บทที่ 11 คุณชายมังกรกุน
“เจ้าชื่ออะไร ?” ซูเฉินถาม
“ข้า….. ช่วย……” คุณชายโหยวพยายามเค้นคำ
หากแต่คำไม่ทันออกจากปากก็ถูกซูเฉินบีบกลับไปเสียแล้ว
ซูเฉินชี้หน้าคุณชายโหยวที่กำลังหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ซูเฉินเอ่ยเสียงทะมึน “เจ้าไม่มีโอกาสที่สองแล้ว ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าชื่ออะไร ?”
พูดจบเขาก็ปล่อยคุณชายโหยวอีกฝ่ายตอบเสียงสั่น “ข้าชื่อว่าโหยว…… โหยวเทียน…… ลี่”
อย่างหน้อยก็ไม่ได้โกหกแซ่ หมายความว่าชื่อที่ให้มาก็คงเป็นชื่อจริงกระมัง
ซูเฉินคว้าตัวโหยวเทียนลี่แล้วเดินย้อนทางเดิม จากนั้นเอ่ยคำกับฉือหมิงเฟิง “เจอกันที่ทางเข้า”
ทุกคนจึงรีบรุดไปทันที
ซูเฉินรีบเคลื่อนกายผ่านสวนเปิดกว้าง ลัดเลาะผ่านแสงเฝ้ายามน้ำเงิน ก่อนกระโจนไปที่กำแพง จากนั้นก็หยิบยาขวดหนึ่งกรอกปากโหยวเทียนลี่แล้วบีบคออีกฝ่าย “ทำตามข้าสั่ง คิดเสียว่าตนเป็นงู คุมพลังต้นกำเนิดในร่างแล้วยืดร่างตนออกเสีย……”
“งู……” โหยวเทียนลี่ตากลอกไปด้านหลัง
“เร็วเข้า…… มีแต่ต้องกลายเป็นงูจึงจะไม่ถูกข้าบีบคอตาย” ซูเฉินเอ่ยเสียงเข้ม
ร่างโหยวเทียนลี่จึงค่อย ๆ ยืดออก
ซูเฉินไม่รอให้เขาเปลี่ยนร่างเป็นงูอย่างสมบูรณ์ก็ยัดอีกฝ่ายเข้ารูเล็กไปแล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่ฉือหมิงเฟิงมาถึง เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่ออกมาด้วย เพียงแต่ยัดร่างเจ้าอ้วนผ่านรูมา เขาก็ถามเสียงตกใจ “ท่านจะทำอะไรน่ะ !?”
“ดูเขาให้ข้าที ข้าจะเข้าไปช่วยคนและดำเนินแผนเราไปพร้อมกัน”
“แผนเราล่มไปแล้ว !”
“ไม่ มันยังไม่ล่ม ! ยังไม่ถึงคราวต้องยอมแพ้” ซูเฉินว่า “ข้าจะสวมรอยเขา ช่วยเฮ่อซื่อ และทำภารกิจให้สำเร็จไปด้วย ท่านช่วยข้าเค้นคอเขา เอาทุกอย่างที่รู้ออกมาแล้วแจ้งข้าที”
จากนั้นเขาก็กระโดดข้ามกำแพงหายไป
กำแพงปราสาทไหลน่าตะวันตกสุดท้ายถูกซูเฉินและเฮ่อซื่อทะลวงผ่านมาได้ถึง 4 ครั้งในคืนเดียว
เมื่อเห็นซูเฉินหายเข้าไปในปราสาทไหลน่าตะวันตกอีกคราทุกคนก็อึ้งไป
“เขาบ้าไปแล้วหรือ ?”
“ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
“คำถามคือ แล้วเราควรทำอย่างไรต่อ ?”
ทุกคนหันไปมองฉือหมิงเฟิง
ฉือหมิงเฟิงมองจุดที่ซูเฉินหายตัวไปก่อนกัดฟันพูด “เราไปกันก่อน รอสัญญาณจากเขาอีกที”
จากนั้นเขาก็หันหลังเดินลงเขาไป
คนในปราสาทเริ่มแห่กันออกมาด้านนอกเพื่อค้นหาตัวคนบ้างแล้ว
ข่งเฉิงเอ่ยเสียงโกรธ “แผนเราล้มไปแล้ว พวกเจ้าจะรอให้ถูกฆ่าหรือ ? หากเป็นข้าจะรีบหนีไปให้เร็วแล้ว !”
