บทที่ 14 แผน (1)
จูเซียนเหยากำลังยืนทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกเหนื่อยล้าเพียงนี้
ซูเฉินยืนอยู่ด้านหลังนางไม่กล้าเอ่ยคำ
ตอนนี้เขาอยู่ในเรือนพักของจูเซียนเหยา หรือให้ชัดเจนกว่าเดิมคือเรือนพักที่ปัวเอ่อร์เตรียมไว้ให้จูเซียนเหยา
ซูเฉินไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ จูเซียนเหยาถึงเรียกตนมา เขาจึงได้แต่ยืนอยู่ที่มุมห้องเงียบ ๆ ท่าทางหวาดกลัว ตอนนี้ความขี้ขลาดนับเป็นเกราะป้องกันชั้นดี
ครู่ต่อมา จูเซียนเหยาค่อย ๆ เอ่ย “สมัยเซียนหลิงกับข้ายังเล็ก พวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก ตอนนั้น เราออกไปจับปลาที่แม่น้ำด้วยกันบ่อย ๆ ปีนต้นไม้หารังนกเหมือนเด็กผู้ชายซน ๆ สมัยนั้นเซียนหลิงมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ว่ามีเรื่องเบาะแว้งกับใคร นางได้แต่ยืนร้องไห้ ข้าจะเป็นคนออกหน้าปกป้องนางตลอด จำได้ว่าครั้งหนึ่งนางถูกลูก ๆ ของอาสองรังแก ข้าจึงเดินเข้าไปตีเจ้าพวกนั้น จากนั้นลากให้มาขอโทษนาง ตอนนั้นเซียนหลิงบอกว่ามีข้าเป็นพี่สาวนั้นนับเป็นเรื่องดีที่สุดของนาง”
ซูเฉินก้มหน้าไม่เอ่ยคำ
เห็นได้ชัดว่าคำลวงของเฮ่อซื่อทำให้นางฉุกคิดเรื่องในอดีตจนทำนางตกอยู่ในภวังค์
อารมณ์เช่นนี้ต้องระบายออกมาก่อนจึงจะคลายลงได้ หรือก็คือนางต้องการคนรับฟัง
แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงเลือกเขา
จูเซียนเหยาว่าต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เซียนหลิงไม่ได้มองพวกเราเหมือนเดิม นางกลายเป็นเกลียดพี่สาวเช่นข้าเพราะนางรู้สึกว่าตัวตนของข้าทำให้นางไม่อาจได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลจู นางรู้สึกว่าตนเองดีกว่าข้าในทุกด้าน เว้นเสียแต่เรื่องอายุ นางจึงไม่พอใจ สุดท้ายก็ไม่ลงรอยกัน ตอนนั้นข้าก็หัวแข็ง สั่งให้นางทำนั่นนี่เพราะความเป็นพี่ใหญ่ บีบให้นางฟังข้า… ที่นางไม่พอใจข้าก็คงเพราะที่ข้าหัวแข็งเมื่อครานั้นด้วย”
พูดถึงตรงนี้ จูเซียนเหยาก็เสียงหนักหน่วง “ศึกที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดของข้า อาสิบเอ็ดตาย ความทรงจำช่วงนั้นของข้าก็หายไป อีกทั้งยังถูกกลุ่มคนหลอกลวง ทำให้ตระกูลข้าเข้าไปพัวพันกับการปะทะกันของหกตระกูลสายเลือดชั้นสูงกับอารามนิรันดร์”
ได้ยินดังนั้น ซูเฉินก็เริ่มใจเต้นแรง
นางรู้หรือ ?
จูเซียนเหยาพูดต่อ “เซียนหลิงรู้สึกว่ามันคงถึงเวลาของนาง จึงพยายามใช้ทุกเส้นสายที่มีทำลายฐานะผู้สืบทอดของข้า หากแต่นางผลีผลามไป ข้าจึงสั่งสอนนางไปไม่น้อย เจ้าว่าข้าทำถูกหรือไม่ ?”
ซูเฉินไม่รู้ว่านางถูกลงโทษอย่างไรจึงได้แต่พยักหน้า “ไม่ว่าจะลงโทษอย่างไรเจ้าก็ทำถูกแล้ว”
แต่จูเซียนเหยาก็ไม่ดีใจ นางถอนใจออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องพูดเช่นนั้น เทียนหย่าง เจ้าเป็นคนดี แม้หน้าตาไม่งดงามอีกทั้งยังขี้เกียจสันหลังยาว แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดเจ้า……”
ซูเฉินเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก คิดกับตนเองว่า ‘โหยวเทียนหย่าง เจ้านี่ทำดีไม่น้อย ! ไม่เพียงแต่ถูกหาว่าหน้าตาไม่งดงาม อีกทั้งยังขี้เกียจสันหลังยาว ทว่านางยังบอกว่านั่นไม่ใช่ความผิดเจ้าอีก !’
