บทที่ 13 สอบปากคำ (2)
แทบเท้าเฮ่อซื่อคือลูกประคำม่วงที่ส่องประกาย
ซูเฉินเห็นว่าทำของร่วง เขาจึงรีบวิ่งไปเก็บมันมาแล้วหันมาคำนับให้จูเซียนเหยา “ขออภัยด้วย ข้าทำของหล่น”
จูเซียนเหยากลอกตา “เจ้าจะมาพกเครื่องประดับสตรีติดตัวทำไมกัน ? กลับไปนั่ง !”
จูไป๋อวี่หัวเราะ “เขาคงจะซื้อมาให้เจ้า แต่เจ้านิสัยดุร้ายเช่นนี้ เขาคงไม่กล้ามอบให้”
จูเซียนเหยาส่งเสียงเหอะ “ข้าเกลียดท่าทีไร้ค่าเช่นนั้นที่สุด”
จูไป๋อวี่ถอนใจ “เดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่เห็นเจ้า เขาก็กลายเป็นหนูเจอแมว หมายความว่าเขาชอบเจ้าจริง ๆ ดังนั้นจึงประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเองยามอยู่ต่อหน้าเจ้า”
จูเซียนเหยาสะบัดหน้าหนีด้วยความรังเกียจ “ข้าอยากให้เขาเอาชนะข้า สยบข้าได้ให้สมกับเป็นชายชาตรี ไม่ใช่มาตามข้าต้อย ๆ เหมือนลูกสุนัขเพราะคำสั่งจากตระกูลเช่นนี้”
“หากเจ้าจะว่าแบบนั้น เช่นนั้นคนที่เจ้าชอบก็ควรเป็นซูเฉิน” จูไป๋อวี่ว่า
ยามได้ยินชื่อตนโผล่มา ซูเฉินก็ใจสะดุด แต่ก็ยังนั่งลงทำเป็นไม่รู้เรื่องราว
จูเซียนเหยาหน้าคว่ำทันที “อาหก ถึงข้าจะนับถือท่าน เรียกท่านว่าอา แต่ท่านจะหยามเกียรติข้าเช่นนี้ไม่ได้ ! ความอับอายที่ซูเฉินสร้างไว้เป็นสิ่งที่ข้าไม่มีวันลืม ! และถึงจะลืม….. ข้าก็จะจำมันอีกครั้งให้ได้ !”
ซูเฉินได้ยินแล้วก็ตกตะลึง
เขาจัดการไปแล้วไม่ใช่หรือ ? ทำไมจูเซียนเหยาถึงยังเกลียดเขามากเช่นนี้ ?
เขาพลาดจุดไหนไปหรือ ?
ตอนที่กำลังครุ่นคิดนั้น จูเซียนเหยาพลันเอ่ยกับเฮ่อซื่อ “บอกมา ใครส่งเจ้ามา ?”
เฮ่อซื่อเหลือบมองจูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ จากนั้นก้มหน้าบอก “เป็น….. เป็นคุณหนูรองจู”
“ว่าแล้วต้องเป็นนาง ! หญิงบัดซบนั่นไม่เคยประสงค์ดีเลย !” จูเซียนเหยาว่าพลางตบโต๊ะ
“นางส่งเจ้ามาทำไม ?” จูไป๋อวี่เอ่ย
“เรื่องนี้……” เฮ่อซื่ออ้า ๆ หุบ ๆ ปากแล้วมองซูเฉิน
สหาย ข้าจะตอบอย่างไรดี ?
ใช่แล้ว หลังจากเห็นประคำแก้วม่วง เฮ่อซื่อก็รู้ว่าเจ้าอ้วนตรงหน้าคงจะเป็นซูเฉินแน่
เขาตกตะลึงกับความหาญกล้าของซูเฉินนัก อีกฝ่ายพบสถานการณ์เช่นนี้ยังไม่หนีไป ในใจเฮ่อซื่อจึงมีหวัง
ด้วยคำที่ซูเฉินพูดไว้ก่อนหน้า เฮ่อซื่อจึงทำไหลลื่น บอกไปว่าเป็นคุณหนูรองสักคนส่งมา แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ
ในห้องพลันมีเสียงดังตึง ทุกคนหันมองต้นเสียง เห็นว่าประคำแก้วม่วงในมือเขาแตกกระจายออกมา
ราวกับถูกคนมองแล้วประหม่านัก ซูเฉินจึงลูบคอตนเอ่ยเสียงไม่เต็มคำ “ทำลาย…… เสียแล้ว…… ข้าทำลายมันเสียแล้ว…….”