เยี่ยเม่ยตะโกน “หากอยากไปเจ้าก็ไป แต่คนของเรายังอยู่ในนั้น ซูเฉินก็ด้วย ข้าจะไม่ไปไหนเด็ดขาด”
“เจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับไอ้โง่นั่นหรือ ?” ข่งเฉิงตาแดงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ก็คงงั้นกระมัง” ฉือหมิงเฟิงตอบ “พวกเราอาจจะบ้ากันไปหมด แต่หากไร้ความสิ้นสติเช่นนี้แล้วจะสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือ ? คุณชายข่ง หากคิดจะไปข้าจะไม่ห้ามท่าน ท่านจะอยู่หรือไปก็ไม่ต่างอยู่แล้ว”
ข่งเฉิงได้ยินแล้วก็ชะงักไป ไม่รู้จะพูดอะไรอีกเป็นนาน
——————————————
หลังกลับเข้ามาในปราสาทอีกครั้ง ซูเฉินก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าห้องโถงใหญ่ไป
ห้องโถงใหญ่นั้นถูกปิดตายไว้แล้ว ทุกคนกำลังถูกสอบปากคำอยู่
หากแต่ซูเฉินได้รับการปฏิบัติค่อนข้างดี เพราะเขาไม่ใช่เผ่าเกล็ดทราย แต่เป็นคนตระกูลจูต่างหาก
ในเมื่อจูเซียนเหยาถ่อมาถึงเขตแดนของเผ่าเกล็ดทราย นางก็คงจะนำคนมาด้วย ไม่ได้มีเพียงจูไป๋อวี่เป็นแน่ หากแต่คนอื่น ๆ อาจไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการเจรจาครั้งนี้
คนพวกนี้ก็อยู่ในห้องโถงใหญ่ตอนนี้ด้วย เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา คนตระกูลจูคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เทียนหย่าง เจ้าจะไปไหน ?”
เทียนหย่าง ?
โหยวเทียนหย่าง ?
ไอ้อ้วนนั่นยังจะกล้าโกหกเขาอีกหรือ ?
ซูเฉินปิดปากเอ่ยคำ “ทรมานเขาอีกหน่อย จากนั้นถามว่าคนที่ข้ากำลังคุยอยู่คือใคร”
ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เดินหน้าไป “ข้าจะไปหาของกิน”
เหตุผลหลักที่เขาคุยกับเจ้าอ้วนเมื่อก่อนหน้านี้ก็เพื่อฟังดูว่าเจ้าอ้วนมีเสียงพูดอย่างไร
เสียงเลียนแบบของซูเฉินดูจะคล้ายคลึงอยู่บ้าง
“มีคนแทรกซึมเข้าปราสาทมา ตอนนี้โกลาหลอยู่เล็กน้อย เจ้าอย่าเดินเตร่ไปไหนเลย” คนผู้นั้นเอ่ย
“เขาคือจ้าวจิ่งเหวิน หัวหน้าคนคุ้มกันของจูเซียนเหยา ส่วนคนที่อยู่กับจูเซียนเหยาชื่อจูไป๋อวี่ เสาหลักที่หกตระกูลจู”
ฉือหมิงเฟิงกำลังสอบปากคำโหยวเทียนหย่างขณะที่กำลังรีบลงเขาไปด้วย เจ้าอ้วนน้อยไม่อาจทนไหว ได้แต่บอกชื่อคนออกมาทีละคน
“แล้วตัวเขาเองเล่า ?” ซูเฉินยังทำทีเป็นหาของกินต่อไปพลางก้มหน้าลงเพื่อซ่อนตนจากความวุ่นวายทั้งหลาย
“ญาติของจูเซียนเหยา และเป็นคู่หมั้นของนางด้วย”
“พรวด !” ซูเฉินเกือบพ่นสิ่งที่กำลังเคี้ยวในปากออกมา “คู่หมั้นหรือ ?”
“เขาว่ามาอย่างนั้น”
“ยืนยันให้ข้าอีกที”
อึดใจต่อมา ฉือหมิงเฟิง ก็เอ่ยคำ “ยืนยันแล้ว เป็นคู่หมั้นจริง ๆ มาจากมังกรกุนตระกูลโหยว”
“มังกรกุน ? มังกรกุนพุงพลุ้ยน่ะหรือ ?”
