“ฝ่าบาท นั่งลงก่อนเถิดเพคะ อย่ารีบร้อนเลย”มู่เหมียนดึงมือขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ เพื่อบ่งบอกว่าให้พระองค์นั่งลง

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลง มองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเพียงชั่วพริบตาเดียว

มู่เหมียนได้จัดการสั่งกำชับเสี่ยวสวีจื่อดูแลองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ว่า“เสี่ยวสวีจื่อ ดูแลฝ่าบาทให้ดีนะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

มู่เหมียนมองนางกำนัลคนอื่น แล้วกล่าวว่า“ไม่ต้องมองแล้ว มีสิ่งใดทำก็ไปทำเถิด ต้มชาเหรินเซินจาวให้ฝ่าบาทด้วย”

นางกำนัลรีบไปต้มชา มู่เหมียนมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น กล่าวว่า“อวิ๋นอวิ๋น จะไปบนเตียงหรือไม่?”

“ยังก่อน เขาอยากจะนอน มีผ้าห่มหรือไม่ เอามาให้เขาที”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถาม มู่เหมียนเลยรีบให้คนเอามาให้

ฉีเฟยอวิ๋นห่มผ้าห่มปกคลุมบริเวณเท้าทั้งสองข้างของหนานกงเย่ และพยายามที่จะไม่รบกวนทำให้หนานกงเย่ตกใจ เขานอนจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นอยู่ตลอด ใบหน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือดฝาดคืนมาเลย หนานกงเย่มีความกังวลใจ แต่เขาคล้ายดั่งไม่สามารถขยับโดยพลการได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรบกวนการทำภารกิจของหญิงทั้งสอง

ยากมากที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะได้พบเจอฉากเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงแม้บรรยากาศจะกดดัน แต่ทว่ากลับหอมหวลอบอุ่น

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้พบเจอบรรยากาศที่อบอุ่นหอมหวลเช่นนี้มาหลายปีแล้ว

พระองค์มองอย่างสงบ รู้สึกสบายอารมณ์เหลือล้น

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามว่า “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ?”

หนานกงเย่พยักหน้ากล่าวว่า“ดีขึ้นมากแล้ว ข้ามิเป็นไร”

ยิ่งหนานกงเย่อยากบอกว่าตนเองมิเป็นอันใด ยิ่งทำให้ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากเชื่อ อีกทั้งทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้

ได้ยินหนานกงเย่บอกว่ามิเป็นไร ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้วางใจ เธอเช็ดใบหน้าของหนานกงเย่ ที่มีเหงื่อมาจากอาการพร่องออก

“ท่านอ๋อง ท่านผ่อนคลายจิตใจ แล้วหายใจพร้อมหม่อมฉันเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหายใจเข้าหายใจออก หนานกงเย่จึงทำตามด้วยเช่นกัน

ทำไม่กี่ครั้งหลังจากนั้นใบหน้าของหนานกงเย่จึงมีเลือดฝาด ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงไปจูบสัมผัสริมฝีปากของหนานกงเย่ มือของหนานกงเย่สัมผัสเธอสักครู่หนึ่ง จิตใต้สำนักให้จับที่มือของเธอ

มู่เหมียนตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ยิ้มคล้ายดั่งยกภูเขาออกจากอก

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ท่านอ๋อง เก่งเหลือเกินเพคะ!”

“เดิมข้าก็เก่งอยู่แล้ว!”หนานกงเย่อึดอัดจนลำไส้ใหญ่เกร็งแข็งเขียวไปหมดแล้ว เขาไม่ควรที่จะหลอกเธอ ได้แต่มองเธอที่ถูกทำให้ตกใจ

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋น มีความกล้าหาญยิ่งนัก ต่อหน้าผู้คนมากมายหลายดวงตา คิดไม่ถึงว่าจะไม่อับอายเช่นนี้

พอนึกถึงมู่เหมียน ทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก นั่นก็คือมิสนใจสิ่งใดเลย

ฉีเฟยอวิ๋นมั่นใจว่าหนานกงเย่มิเป็นไรแล้ว เธอถึงได้นั่งลง

แต่เธอไม่กล้าละห่างออกไป เลยกอบกุมมือของหนานกงเย่อยู่ตลอด องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองทั้งสองฝ่ายกอบกุมมือกันจนใจลอย คิดพิจารณาเป็นเวลานานถึงได้ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างเอ้อระเหย

มู่เหมียนเห็นพระองค์ดื่มชาจึงเกิดความรู้สึกไม่พอใจ และมองนางกำนัลบริเวณโดยรอบ จากนั้นไปหยิบชาออก

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เงยหน้ามอง เสี่ยวสวีจื่อตกใจไม่น้อย มู่เหมียนกรอกตาขาวด้วยความหงุดหงิดใส่

“กี่โมงกี่ยามแล้วมานั่งดื่มชา มิเกรงว่าจะนอนไม่หลับหรือเพคะ ฝ่าบาทเป็นผู้มีร่างกายจิตวิญญาณสูงส่ง ไม่คิดพิจารณาเผื่อบุคคลอื่นหน่อยหรือเพคะ?”มู่เหมียนกล่าวอย่างทะนงตัว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มิได้กล่าวสิ่งใด เพราะไม่ได้ใส่ใจมาก

“พวกเจ้าจำไว้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พอเข้าช่วงดึกฝ่าบาทห้ามดื่มชา หากจะดื่มให้ดื่มชาที่เป็นสงบจิตใจเล็กน้อย”

“เพคะ”

เหล่านางกำนัลต่างทยอยตอบรับคำสั่ง มู่เหมียนถึงได้กล่าวอีกว่า“วันนี้ฝ่าบาทมิต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาหรือเพคะ?”

