ไม่นานอาการป่วยของต้ากั๋วจิ้วก็คงที และมู่เหมียนก็หยุดร้องไห้ ฮูหยินกั๋วจิ้วเข้ามาในวังอย่างรวดเร็ว นางไปเข้าเฝ้าพระพันปีก่อน แล้วจากนั้นก็ไปที่ตำหรงเต๋อ
ฮูหยินกั๋วจิ้วไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้บุตรสาวได้ออกจากตำหนักเย็นและกลับมาที่ตำหนักหรงเต๋อแล้ว
เมื่อมาถึงตำหนักหรงเต๋อ ก็มีคนมารออยู่ที่หน้าตำหนักหรงเต๋อแล้ว เสี่ยวสวีจื่อรีบเดินไปข้างหน้า:“เสี่ยวสวีจื่อคารวะฮูหยินกั๋วจิ้ว”
เมื่อฮูหยินกั๋วจิ้วได้ยินว่าเป็นเสี่ยวสวีจื่อ นางก็เคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าเสี่ยวสวีจื่อเป็นใคร
ฮูหยินกั๋วจิ้วได้คิดหาทางเกี่ยวกับเรื่องในวังไว้บ้างแล้ว สวีกงกงได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในจวนอ๋องเย่ ในวังจึงเปลี่ยนคนที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท และกงกงน้อยคนนั้นก็ชื่อเสี่ยวสวีจื่อ
ฮูหยินกั๋วจิ้วยิ้มอย่างสุภาพ:“กงกงลุกขึ้นเถอะ ข้ามาอย่างเร่งรีบและไม่รู้ว่ากงกงอยู่ที่นี่ นี่คือกำไลข้อมือที่พ่อแม่ของข้าให้ข้ามาตอนแต่งงาน กงกงรับไว้เถอะ หากวันหน้ามีโอกาสจะให้รางวัลที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน”
เสี่ยวสวีจื่อรีบรับของไว้และยิ้มในทันที:“ฮูหยินกั๋วจิ้วเกรงใจแล้ว เชิญฮูหยินกั๋วจิ้ว ฝ่าบาททรงประทับอยู่ข้างในนานแล้ว และกั๋วกงก็ฟื้นแล้วเช่นกัน ทุกคนต่างดีใจ”
“ขอบคุณในคำมงคลของกงกง” ฮูหยินกั๋วจิ้วเงยหัวขึ้นและเข้าไป ในที่สุดก็ได้ลืมตาอ้าปาก
หลังจากเข้าไปในตำหนักหรงเต๋อแล้ว สิ่งแรกฮูหยินกั๋วจิ้วเห็นก็คือความโออ่าของด้านในตำหนัก แน่นอนว่าไม่ได้น้อยหน้าฮองเฮาเลย
ฮูหยินกั๋วจิ้วไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย ถึงอย่างไรก็มีพระพันปีอยู่ในวัง แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่กล้าที่จะไม่ให้ไว้หน้าพระพันปี
เมื่อเข้าไปในห้องโถงชั้นใน การจัดวางในห้องโถงนั้นล้วนเป็นของมีค่ามากมาย ฮูหยินกั๋วจิ้วเดินเข้าไปข้างในอย่างสง่างาม และเมื่อเห็นจักรพรรดิอวี้ตี้ก็รีบคุกเข่าลง แต่ยังไม่ทันได้คุกเข่าลง จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เข้ามาพยุงให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง นี่เป็นสิ่งที่นางสนมคนอื่นไม่เคยได้รับเลย
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทำเช่นนี้ แสดงให้เห็นได้ว่าทรงใส่ใจมู่เหมียน
ฮูหยินกั๋วจิ้วรีบขอบพระทัย และแน่นอนว่ารู้สึกดีใจอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าที่จะแสดงออกทางสีหน้า และยังคงก้มหน้าพูดคุยกับจักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้จึงกล่าวว่า:“กั๋วจิ้วดีขึ้นแล้ว เชิญฮูหยินกั๋วจิ้ว”
เมื่อจักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่าเชิญ ฉีเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองจักรพรรดิอวี้ตี้ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดหนทาง นี่แหละหนาผู้ชาย!ได้ใหม่แล้วลืมเก่า
เมื่อก่อนคิดว่าจักรพรรดิอวี้ตี้เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว ต่อมาเมื่อแต่งพระสนมเองเซียวเข้ามาในวังก็คิดว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น และลำบากใจเช่นกัน
แต่ในตอนนี้เมื่อมาถึงมู่เหมียน ดูเหมือนว่าเขาจะมีอาการกำหนัดของสัตว์ตัวผู้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อไปคงมีนางสนมเข้ามาในวังมากมาย ชีวิตของมู่เหมียนก็คงจะไม่ง่าย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจ และก้มหน้าลงเพื่อทำการตรวจรักษาให้ต้ากั๋วจิ้ว
นางไม่เห็นว่าจักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองนาง
ปัง!
ตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจ ขวดแก้วในห้องโถงใหญ่ก็ตกลงมาบนพื้นและแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนตัวสั่นและหันกลับไปมอง นางเห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ไม่ไกล และมีเศษแก้วแตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกตะลึง เป็นหนานกงเย่ที่ทำตกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?
ในเวลาต่อมาสีหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรุดลง:“เจ้าไม่มีตาดูหรืออย่างไร หรือว่าไม่มีสมอง ขวดแก้วนั้นเป็นเครื่องบรรณาการ และมีเพียงชิ้รเดียวในต้าเหลียง”
“นี่ไม่ใช่ของที่อยู่ในท้องพระคลังหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนานกงเย่เพิกเฉยต่อคำถามของจักรพรรดิอวี้ตี้ และหยิบเศษแก้วขึ้นมา
จักรพรรดิอวี้ตี้มองอย่างไม่อดทน:“ในตำหนักหรงเต๋อมีสิ่งของที่วางแสดงไม่มากนัก จะหยิบมันมาใช้ แล้วอย่างไร?”
ทั้งสองพี่น้องโต้เถียงกัน แต่ฮูหยินกั๋วจิ้วกลับมีแผนในใจ
ดูเหมือนว่าบุตรสาวของนางกำลังจะได้มีหน้ามีตา
“ไม่อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ความโอ่อ่าของตำหนักหรงเต๋อเหนือกว่ายศตำแหน่งของหวงกุ้ยเฟย ฮองเฮาทรงยังอยู่ ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ แล้วเอาฮองเฮาไปไว้ที่ไหน?”
จักรพรรดิอวี้ตี้โกรธจัด:“ข้าว่าเจ้าคงเสียสติไปแล้ว ทหาร นำตัวอ๋องเย่ออกไป แล้วกักขังเขาไว้เป็นเวลาสองวัน และไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ!เขาจะได้ไม่พูดจาไร้สาระอีก”
หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอ่ยบอกขอร้อง นางกังวลว่านางจะถูกกักขังไปด้วย
หนานกงเย่เพียงแค่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและไม่พูดอะไร เขาไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้
“กระหม่อมบุ่มบ่าม ฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“บุ่มบ่าม?” จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้คิดที่จะปล่อยหนานกงเย่ไป ฉีเฟยอวิ๋นนกำลังคิดว่าจะช่วยเขาอย่างไร จากนั้นก็เห็นหนานกงเย่ยืนโซเซและล้มลงไปที่พื้น มีเลือดไหลออกมาจากจมูกของเขา
“ท่านอ๋อง……” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและวิ่งไป จักรพรรดิอวี้ตี้ตกใจ
หากจะบอกว่าแกล้งทำเป็นลม แล้วมีเลือดได้อย่างไร?
จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ตกใจเช่นกัน
“หมอหลวง”
หมอหลวงรีบไปตรวจดูในทันที ทุกคนต่างก็ตกใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นกังวลมาก หลังจากใช้สมาธิตรวจดูแล้ว นี่เป็นอาการของโรคหัวใจ ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบหยิบยาออกมาแล้วใส่เข้าไปในปากของหนานกงเย่ จากนั้นหนานกงเย่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“ท่านอ๋อง……” ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ด้วยความเป็นกังวล
หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋น และไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน เขารู้สึกแน่นจนพูดไม่ออก
ลิ้นของเขาช้าอยู่นาน:“ข้า……เป็นอะไร?”