“ใช่แล้ว มังกรกุนพุงพลุ้ย”
ซูเฉินอึ้งไป “สายเลือดจักรพรรดิอสูรอีกหนึ่งงั้นสิ ? แล้วทำไมเขาถึงอ่อนแอนัก ? ข้าซัดทีเดียวเขาสลบไปเลย”
“เดี๋ยวข้าถามเขาให้” ฉือหมิงเฟิงตอบกลับ พริบตาต่อมาซูเฉินก็ได้ยินเสียงร้องของโหยวเทียนหย่างดังแทรกความวุ่นวายเข้ามา
ฉือหมิงเฟิง ตอบมาหลังจากนั้น “เพราะสายเลือดเขายังไม่ตื่น มังกรกุนพุงพลุ้ยนั้นไม่เหมือนสายเลือดอื่น ๆ เป็นสายเลือดที่ตื่นช้ากว่าใครอื่น กระตุ้นได้ด้วยการกินอาหารเป็นเวลานาน ก่อนหน้านั้นพื้นฐานร่างกายจะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฝึกบ่มเพาะพลังมากมาย เพียงแต่กินกับนอนเท่านั้น เมื่อสายเลือดตื่นขึ้นถึงจะเป็นช่วงที่เริ่มบ่มเพาะพลังได้”
“ดูท่าข้าจะโชคดีไม่น้อย” ซูเฉินตอบ “ทำไมจูเซียนเหยาถึงมาหมั้นกับเจ้าคนตะกละหน้าโง่นี่ได้เล่า !?”
“ตระกูลจูกับตระกูลโหยวมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อสายเลือดมังกรกุนพุงพลุ้ยกับสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ควบรวมกัน มีโอกาสที่จะสร้างสายเลือดที่แกร่งขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาได้ แม้จะไม่อาจส่งต่อได้ แต่มันก็ทรงพลังมาก อีกทั้งพลังในการต่อสู้จะไม่ด้อยไปกว่าคนในราชวงศ์ด้วยซ้ำ การผสานเช่นนี้มีไม่มาก ตระกูลจูกับตระกูลโหยวเป็นหนึ่งในนั้น”
“เช่นนั้นจูเซียนเหยาชอบคู่หมั้นตนเองหรือไม่ ?”
“ย่อมไม่ ท่านคงไม่มีโอกาสได้แตะนางแล้วล่ะซูเฉิน” ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ
หากแต่ซูเฉินกลับถอนหายใจยาวโล่งอก “นับเป็นข่าวดี ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้สตรีผู้นั้นหรอก”
เขาเพิ่งจะพูดจบ จ้าวจิ่งเหวินก็เดินเข้ามา “คุณชายโหยว คุณหนูเรียกให้ท่านไปพบ”
……
ซูเฉินจึงได้แต่ตามจ้าวจิ่งเหวินไป
ด้วยจ้าวจิ่งเหวินเดินอยู่ข้าง ๆ เขาจึงไม่อาจคุยกับฉือหมิงเฟิงได้ แต่เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายเข้าใจ จึงหันไปเค้นคอโหยวเทียนหย่างเพื่อหาข้อมูลต่อ
เขาตามจ้าวจิ่งเหวินไปยังห้องด้านข้าง จูเซียนเหยาอยู่ภายในห้อง ทว่าจูไป๋อวี่ไม่อยู่ ปัวเอ่อร์ก็เช่นกัน
ซูเฉินเห็นแล้วก็โล่งอก คนที่เขากลัวที่สุดคือเผ่าเกล็ดทรายที่มองร่างแปลงของเฮ่อซื่อออก คนผู้นั้นมีวิชาสอดส่องแม่นยำนัก สามารถมองผ่านกลลวงร่างแปลงทั้งหลายได้ นอกจากเขาแล้ว ซูเฉินยังเกรงจูไป๋อวี่ที่เป็นคนด่านสู่พิสดารด้วย
แม้คนด่านสู่พิสดารอาจไร้วิชาที่ทำให้มองซูเฉินออก แต่ก็ยังช่างสังเกตมาก แม้จะไม่อาจกระชากหน้ากากเขาออกได้ ทว่าก็สามารถจับกลิ่นอายที่ประหลาดไปเพียงเล็กน้อยได้ ท่าทางการเดิน การพูด ความผันผวนพลัง ท่าทีต่าง ๆ และอื่น ๆ ไม่นานย่อมต้องรู้สึกว่าผิดปกติ
ความสามารถในการสอดส่องรอบกายของพวกเขานั้นสูงส่งและแม่นยำนัก คิดจะหลอกตาพวกเขานั้นไม่ง่าย ดังนั้นซูเฉินจึงต้องระวังมาก
เมื่อมาถึงห้องเขาก็เอ่ยขึ้น “เหยาเหยา เจ้าเรียกข้ามีอะไรหรือ ?”
จูเซียนเหยา ไม่แม้แต่จะหันมา “เรียกข้าเหยาเหยาอีกครั้งดูแล้วข้าจะกระชากลิ้นเจ้าออกมา”
เยี่ยมไปเลย อย่างน้อยเขาก็เรียกนางไม่ผิด