้นมาทั้งอย่างนั้น!
สวรรค์!แต่ไหนแต่ไรนิคิตะไม่เคยเห็นใครแข็งแรงกำยำขนาดนี้มาก่อนเลย!
เจ้าคนแข็งแรงกำยำคนนี้คำรามเสียงดัง แล้วก็โยนชายคนนั้นออกไปอย่างแรง ชายที่ถูกโยนออกไปนั้นจมอยู่ในถังขยะทันที ราวกับว่าหัวกระทบกับฝาปิด ถึงได้ร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่กลับปีนออกมาไม่ได้
ชายอีกคนเห็นเหตุการณ์ พอกัดฟันก็พุ่งไปที่คนร่างกำยำนี่ สองมือโอบเอวเขาเอาไว้ ผลักอีกฝ่ายไปชิดกำแพง
แต่คนร่างกำยำคนนี้กลับใช้กำปั้นอัดไปที่แผ่นหลังของชายคนนั้นอย่างเต็มแรง!
เพิ่งจะสองสามหมัด สองมือของชายคนนั้นก็คลายออก…เขารู้สึกว่ากระดูกสันหลังของตนเองเหมือนจะหักแล้ว ไม่เหมือนโดนกำปั้นเลยจริงๆ แต่เหมือนโดนค้อนเหล็กทุบต่างหาก!
เขาถึงได้ปล่อยมือ ร่างของเขาก็ถูกอีกฝ่ายยกขึ้นสูงอย่างง่ายดาย แล้วโยนลงไปในถังขยะเหมือนกัน กลิ่นเหม็นเน่าส่งกลิ่นเป็นระยะๆ ทำให้เขาแทบจะสลบ แต่เจ้าร่างยักษ์นั่นกลับดึงฝาถังขยะปิดลงไปซะอย่างนั้น และทุบด้านนอกถังขยะอย่างแรง
เสียงดังลั่นจากด้านนอกปังๆๆ ทำให้ชายคนนั้นวิงเวียนศีรษะทันที ยื่นมือคิดจะเปิดฝานี้ออก กลับเปิดไม่ออกสักที
กลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งอยู่รอบตัวเขา ทำให้เขาอยากจะอาเจียนออกมา
ด้านนอก นิคิตะถ่มน้ำลายมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ตอนนี้เขามองดูชายร่างกำยำซึ่งจู่ๆ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา กำลังขึ้นไปอยู่บนถังขยะด้วยสีหน้าพอใจ
“โอเล็ก…เอ่อ ไม่ ผมดูผิดน่ะ” นิคิตะกำลังลังเล แล้วก็เดินมาตรงหน้าชายร่างกำยำ “โอ้ว พระเจ้า คุณหน้าตาเหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งเลย แต่คุณยังหนุ่มกว่าเขามาก อันที่จริงพอดูชัดๆ แล้วก็มีหลายอย่างไม่เหมือนกัน!”
“อา…” เดิมอันโตนิโอคิดอยากเรียกอานิคิตะเหมือนอย่างที่เคย แต่คิดๆ ดูแล้วขนาดพ่อของตนเองก็ยังจำเขาไม่ได้เลย อานิคิตะก็น่าจะจำไม่ได้เหมือนกัน
เด็กซนในร่างผู้ใหญ่คนนี้ โดยธรรมชาติแล้วก็ยังคงเป็นเด็กซนอยู่ จู่ๆ เขาก็คิดเรื่องสนุกๆ ได้ “เพื่อนของคุณแข็งแรงเหมือนผมไหม?”
“โอ้ว!พระเจ้า คุณแข็งแรงกว่าโอเล็กเสียอีก!” นิคิตะอุทาน “เหมือนหมีสีน้ำตาลเลย! จริงสิ ขอบคุณมากนะที่ช่วยชีวิตผม”
อันโตนิโอนั่งอยู่บนถังขยะกำลังแกว่งขาพูดว่า “ผมเห็นคุณเหมือนถูกคนเลวรังแกเลยช่วยคุณไว้ เป็นยังไง พอใจไหมครับ?”
นิคิตะนิ่งตะลึง รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่แปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยพูดว่า “พอใจมากเลย!ไม่มีทางพอใจไปมากกว่านี้แล้วล่ะ จริงสิ คุณชื่ออะไร? คุณเป็นคนที่นี่เหรอ? ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลย?”