จูเซียนเหยากลอกตาไม่พอใจ
เฮ่อซื่อพลันเขาใจ “ทำลาย…… ทำลาย…… แผน……”
“ทำลายแผนของพวกข้า ?” จูไป๋อวี่มุ่นคิ้ว ทนให้อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยคำอันเชื่องช้าออกมาไม่ไหว
“ใช่แล้ว ๆ!” เฮ่อซื่อตอบรับหลายคำ
ถึงตอนนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าซูเฉินหมายให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเฮ่อซื่อถูกคุณหนูรองสักคนส่งมา ดังนั้นเขาจึงได้แต่ร่วมมือกับซูเฉินอย่างสุดความสามารถ
คิดได้ดังนั้น เฮ่อซื่อก็ตอบคำถามจูเซียนเหยาได้ดียิ่งขึ้นเมื่อนางถามถึงรายละเอียดแผนการ
“คุณหนูรองบอกให้ข้าลอบเข้าปราสาทมา หาโอกาสสร้างปัญหาเพื่อทำลายการต่อรองครั้งนี้ของท่าน หากดีที่สุดคือลอบสังหารปัวเอ่อร์แล้วป้ายความผิดให้ท่าน”
ซูเฉินชูนิ้วโป้งรองคางไว้
เฮ่อซื่อรู้ว่าซูเฉินกำลังบอกว่าเจ้าทำได้ดีมาก
ใจเขาสงบขึ้นมาก อีกทั้งยังกล่าวคำลวงได้คล่องปากกว่าเก่า “ข้าเพียงทำตามคำสั่งนางเท่านั้น”
“นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอีกหรือไม่ ?” จูเซียนเหยาถาม
ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ๆ
เฮ่อซื่อเข้าใจ รีบเอ่ยขึ้น “มี มีคนเข้ามาด้วยอีกสองสามคน เดิมทีเราคิดจะลงมือพร้อมกัน แต่ข้าโลภมากจึงเข้ามาเอง ท่านอย่าสังหารข้าเลย ! หากพวกเขามาอีก ข้าช่วยท่านตามหาพวกเขาได้ !”
ซูเฉินใช้นิ้วโป้งถูใบหน้าตนเอง
สร้างคำลวงได้งดงามมาก อีกทั้งยังกล่าวได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่ไม่คิดเลยว่าจูเซียนเหยาจะขมวดคิ้ว “ไม่ เช่นนี้ไม่ถูก เขาโกหก !”
ทั้งซูเฉินและเฮ่อซื่อชะงักไป
จูเซียนเหยาจ้องเฮ่อซื่อเขม็ง “ข้ามีสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ ชำนาญเรื่องลวงใจคนที่สุด ทั้งยังไวต่อสภาพจิตใจคนนัก เจ้ากล้าโกหกข้า คิดหรือว่าจะรอดไปได้ ? บอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่ ? มาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร ?”
ซูเฉินสบถเสียงเบา เขามองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ?
ใครก็ตามที่เชี่ยวชาญวิชาลวงจิตย่อมมีความสามารถดูออกว่าใครกำลังโกหก หากแต่จะรู้ได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายมีพลังจิตต่ำเท่านั้น จูเซียนเหยาไม่อาจรู้ได้ว่าคนเช่นซูเฉินที่มีพลังจิตกล้าแข็งกำลังพูดเรื่องจริงหรือโกหก หากแต่เฮ่อซื่อนั้นไร้ความสามารถนั้น จึงถูกนางจับได้ทันที
ซูเฉินเก็บนิ้วโป้งแล้วกดมือแน่น ไม่ว่าเฮ่อซื่อจะเข้าใจหรือไม่นั่นก็ขึ้นอยู่กับไหวพริบแล้ว
พริบตาต่อมา เฮ่อซื่อจึงเอ่ย “ข้าพูดความจริง ท่านจะชอบหรือไม่นั่นก็คือเรื่องจริง !”
ใช่แล้ว ซูเฉินต้องการเช่นนั้น
ถึงจะถูกตีจนตายก็อย่าได้ยอมรับ
ในเมื่อโกหกไม่ได้ ก็ได้แต่กัดฟันทนไปเท่านั้น อย่างไรก็เปิดเผยแผนแทรกซึมเข้ามาไม่ได้
นัยน์ตาจูเซียนเหยาฉายแววโกรธวาบผ่าน “เจ้าทำตนเองล้วน ๆ! จิ่งเหวิน !”
