ภาคที่ 4 บทที่ 12 สอบปากคำ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 12 สอบปากคำ (1)

เทียบกับแต่ก่อนแล้ว จูเซียนเหยาหน้าตาไม่เปลี่ยนไปมาก นางยังเป็นโฉมงามโดยแท้ แต่ที่เปลี่ยนไปมากคือสภาวะอารมณ์ของนาง

เมื่อก่อนจูเซียนเหยานั้นเป็นที่ดึงดูดน่ารักน่าชัง ทำให้ใครเห็นก็อยากโอบนางไว้ในอ้อมกอด

แต่กลิ่นอายนางในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ยามอยู่ไกลยังไม่สังเกตเห็น ทว่าพอเข้ามาใกล้นางแล้วจึงเห็นชัดเจนนัก

แม้นางจะยังสง่างาม แต่ก็ไม่อ่อนโยนอีก แม้จะยังงดงาม แต่ก็ไร้เสน่ห์ แม้จะยังมีชีวิตชีวา แต่ก็เสียความบริสุทธิ์ที่เคยมีไปแล้ว

นางคล้ายบุปผาที่ผ่านพายุหิมะมาแล้ว จากดอกลิลลี่กลายเป็นกุหลาบหิมะ

คิ้วนางเย็นชา ใบหน้าเยียบเย็น กระทั่งสายตายังเย็นยะเยือก

ทำให้ซูเฉินตกใจไม่น้อย

เขารู้ดีว่าที่แต่ก่อนจูเซียนเหยามีนิสัยเช่นนั้นไม่ใช่เพราะนางเกิดมาก็เป็นเช่นนั้น แต่เป็นผลจากการเลี้ยงดูต่างหาก ด้วยอย่างไรสตรีในตระกูลจิ้งจอกร้อยเล่ห์ก็จำจะต้องมีเสน่ห์เย้ายวนไว้ลวงเหยื่ออยู่แล้ว

แต่จูเซียนเหยาในตอนนี้มันอะไรกัน ?

อารมณ์เย็นชาสูงส่งเช่นนี้ไม่อาจลวงคนให้เข้าใกล้ได้ แต่กลับผลักไสไปไกลนับพันลี้ต่างหาก

อารมณ์กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนแน่ แต่ต้องใช้เวลาพัฒนานาน นางจึงจะมีกลิ่นอายสูงส่งสง่างามเช่นนั้นได้

ซูเฉินตั้งสติเสียใหม่ ก่อนก้มหน้าลงกล่าว “บอกมาเถอะว่ามีอะไรจึงเรียกข้ามา”

เสียงนั้นขึ้นจมูกเหมือนคนโง่งั่ง แต่ก็เหมือนกับที่โหยวเทียนหย่างชอบเอ่ยยามอยู่ต่อหน้าจูเซียนเหยาพอดี

“ก่อนหน้านี้มีพวกมนุษย์พยายามแทรกซึมเข้ามา แต่มันไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ข้าถามเจ้า เจ้าได้บอกคนอื่นไปอีกหรือไม่ว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี่ ?” จูเซียนเหยา ถามเสียงเย็น

ซูเฉิน ชะงักค้างไป จูเซียนเหยาคิดว่าเป็นเพราะโหยวเทียนหย่างปากสว่างแล้วบอกคนอื่นไปงั้นหรือ ?

แต่ลองคิดดูแล้วก็ไม่แปลก พวกนางถ่อมาคุยกับเผ่าเกล็ดทราย มีหรือที่จะมีมนุษย์ลอบเข้ามาโดยไร้เหตุ ? ปราสาทไหลน่าตะวันตกไม่เกิดเรื่องมาหลายปี แล้วทำไมพอตอนจูเซียนเหยากับคนอื่น ๆ มาถึงเพิ่งมีคนพยายามจะแทรกซึมเข้ามา ?

บังเอิญ ? หรือจะเป็นแผนของนาง ?

หากจูเซียนเหยาจะสงสัยก็ไม่แปลก

แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงจูเซียนเหยาที่สงสัย กระทั่งปัวเอ่อร์ก็คิดจุดนี้ได้ แต่ยังไม่ลงมือทันที อาจกำลังรอให้จูเซียนเหยาไปให้คำอธิบายกระมัง

คิดได้ดังนั้น ซูเฉินก็ใจหล่นวูบ เอ่ยเสียงลังเล “เรื่องนี้……”

เขาทำเป็นลังเลไม่ยอมกล่าวจนจูเซียนเหยาเอ่ย “เจ้าบอกจูเซียนหลิงใช่หรือไม่ ?”