ในความคิดของนิคิตะ ตามปกติแล้วคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำแบบนี้น่าจะดึงดูดสายตาผู้คนมาก ถึงแม้ไม่เคยพบเคยรู้จักกันมาก่อนก็น่าจะเคยเห็นมาบ้าง
“ผมชื่ออัน…” อันโตนิโอกระพริบตาบอกว่า “อันทอน ผมเพิ่งมามอสโก คุณไม่เคยเห็นผมก็ไม่แปลกหรอกครับ”
“เพิ่งมา?” นิคิตะตะลึงงัน พยักหน้าราวกับเห็นด้วย “จริงสิ ถ้างั้นเราหาที่กินอะไรกันคุยกันไปพลางๆ ดีไหม?”
อันโตนิโอคิดว่าการพูดคุยกับอานิคิตะเป็นเรื่องแปลกใหม่มากเหมือนกัน ก็เลยพยักหน้าไป
ตอนนี้เองจู่ๆ นิคิตะก็พูดว่า “เดี๋ยวก่อน คุณช่วยลงมาก่อนได้หรือเปล่า?”
อันโตนิโอกลับใช้สองมือดันตัวกระโดดลงมาได้แล้ว แล้วนิคิตะก็หันหลังให้อันโตนิโอ แล้วเปิดฝาถังขยะ “ผมขอดูเจ้าสองคนนี้หน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”
พูดไป มือของเขาก็ยื่นไปทางชายทั้งสองคน เจ้าสองคนนี้เจอกลิ่นเหม็นเน่ารมจนสลบไปแล้ว
นิคิตะล้วงกระเป๋าเงินสองใบออกมาจากถุงผ้าของสองคนนั่น แล้วก็หยิบธนบัตรข้างในออกมา หลังจากนั้นก็โยนกระเป๋าเงินกลับลงไปในถังขยะ
“พวกมันเป็นไงบ้าง?” อันโตนิโอถามด้วยความอยากรู้
นิคิตะรีบหันเดินกลับมาข้างๆ อันโตนิโอ เดิมคิดจะโอบบ่าของอีกฝ่าย แต่ส่วนสูงมันต่างกันเกินไป จึงเปลี่ยนเป็นตบหลังของอีกฝ่ายเบาๆ แทน เขายิ้มพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่สลบไปเท่านั้น อีกสักพักก็จะฟื้นเอง…จริงสิ ผมรู้จักร้านอาหารดีๆ ร้านหนึ่ง รสชาติอาหารใช้ได้เลย!เดี๋ยวผมพาคุณไปเอง! อ้อ ใช่แล้ว ผมน่าจะเลี้ยงคุณสักมื้อด้วยเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม! ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ วันนี้ผมดูแลคุณเอง! อันทอน!”
…
…
“นี่ห้องทดลองของเธอเหรอ?”
คุณสาวใช้ก็เคยพูดไว้ ด้วยก่อนหน้านี้เจ้านายคนก่อนไม่ค่อยออกมาข้างนอก และเพื่อทำใฟ้ความปรารถนาของลูกค้าเป็นจริงได้ โยวเย่จึงมีห้องทดลองเป็นของตนเองห้องหนึ่ง
อยู่แถวๆ สถานีรถไฟใต้ดินที่งดงามตระการตาอย่างยิ่งในมอสโก พูดให้ชัดก็น่าจะอยู่ใต้ดินแถวๆ บริเวณจัตุรัสแดง อยู่ลึกกว่าทางรถไฟใต้ดินหน่อย
โยวเย่เคยบอกว่า ‘ถ้าให้ย้ายของที่นี่ไปจะค่อยข้างยุ่งยากพอสมควร’
พอเห็นการจัดวางสิ่งของด้านในห้องใต้ดินที่มโหฬารแห่งนี้ ในที่สุดลั่วชิวก็เข้าใจแล้วว่ามันยุ่งยากขนาดไหน
เจ้าของร้านลั่วอ้าปากค้าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เขาแค่คิดอยู่เงียบๆ ว่า ‘เมื่อก่อนโยวเย่เคยปล้นชิงสถานที่จำพวกห้องวิจัยองค์การนาซ่าอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า…’