เสี่ยวสวีจื่อเงยหน้าขึ้น นี่เป็นการขับไล่หรือ?

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวเสียงลากยาวว่า“วันนี้ฮองเฮาอยากถือศีลกินเจ!”

ได้รู้คำหมายแล้วเลยไม่ไป

มู่เหมียนกล่าวอีกว่า“เช่นนั้นพระสนมเอกเซียวล่ะเพคะ?”

“คืนนี้ข้าจะอยู่”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวจบได้เสมองไปทางอื่น ไม่ว่ามู่เหมียนจะกล่าวอะไรอีก ไม่มองไปก็จบ

เสี่ยวสวีจื่อรีบกล่าวว่า“กระหม่อมจะไปติดไฟด้านนอกพระตำหนักตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวสวีจื่อวิ่งอย่างรวดเร็วทันใจ ตอนที่มู่เหมียนหมุนตัวมา เสี่ยวสวีจื่อได้ออกไปจากตรงนั้นเสียแล้ว

มู่เหมียนไม่จำเป็นต้องไปสนใจองค์จักรพรรดิอวี้ตี้อีก ถึงอย่างไรพระองค์จะต้องมามีข้ออ้างเพื่ออยู่แน่นอน นางก็ไม่ได้ชอบที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไปทุกแห่ง นางชอบที่พระองค์อยู่ข้างกายของนาง

แต่ว่า กฏเกณฑ์ของในพระราชวังแขวนไว้ที่นั่น ก็คงต้องรักใคร่ทะนุถนอมพระสนมทุกคน

มู่เหมียนมองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นกำลังกอบกุมมือของหนานกงเย่และมองเขาอยู่

“ลุกขึ้นได้หรือไม่?”มู่เหมียนกล่าวถาม ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ประคองหนานกงเย่ลุกไปที่เตียงไม้นุ่ม เพื่อให้เขานอนลงก่อน

“กลับเถิด”หนานกงเย่ต้องการกลับไป ชัดเจนว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก

“ตอนนี้ท่านอ๋องกลับไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเพคะ รถม้าสั่นคลอน กลับถึงจวนจะเกิดเรื่องได้ และยังคงต้องดูต้ากั๋วจิ้วด้วย เกรงว่าจะเกิดเรื่องเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอธิบายหนานกงเย่ด้วยความสงสารจับหัวใจ แต่ก็จำใจต้องยอมรับชะตาชีวิตหลับตาลง

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นกลับไปด้านหลัง และได้เรียกมู่เหมียนไปปรนนิบัติ

คนไปแล้วหนานกงเย่ถึงได้ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นไป แล้วดึงเข้าในอ้อมกอด จากนั้นกล่าวข้างหูของฉีเฟยอวิ๋นว่าแกล้ง

ฉีเฟยอวิ๋นผละออกมองพิจารณาหนานกงเย่อย่างถี่ถ้วน เธอไม่เชื่อคำพูดของหนานกงเย่ เธอชื่อการตรวจแมะผลวินิจฉัยของตัวเอง

ถึงอย่างไรการตรวจแมะจับจ้องของเธอก็ไม่เคยผิดพลาด

หนานกงเย่จ้องหน้าฉีเฟยอวิ๋น มองเธอแล้วก็ดูรู้เลยว่าไม่เชื่อ ภายใต้ความอึดอัดหงุดหงิดเลยหลับตาลงไร้การเอื้อนเอ่ย

ฉีเฟยอวิ๋นกอบกุมมือของหนานกงเย่ รอเขาหลับ ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ห่มผ้าให้เขา แล้วไปดูต้ากั๋วจิ้ว

ฉีเฟยอวิ๋นไม่วางใจเลยได้สั่งกำชับ จากนั้นถึงหมุนตัวไปหาต้ากั๋วจิ้ว

ฮูหยินกั๋วจิ้วเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ลุกขึ้นยืน ขากนั้นทำความเคารพกล่าวว่า “พระชายาเย่”

“ฮูหยินกั๋วจิ้วเกรงใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ ข้ามาเยี่ยมดูต้ากั๋วจิ้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสองประโยค แล้วอ้อมไปดูต้ากั๋วจิ้ว