ซูเฉินไม่รู้จักจูเซียนหลิง แต่ก็ถือโอกาสพยักหน้าไป

“เจ้าโง่เอ๊ย ! ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าให้นางรู้ ?” จูเซียนเหยาตะโกนเสียงกร้าว

ซูเฉินลูบท้ายทอยตน “ข้า……”

เขายังพยายามถ่วงเวลายามชายชราด้านข้างเอ่ยคำ “คุณหนู ท่านก็รู้ว่าสายเลือดคุณชายเทียนหย่างยังไม่ตื่น ด้วยวิชาของคุณหนูรองแล้ว เขาอาจทนไม่ไหวก็ได้นะ”

“ถึงจะทนไม่ไหว แต่อย่างน้อยก็ควรบอกกันก่อน ข้าจะได้เตรียมตัว ! แล้วทีนี้จะเอาอย่างไร ? การต่อรองกำลังไปได้ดีแท้ ๆ แต่จู่ ๆ กลับมีคนแอบเข้ามาในปราสาทได้ นางคิดจะก่อเรื่องวุ่นวายทำแผนข้าล่มหรือ ? หรือนางคิดสังหารปัวเอ่อร์แล้วโยนความผิดให้ข้า ?” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงโกรธ

ซูเฉินไม่เคยเห็นจูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อน

อาจเพราะจูเซียนเหยาที่เขาเคยสัมผัสเป็นสตรีตัวปลอม ไม่เคยเป็นตัวจริงของนาง หากแต่นางในตอนนี้กลับดูจริงใจในสายตาเขามากกว่านัก

นางเป็นมนุษย์มีเนื้อมีหนังมีจิตใจ ทั้งยังอารมณ์ร้อนเสียด้วย ทั้งนิสัยยังติดจะห้าว ๆ

และนิสัยห้าวเช่นนี้เองที่ทำให้บุรุษทั้งหลายไม่ชอบใจ ดังนั้นจูเซียนเหยาจึงไม่เคยเผยมันอย่างโจ่งแจ้ง จนกระทั่งซูเฉินได้เห็นด้านนี้ของนาง

ซูเฉินครุ่นคิด พลันคิดเรื่องหนึ่งได้ “หัวหน้าพวกเขาไม่โกรธ ยังไม่ได้ปฏิเสธเรา ไม่ว่าพวกที่ลอบเข้ามาจะหวังอะไร ก็ได้แต่บอกแล้วว่าครั้งนี้พวกมันพลาดแล้ว ข้าว่าที่เราควรทำคือสอบปากคำคนร้ายแล้วเค้นคอหาจุดประสงค์ของมัน ว่ามันวางแผนจะทำอะไรต่อ”

กระจ่างแจ้งชัดถ้อยชัดคำนัก จูเซียนเหยายังประหลาดใจขึ้นมา “เจ้าพูดเรื่องมีเหตุผลกับเขาได้สักที”

ซูเฉินไม่กลัวจูเซียนเหยาจะสงสัยที่เขากล่าว

แม้โหยวเทียนหย่างจะดูเหมือนเจ้างั่ง หากแต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่จำเป็นต้องถูกมองเป็นไอ้งั่งอยู่เสมอไป โหยวเทียนหย่างคิดหลอกซูเฉินกระทั่งตอนตกอยู่ในกำมือซูเฉินแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้โง่ไปเสียทั้งหมด

อีกทั้งคนเรานิสัยแตกต่าง ยากจะเข้าใจ อาจถูกมองเหมารวมได้บ้าง แต่จะกะเกณฑ์ว่าเป็นเช่นนี้ข้อ ๆ ไปก็คงไม่ได้

ดังนั้นไม่ว่าคำของซูเฉินจะดูไม่เหมือนคำที่ออกมาจากโหยวเทียนหย่างได้เพียงไหน จูเซียนเหยาก็ไม่คิดสงสัย ปกติแล้วก็คงไม่มีใครสงสัยเพื่อนนิสัยซื่อบื้อของตนว่าจะเป็นคนอื่นปลอมตัวมา เพราะอีกฝ่ายพูดเรื่องฟังดูฉลาดเฉลียวขึ้นมาเป็นบางครั้งหรอกกระมัง เว้นเสียแต่มันเริ่มจะบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งนิสัยยังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หากแต่การจะค้นพบโดยการเปรียบเทียบได้เช่นนี้จำต้องใช้เวลานาน

