ภาคที่ 4 บทที่ 11 คุณชายมังกรกุน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 11 คุณชายมังกรกุน

“เจ้าชื่ออะไร ?” ซูเฉินถาม

“ข้า….. ช่วย……” คุณชายโหยวพยายามเค้นคำ

หากแต่คำไม่ทันออกจากปากก็ถูกซูเฉินบีบกลับไปเสียแล้ว

ซูเฉินชี้หน้าคุณชายโหยวที่กำลังหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

ซูเฉินเอ่ยเสียงทะมึน “เจ้าไม่มีโอกาสที่สองแล้ว ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าชื่ออะไร ?”

พูดจบเขาก็ปล่อยคุณชายโหยวอีกฝ่ายตอบเสียงสั่น “ข้าชื่อว่าโหยว…… โหยวเทียน…… ลี่”

อย่างหน้อยก็ไม่ได้โกหกแซ่ หมายความว่าชื่อที่ให้มาก็คงเป็นชื่อจริงกระมัง

ซูเฉินคว้าตัวโหยวเทียนลี่แล้วเดินย้อนทางเดิม จากนั้นเอ่ยคำกับฉือหมิงเฟิง “เจอกันที่ทางเข้า”

ทุกคนจึงรีบรุดไปทันที

ซูเฉินรีบเคลื่อนกายผ่านสวนเปิดกว้าง ลัดเลาะผ่านแสงเฝ้ายามน้ำเงิน ก่อนกระโจนไปที่กำแพง จากนั้นก็หยิบยาขวดหนึ่งกรอกปากโหยวเทียนลี่แล้วบีบคออีกฝ่าย “ทำตามข้าสั่ง คิดเสียว่าตนเป็นงู คุมพลังต้นกำเนิดในร่างแล้วยืดร่างตนออกเสีย……”

“งู……” โหยวเทียนลี่ตากลอกไปด้านหลัง

“เร็วเข้า…… มีแต่ต้องกลายเป็นงูจึงจะไม่ถูกข้าบีบคอตาย” ซูเฉินเอ่ยเสียงเข้ม

ร่างโหยวเทียนลี่จึงค่อย ๆ ยืดออก

ซูเฉินไม่รอให้เขาเปลี่ยนร่างเป็นงูอย่างสมบูรณ์ก็ยัดอีกฝ่ายเข้ารูเล็กไปแล้ว

เป็นตอนนั้นเองที่ฉือหมิงเฟิงมาถึง เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่ออกมาด้วย เพียงแต่ยัดร่างเจ้าอ้วนผ่านรูมา เขาก็ถามเสียงตกใจ “ท่านจะทำอะไรน่ะ !?”

“ดูเขาให้ข้าที ข้าจะเข้าไปช่วยคนและดำเนินแผนเราไปพร้อมกัน”

“แผนเราล่มไปแล้ว !”

“ไม่ มันยังไม่ล่ม ! ยังไม่ถึงคราวต้องยอมแพ้” ซูเฉินว่า “ข้าจะสวมรอยเขา ช่วยเฮ่อซื่อ และทำภารกิจให้สำเร็จไปด้วย ท่านช่วยข้าเค้นคอเขา เอาทุกอย่างที่รู้ออกมาแล้วแจ้งข้าที”

จากนั้นเขาก็กระโดดข้ามกำแพงหายไป

กำแพงปราสาทไหลน่าตะวันตกสุดท้ายถูกซูเฉินและเฮ่อซื่อทะลวงผ่านมาได้ถึง 4 ครั้งในคืนเดียว

เมื่อเห็นซูเฉินหายเข้าไปในปราสาทไหลน่าตะวันตกอีกคราทุกคนก็อึ้งไป

“เขาบ้าไปแล้วหรือ ?”

“ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”

“คำถามคือ แล้วเราควรทำอย่างไรต่อ ?”

ทุกคนหันไปมองฉือหมิงเฟิง

ฉือหมิงเฟิงมองจุดที่ซูเฉินหายตัวไปก่อนกัดฟันพูด “เราไปกันก่อน รอสัญญาณจากเขาอีกที”

จากนั้นเขาก็หันหลังเดินลงเขาไป

คนในปราสาทเริ่มแห่กันออกมาด้านนอกเพื่อค้นหาตัวคนบ้างแล้ว

ข่งเฉิงเอ่ยเสียงโกรธ “แผนเราล้มไปแล้ว พวกเจ้าจะรอให้ถูกฆ่าหรือ ? หากเป็นข้าจะรีบหนีไปให้เร็วแล้ว !”