วันนี้ต้ากั๋วจิ้วมิเป็นอันใดแล้ว ระดับการหายใจราบรื่น แววตาเรียบเฉย เห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวขึ้นว่า“ขอบคุณพระชายาเย่ที่ได้ช่วยชีวิตไว้ ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างที่สุด”

“ต้ากั๋วจิ้วมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เป็นเพียงแค่ความพยายามอันน้อยนิด”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวแล้วเดินเข้าไปตรวจให้ต้ากั๋วจิ้วสักหนึ่งรอบ ตอนนี้ไม่มียาฉีดแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นรอน้ำเกลือหมด แล้วจึงเอาออกจากนั้นกล่าวอธิบายชี้แจงถึงได้กลับ

ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปแล้วฮูหยินกั๋วจิ้วถึงได้หันไปหาต้ากั๋วจิ้ว ต้ากั๋วจิ้วกล่าวว่า“ต่อให้สูงอีกก็อย่างงั้นแล ไม่สามารถเพ้อฝันได้อีกแล้ว วันนี้มู่เหมียนยอมรับฝ่าบาท ข้าก็วางใจแล้ว ส่วนสิ่งอื่น ไม่จำเป็นต้องคิดอีก”

ฮูหยินกั๋วจิ้วนั่งลง กล่าวว่า“กั๋วจิ้วปล่อยวางละทิ้งแล้วจริงหรือ?”

ไร้ผู้คนคบหา ก็ต่อให้มีคนฮูหยินกั๋วจิ้วก็คล้ายดั่งไม่ได้เป็นกังวล สถานที่ของบุตรสาวนางไม่เกรงกลัว และวันนี้บุตรสาวเป็นที่โปรดปราน ก็สามารถทำให้นางมีความผยองขึ้นมามากแล้ว

ต้ากั๋วจิ้วมองฮูหยินของตนเอง แต่ทว่ากลับกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า“ข้าอยู่ภายในคุกอีกนิดหนึ่งเกือบจะตาย หากไม่ใช่ว่าพระชายาเย่ช่วยข้าไว้ ได้ตายไปนานแล้ว หากว่าข้าตาย อะไรก็สูญสิ้นไม่เหลือแล้ว

และวันนี้เป็นพระชายาเย่ที่ช่วยข้าอีก สามารถกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาได้ที่ไหนกัน?”

ฮูหยินกั๋วจิ้วเงียบไปชั่วขณะ ต้ากั๋วจิ้วกล่าวว่า“ชีวิตของข้าสำคัญ หรือว่าหน้าตาสำคัญ บรรดาศักดิ์อันสูงศักดิ์ถึงวันนี้ ได้อยู่บนลำดับสูงสุดแล้ว เจ้ายังคิดจะอย่างไรอีกหรือ?”

ฮูหยินกั๋วจิ้วรีบส่ายศีรษะ กล่าวว่า“กั๋วจิ้วกล่าวพูดถูกต้อง มิกล้าแล้ว!”

ฮูหยินกั๋วจิ้วฟังต้ากั๋วจิ้ว สามีภรรยาใจเดียวกัน ถึงได้มีวันนี้

ต้ากั๋วจิ้วชำเลืองมองหน้าประตู และมองฮูหยินกั๋วจิ้ว จากนั้นกล่าวว่า“พระชายาเย่เป็นบุคคลที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างมาก อีกทั้งมู่เหมียนเป็นสหายที่ดีของพระชายาเย่ ไม่สามารถทำเรื่องอันใดที่มันยากลำบากใจอีกแล้ว”

“ทุกอย่างจะปฏิบัติตามที่กั๋วจิ้วกล่าวเจ้าค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ เขาได้ตื่นแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองมาที่เธอ มองเห็นเธอเขาก็อยากจะลุกขึ้นมา เธอกอบกุมมือของหนานกงเย่เพื่อให้เขานั่งลง

หนานกงเย่ถึงนั่งลง

หนานกงเย่นอนลงไปอย่างว่าง่าย และยังทรนงตัวอีกด้วย

“เหตุใดแวบเดียวไม่เห็นแล้วก็ไปเสียดื้อๆ?”หนานกงเย่รู้แล้วยังแกล้งกล่าวถาม แววตาที่หยิ่งทะนงมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความตลกขบขัน

“ท่านอ๋องไม่เป็นไรแล้วหรือเพคะ?”

“อืม มิเป็นไรตั้งนานแล้ว ตอนนี้หากว่าอยู่ที่เรือนก็จะขึ้นเตียงได้”

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะเขา จากนั้นกล่าวว่า“ท่านอ๋องทะเล้นเสียจริง!”

บนพระตำหนักไม่มีคน มีเพียงขันทีน้อยสองคน แต่ทั้งสองล้วนเป็นคนของฉีเฟยอวิ๋น

หนานกงเย่อยากลุกนั่ง ฉีเฟยอวิ๋นเลยรีบเข้าประคอง

หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋น และกล่าวอยู่ข้างหูเธอว่าเขาจงใจแกล้ง แต่ฉีเฟยอวิ๋นนั่นพูดสิ่งใดก็ไม่เชื่อท่าเดียว!