ซูเฉินจำต้องเอ่ยเรื่องสอบปากคำเฮ่อซื่อขึ้นมาเพื่อจะติดต่อกับอีกฝ่ายได้โดยไม่น่าสงสัย

“คุณหนู หัวหน้าปัวเอ่อร์อาจไม่ยอมให้เราได้เค้นคอเขาก็ได้” ชายชรากล่าว

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะคุยกับปัวเอ่อร์เอง ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เรา” จูเซียนเหยาพูดแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป

จากนั้นไม่นาน จูเซียนเหยาก็กลับมา หน้าตาดูเหนื่อยล้านัก “เขาตกลง”

ปัวเอ่อร์ไม่ใช่คนโง่ ตระกูลจูมาพร้อมคำขอ ไม่มีเหตุผลที่ต้องวางแผนลวงเขาในสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งหากพวกเขาคิดลอบสังหารปัวเอ่อร์จริง ก็คงไม่ส่งด่านทะลวงลมปราณมา ดังนั้นจึงรับคำขอจูเซียนเหยา เชื่อว่าคงเป็นศัตรูของตระกูลจูที่หมายก่อปัญหา แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับปากเปล่า ๆ ยังบีบคั้นจูเซียนเหยาเสียหนัก ทำให้นางโกรธจนหน้าซีดทีเดียว

“เป็นเพราะเจ้าบัดซบนั่น คิดหินพลังต้นกำเนิดเพิ่มอีกหนึ่งแสน อีกทั้งยังไม่รับจ่ายหลายครา ต้องจ่ายรวดเดียว เพราะเขาก็ไม่คิดมองอะไรไกลอยู่แล้ว” จูเซียนเหยาสบถเสียงโกรธ

“เขาถูกหลอกมามาก กระทั่งคนโง่ที่สุดยังเริ่มสงสัยยามถูกคนลวงมาหลายครา อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนโง่อะไร” จูไป๋อวี่หัวเราะแล้วเดินเข้าห้องมา แบกร่างเฮ่อซื่อไว้บนไหล่

เมื่อเห็นจูไป๋อวี่มาถึง ซูเฉินก็ก้มหน้าลงเงียบ ๆ

“อาหก !” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าไม่สบายใจ

“ไม่ต้องห่วง” จูไป๋อวี่ว่า “เผ่าเกล็ดทรายพวกนั้นไม่อยู่แล้ว พูดออกมาตามตรงเถอะ”

ได้ยินแล้วซูเฉินก็ใจกระตุก

เช่นนั้นแล้วจูเซียนเหยากับคนอื่น ๆ มาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อื่นหรือ ? ที่ว่าจะสร้างที่มั่นในอาณาจักรหลงซางเพื่อต่อกรกับอารามนิรันดร์เป็นเรื่องลวง ?

จูไป๋อวี่วางร่างเฮ่อซื่อลง จากนั้นเดินมานั่งข้างจูเซียนเหยา เตรียมสอบปากคำ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยืนอยู่ด้านหลัง

จูเซียนเหยาไม่ชอบโหยวเทียนหย่าง แต่จูไป๋อวี่เหมือนจะไร้ปัญหากับเขา เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้น “เทียนหย่าง เจ้าก็นั่งสิ ทำไมยืนอยู่ราวกับเป็นข้ารับใช้เช่นนั้น ?”

ซูเฉินก้มหน้าตอบ “เทียนหย่างทำเสียเรื่อง บอกคุณหนูรองว่าเราจะมาที่นี่ ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เทียนหย่างจึงไม่กล้านั่ง”

จูไป๋อวี่หัวร่อ “ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เจ้าผิดคนเดียวหรอกไม่ต้องห่วง เจ้านั่งเถอะ”

“อ้อ” ซูเฉินทำทีเป็นนั่งลงดูเงอะงะ ทำทีไม่ตั้งใจ ทำของหล่นออกมาจากในเสื้อ มันกลิ้งหลุน ๆ ไปหยุดอยู่แทบเท้าเฮ่อซื่อ

เมื่อเห็นมัน เฮ่อซื่อก็นัยน์ตาเป็นประกาย