“รับทราบ” จ้าวจิ่งเหวินก้าวขึ้นมา จิ้มนิ้วลงบนร่างเฮ่อซื่อ
ท่าดัชนีทำให้ร่างเฮ่อซื่อพลันบิดเกร็ง เขางอตัวลง เห็นได้ชัดว่ากำลังเจ็บปวดแสนสาหัส อีกทั้งลูกตาก็ราวกับจะหลุดออกจากเบ้าอยู่รอมร่อ
พริบตาต่อมา จ้าวจิ่งเหวินก็ดึงนิ้วออก
จูเซียนเหยาเอ่ย “บอกมา ! เจ้าเป็นใคร มีจุดประสงค์ใด ?”
เฮ่อซื่อแหงนหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะ
“จิ่งเหวิน !” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเหี้ยม
เขาใช้ท่าดัชนีอีกครา
เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง เฮ่อซื่อถูกทรมานจนเกือบสิ้นใจ แต่ก็ยังกัดฟันไม่ปริปากบอก
เมื่อครั้งที่จูเซียนเหยาอยู่กับซูเฉิน เขาก็เข้าใจวิชาตระกูลจูอยู่บ้าง รู้จักพลังของวิชาดัชนีขัดจิตตระกูลจูเป็นอย่างดี
ถูกทรมานด้วยวิชาเช่นนี้ก็ทำให้คนอยากตายได้แล้ว
เหตุผลเดียวที่เฮ่อซื่อยังอดกลั้นไว้ได้ นอกจากจิตใจที่เข้มแข็งแล้ว นั่นก็เพราะเขายังมีหวัง
เป็นความหวังนั้นที่ทำให้เขายังฝืนทนต่อ
แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าเขาอาจคิดว่าอยู่นั้นแย่กว่าตาย ถึงตอนนั้นเขาคงจะยอมถอดใจเป็นแน่
คิดได้แล้ว ซูเฉินก็ลุกขึ้นตะโกนลั่นทันที “เหยาเหยา ! ข้ารักเจ้า !”
คนฟังพลันรู้สึกราวกับจะเป็นลมขึ้นมาทันใด
จูเซียนเหยามองซูเฉินด้วยความตกใจ “โหยวเทียนหย่าง ทำอะไรของเจ้า ?”
“ไม่ว่าเจ้าจะมองข้าอย่างไร ข้าก็จะยังรักเจ้าเสมอ จะมีเพียงเจ้า ! ข้าจะไม่เบามือกับคนที่คิดทำร้ายเจ้าไม่ว่ามันจะเป็นใคร ข้าอยากให้เจ้ามองข้าก็เป็นชายชาตรี ข้ากล้าทำอะไรก็ตามเพื่อเจ้า !”
ว่าแล้วเขาก็ก้าวไปหาเฮ่อซื่อ คว้าคอเขาไว้แล้วเริ่มตะโกน “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากเจ้ากล้าทำอะไรเหยาเหยาของข้า ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”
ว่าแล้วเขาก็กดมือแน่นแล้วเริ่มชกเฮ่อซื่อโดยแรง
คนอื่น ๆ เห็นซูเฉินก็ได้แต่มึนงง ไม่มีใครออกมาห้ามเขาสักคน
ซูเฉินใช้แรงออกหมัดไม่น้อย และเพราะเฮ่อซื่อถูกมัดอยู่ไม่อาจปัดป้องได้ หมัดนับไม่ถ้วนที่กระหน่ำเข้ามาจึงทำให้เลือดกระเด็นไปทั่ว
แต่สำหรับเฮ่อซื่อแล้ว การถูกโจมตีร่างเช่นนี้ยังเจ็บปวดน้อยกว่าท่าดัชนีโจมตีจิตนั่นนัก
ซูเฉินออกหมัดใส่ศีรษะเขาไม่หยุด ทำเอาอีกฝ่ายมึนงงไป
เฮ่อซื่อพลันสายตาพร่ามัว
แต่แม้ภาพจะมัว เขาก็ยังเห็นภาพนัยน์ตาคู่นั้นของซูเฉิน มันมีแสงประหลาดวาดผ่าน จิตของเฮ่อซื่อพลันถูกแสงนั่นนำพาไปจนกระทั่งเขาตกลงสู่ห้วงแสง……
จากนั้นก็มีเสียงพูดว่า “คนที่คุณหนูรองส่งมาลอบสังหารไม่ใช่ปัวเอ่อร์ แต่เป็นตัวท่าน”
ผัวะ !
หมัดซูเฉินซัดเข้าที่ศีรษะจนเขาสลบไปทันที