เยี่ยเม่ยตะโกน “หากอยากไปเจ้าก็ไป แต่คนของเรายังอยู่ในนั้น ซูเฉินก็ด้วย ข้าจะไม่ไปไหนเด็ดขาด”

“เจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับไอ้โง่นั่นหรือ ?” ข่งเฉิงตาแดงด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ก็คงงั้นกระมัง” ฉือหมิงเฟิงตอบ “พวกเราอาจจะบ้ากันไปหมด แต่หากไร้ความสิ้นสติเช่นนี้แล้วจะสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือ ? คุณชายข่ง หากคิดจะไปข้าจะไม่ห้ามท่าน ท่านจะอยู่หรือไปก็ไม่ต่างอยู่แล้ว”

ข่งเฉิงได้ยินแล้วก็ชะงักไป ไม่รู้จะพูดอะไรอีกเป็นนาน

——————————————

หลังกลับเข้ามาในปราสาทอีกครั้ง ซูเฉินก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าห้องโถงใหญ่ไป

ห้องโถงใหญ่นั้นถูกปิดตายไว้แล้ว ทุกคนกำลังถูกสอบปากคำอยู่

หากแต่ซูเฉินได้รับการปฏิบัติค่อนข้างดี เพราะเขาไม่ใช่เผ่าเกล็ดทราย แต่เป็นคนตระกูลจูต่างหาก

ในเมื่อจูเซียนเหยาถ่อมาถึงเขตแดนของเผ่าเกล็ดทราย นางก็คงจะนำคนมาด้วย ไม่ได้มีเพียงจูไป๋อวี่เป็นแน่ หากแต่คนอื่น ๆ อาจไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการเจรจาครั้งนี้

คนพวกนี้ก็อยู่ในห้องโถงใหญ่ตอนนี้ด้วย เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา คนตระกูลจูคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เทียนหย่าง เจ้าจะไปไหน ?”

เทียนหย่าง ?

โหยวเทียนหย่าง ?

ไอ้อ้วนนั่นยังจะกล้าโกหกเขาอีกหรือ ?

ซูเฉินปิดปากเอ่ยคำ “ทรมานเขาอีกหน่อย จากนั้นถามว่าคนที่ข้ากำลังคุยอยู่คือใคร”

ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เดินหน้าไป “ข้าจะไปหาของกิน”

เหตุผลหลักที่เขาคุยกับเจ้าอ้วนเมื่อก่อนหน้านี้ก็เพื่อฟังดูว่าเจ้าอ้วนมีเสียงพูดอย่างไร

เสียงเลียนแบบของซูเฉินดูจะคล้ายคลึงอยู่บ้าง

“มีคนแทรกซึมเข้าปราสาทมา ตอนนี้โกลาหลอยู่เล็กน้อย เจ้าอย่าเดินเตร่ไปไหนเลย” คนผู้นั้นเอ่ย

“เขาคือจ้าวจิ่งเหวิน หัวหน้าคนคุ้มกันของจูเซียนเหยา ส่วนคนที่อยู่กับจูเซียนเหยาชื่อจูไป๋อวี่ เสาหลักที่หกตระกูลจู”

ฉือหมิงเฟิงกำลังสอบปากคำโหยวเทียนหย่างขณะที่กำลังรีบลงเขาไปด้วย เจ้าอ้วนน้อยไม่อาจทนไหว ได้แต่บอกชื่อคนออกมาทีละคน

“แล้วตัวเขาเองเล่า ?” ซูเฉินยังทำทีเป็นหาของกินต่อไปพลางก้มหน้าลงเพื่อซ่อนตนจากความวุ่นวายทั้งหลาย

“ญาติของจูเซียนเหยา และเป็นคู่หมั้นของนางด้วย”

“พรวด !” ซูเฉินเกือบพ่นสิ่งที่กำลังเคี้ยวในปากออกมา “คู่หมั้นหรือ ?”

“เขาว่ามาอย่างนั้น”

“ยืนยันให้ข้าอีกที”

อึดใจต่อมา ฉือหมิงเฟิง ก็เอ่ยคำ “ยืนยันแล้ว เป็นคู่หมั้นจริง ๆ มาจากมังกรกุนตระกูลโหยว”

“มังกรกุน ? มังกรกุนพุงพลุ้ยน่ะหรือ ?”