“เป็นโรคหัวใจ พระองค์เจ็บตรงไหนหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะแน่ใจว่าเขาเจ็บที่หัวใจหรือไม่
หนานกงเย่มองไปที่หน้าอก ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบนำหูฟังแพทย์มาตรวจให้เขาในทันที หนานกงเย่หลับตาลง หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นฟังเสียงหัวใจของเขาแล้ว นางก็รู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้นและตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นจิตใจสับสนวุ่นวาย มู่เหมียนจึงรีบเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น
“การช่วยชีวิตผู้คนเป็นสิ่งสำคัญ เลิกร้องไห้ได้แล้ว” เมื่อมู่เหมียนกล่าวเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้สติกลับมา
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่ และใช้สมาธิตรวจดูอีกครั้ง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหลังจากที่กินยาแล้ว อาการดีขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นพยายามสงบสติอารมณ์และกล่าวว่า:“เอากล่องยามาให้ข้า”
มู่เหมียนรีบไปเอากล่องยามาให้ฉีเฟยอวิ๋นในทันที และเห็นว่าเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหัวของฉีเฟยอวิ๋น อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ คงเป็นเหงื่อของความวิตกกังวล
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ต้องใจเย็น ๆ จึงจะสามารถช่วยคนได้ เขาเป็นสามีของเจ้า แต่ก็เป็นผู้ป่วยด้วยเช่นกัน ตอนนี้เจ้าต้องสงบสติอารมณ์ การช่วยคนไม่ใช่เรื่องของความรู้สึก ไม่มีใครที่อยู่ในมือของเจ้าแล้วจะไม่สามารถช่วยชีวิตได้” มู่เหมียนนั่งยอง ๆ และให้กำลังใจฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ และเอนไปพิงมู่เหมียน หัวของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ นางต้องการใครสักคนมาคอยช่วยนาง หนานกงเย่สำคัญมากสำหรับนาง จึงไม่คอยเหมาะสมนัก และนางก็ควบคุมไม่ได้
หัวของผู้หญิงทั้งสองคนแนบชิดกัน จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และร่างกายของเขาก็กระสับกระส่าย
หลังจากที่ถอนหายใจแล้ว จักรพรรดิอวี้ตี้ก็กลับมาเป็นปกติ
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปจากมู่เหมียนและมองไปที่หนานกงเย่ นางเปิดกล่องยาและฉีดอะดรีนาลีนให้หนานกงเย่
จากนั้นก็ให้น้ำเกลือและยาแอสไพริน!
หนานกงเย่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และเห็นฉีเฟยอวิ๋นที่เหงื่อท่วมราวกับว่าไปอาบน้ำมา เขารู้สึกไม่สบายใจและกล่าวเบา ๆ ว่า:“ข้าไม่เป็นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์:“ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก พระองค์ทรงเป็นโรคหัวใจ รู้หรือไม่เพคะ โรคนี้รักษาได้ยากและร่างกายก็จะทรุดโทรม ห้ามโกรธ ห้ามโมโห ห้ามออกแรง พระองค์ทรงรู้หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดและอยากจะร้องไห้ ทำไมถึงป่วยเป็นโรคนี้?
ก่อนหน้านี้ก็รู้อยุ่แล้วว่าเขามีอารมณ์เช่นนี้ พอโกรธก็จะหมดสติไป นางจะช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ?
สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูลำบากใจ หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น:“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องไห้!เห็นเจ้าร้องไห้แล้วข้ากระวนกระวายใจ!”
มู่เหมียนลุกขึ้น และแสดงให้เห็นความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ของนาง นางจึงสั่งว่า:“พาต้ากั๋วจิ้วไปส่งที่ตำหนักด้านข้างก่อน ท่านแม่ ท่านไปด้วยเถิด แล้วพวกเจ้าสองสามคนก็ไปคอยรับใช้ หมอหลวงก็ตามไปด้วย ระวัง ๆ หน่อย”
หมอหลวงไม่กล้าที่จะละเลย และแน่นอนว่าฮูหยินกั๋วจิ้วไม่เพิ่มความยุ่งยากให้แก่บุตรสาวของนาง นางจึงตามไปที่ตำหนักด้านข้าง