“ใช่แล้ว มังกรกุนพุงพลุ้ย”

ซูเฉินอึ้งไป “สายเลือดจักรพรรดิอสูรอีกหนึ่งงั้นสิ ? แล้วทำไมเขาถึงอ่อนแอนัก ? ข้าซัดทีเดียวเขาสลบไปเลย”

“เดี๋ยวข้าถามเขาให้” ฉือหมิงเฟิงตอบกลับ พริบตาต่อมาซูเฉินก็ได้ยินเสียงร้องของโหยวเทียนหย่างดังแทรกความวุ่นวายเข้ามา

ฉือหมิงเฟิง ตอบมาหลังจากนั้น “เพราะสายเลือดเขายังไม่ตื่น มังกรกุนพุงพลุ้ยนั้นไม่เหมือนสายเลือดอื่น ๆ เป็นสายเลือดที่ตื่นช้ากว่าใครอื่น กระตุ้นได้ด้วยการกินอาหารเป็นเวลานาน ก่อนหน้านั้นพื้นฐานร่างกายจะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฝึกบ่มเพาะพลังมากมาย เพียงแต่กินกับนอนเท่านั้น เมื่อสายเลือดตื่นขึ้นถึงจะเป็นช่วงที่เริ่มบ่มเพาะพลังได้”

“ดูท่าข้าจะโชคดีไม่น้อย” ซูเฉินตอบ “ทำไมจูเซียนเหยาถึงมาหมั้นกับเจ้าคนตะกละหน้าโง่นี่ได้เล่า !?”

“ตระกูลจูกับตระกูลโหยวมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อสายเลือดมังกรกุนพุงพลุ้ยกับสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ควบรวมกัน มีโอกาสที่จะสร้างสายเลือดที่แกร่งขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาได้ แม้จะไม่อาจส่งต่อได้ แต่มันก็ทรงพลังมาก อีกทั้งพลังในการต่อสู้จะไม่ด้อยไปกว่าคนในราชวงศ์ด้วยซ้ำ การผสานเช่นนี้มีไม่มาก ตระกูลจูกับตระกูลโหยวเป็นหนึ่งในนั้น”

“เช่นนั้นจูเซียนเหยาชอบคู่หมั้นตนเองหรือไม่ ?”

“ย่อมไม่ ท่านคงไม่มีโอกาสได้แตะนางแล้วล่ะซูเฉิน” ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ

หากแต่ซูเฉินกลับถอนหายใจยาวโล่งอก “นับเป็นข่าวดี ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้สตรีผู้นั้นหรอก”

เขาเพิ่งจะพูดจบ จ้าวจิ่งเหวินก็เดินเข้ามา “คุณชายโหยว คุณหนูเรียกให้ท่านไปพบ”

……

ซูเฉินจึงได้แต่ตามจ้าวจิ่งเหวินไป

ด้วยจ้าวจิ่งเหวินเดินอยู่ข้าง ๆ เขาจึงไม่อาจคุยกับฉือหมิงเฟิงได้ แต่เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายเข้าใจ จึงหันไปเค้นคอโหยวเทียนหย่างเพื่อหาข้อมูลต่อ

เขาตามจ้าวจิ่งเหวินไปยังห้องด้านข้าง จูเซียนเหยาอยู่ภายในห้อง ทว่าจูไป๋อวี่ไม่อยู่ ปัวเอ่อร์ก็เช่นกัน

ซูเฉินเห็นแล้วก็โล่งอก คนที่เขากลัวที่สุดคือเผ่าเกล็ดทรายที่มองร่างแปลงของเฮ่อซื่อออก คนผู้นั้นมีวิชาสอดส่องแม่นยำนัก สามารถมองผ่านกลลวงร่างแปลงทั้งหลายได้ นอกจากเขาแล้ว ซูเฉินยังเกรงจูไป๋อวี่ที่เป็นคนด่านสู่พิสดารด้วย

แม้คนด่านสู่พิสดารอาจไร้วิชาที่ทำให้มองซูเฉินออก แต่ก็ยังช่างสังเกตมาก แม้จะไม่อาจกระชากหน้ากากเขาออกได้ ทว่าก็สามารถจับกลิ่นอายที่ประหลาดไปเพียงเล็กน้อยได้ ท่าทางการเดิน การพูด ความผันผวนพลัง ท่าทีต่าง ๆ และอื่น ๆ ไม่นานย่อมต้องรู้สึกว่าผิดปกติ

ความสามารถในการสอดส่องรอบกายของพวกเขานั้นสูงส่งและแม่นยำนัก คิดจะหลอกตาพวกเขานั้นไม่ง่าย ดังนั้นซูเฉินจึงต้องระวังมาก

เมื่อมาถึงห้องเขาก็เอ่ยขึ้น “เหยาเหยา เจ้าเรียกข้ามีอะไรหรือ ?”

จูเซียนเหยา ไม่แม้แต่จะหันมา “เรียกข้าเหยาเหยาอีกครั้งดูแล้วข้าจะกระชากลิ้นเจ้าออกมา”

เยี่ยมไปเลย อย่างน้อยเขาก็เรียกนางไม่ผิด