“ข้ารู้ว่าตอนนั้นข้าทำเกินไป อาจเพราะข้าโกรธอยู่มากแล้วเซียนหลิงก็เข้าท้าทายมาเช่นนั้น ข้าจึงต้องการที่ระบาย… ข้าไม่ควรทำให้นางอับอายเช่นนั้นเลย” จูเซียนเหยาส่ายหน้าหลายครั้ง “จริง ๆ ตอนนี้ข้าก็เสียใจมาก หลังจากนั้นข้าไปขอโทษ แต่ก็รู้ว่านางคงไม่รับ นางเย่อหยิ่งรักศักดิ์ศรี นางจะยอมแพ้ต่อโชคชะตา ยอมแพ้ต่อข้าได้หรือ ? ข้ารู้ว่านางคงต้องลงมือทำสักอย่าง เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า… ไม่คิดเลยว่านางจะลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้”
จูเซียนเหยายิ่งพูดยิ่งหดหู่ สีหน้าหนักใจ
ใช่แล้ว ลอบสังหารกับสู้กันเพื่อหวังตำแหน่งนั้นต่างกัน อย่างแรกนั่นหมายความว่าสะบั้นสายสัมพันธ์ทุกอย่าง กระทั่งซูเฉินกับซูเค่อจี่ที่เคยทะเลาะกันเมื่อก่อนก็ยังไม่ถึงขั้นลอบสังหารกันเช่นนี้
กล่าวได้ว่าคำลวงนี้ส่งผลต่อจูเซียนเหยาไม่น้อย
คิดอีกครู่หนึ่ง จูเซียนเหยาจึงเอ่ย “ช่างเถอะ เล่าเรื่องนี้ไปกับเจ้าก็ไม่ได้อะไร ที่เจ้าพูดวันนี้ข้าขอบคุณมาก ขอบคุณทุกอย่างที่เจ้าทำเพื่อข้า แต่ว่าเทียนหย่าง พวกเราไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกัน หากเจ้าฉลาด หลังเรากลับไป เจ้าก็ถอนหมั้นเสียเถอะ….เรายังเป็นสหายที่ดีต่อกันได้”
ซูเฉินคิดครู่หนึ่งพลางเอ่ย “ข้าอยากได้โอกาส”
“โอกาส ?” จูเซียนเหยาชะงักไป
“ใช่แล้ว !” ซูเฉินพยักหน้า “โอกาสพิสูจน์ตนเอง หากสิ้นภารกิจครั้งนี้เจ้ายังไม่ตกหลุมรักข้า ข้าจะกลับไปยกเลิกเรื่องหมั้น แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าช่วยมอบโอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ตนเองอีกครั้งได้หรือไม่ ?”
จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินด้วยความประหลาดใจ “วันนี้เจ้าดูไม่เหมือนเดิม”
ซูเฉินยืนตัวตรง จงใจเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “คนเรา…… เปลี่ยน…… แปลงได้…… หากจูเซียนเหยาเปลี่ยนได้ ข้า…… ข้าก็ทำได้ ข้าอยากจะ…… เป็นบุรุษที่ดีให้ได้…… ไม่ให้เหมือนเช่นแต่ก่อน”
นี่เป็นแผนที่ซูเฉินใช้รับมือกับจูเซียนเหยา ทำเช่นนี้ ทำทีเป็นรู้ว่านางไม่พอใจเขาคนก่อน จากนั้นแสดงว่าเต็มใจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ดังนั้นแม้จูเซียนเหยาจะเห็นว่าโหยวเทียนหย่างไม่เหมือนเดิม แต่นางก็คงคิดว่าเป็นเพราะเขากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง สุดท้ายก็เติบโตขึ้นสักที อย่างน้อย ๆ นางก็จะไม่คิดสงสัยเขาเร็วนัก
นางเหลือบมองซูเฉินอยู่นาน จากนั้นหัวเราะ “เจ้านี่ใจกล้าจริง ๆ ถูกต้อง คนเราเปลี่ยนกันได้ เซียนหลิงเปลี่ยน ข้าเปลี่ยน เจ้าเองก็เปลี่ยนแปลงไปได้ พวกเราย่อมต้องเปลี่ยนไป หากแต่อาจไม่ได้เป็นในทางที่ดีขึ้นเท่านั้น”
ซูเฉินทำเป็นนิ่งเงียบอย่างแนบเนียน
จูเซียนเหยาคิดครู่หนึ่ง ดูมึนงงอยู่บ้าง จากนั้นก็ถอนใจ “ก็ได้เทียนหย่าง ข้าสัญญา แต่เจ้าก็อย่าหวังมากนัก ดูแล้วไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ข้าก็คงไม่อาจรักเจ้าได้ ถึงกระนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะแสดงด้านดีให้ข้าได้เห็นบ้าง”
ซูเฉิน ‘หน้าแดง’ แล้วกล่าว “เจ้าต้องตกหลุมรักข้าแน่”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
เห็นเขาเช่นนั้น จูเซียนเหยาก็หลุดหัวเราะออกมา
แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้ว่าบทสนทนานี้ถูกฉือหมิงเฟิงแอบฟังอยู่
ภายในห้องเล็ก ๆ ในเมืองปราสาทเก่า ฉือหมิงเฟิงมองกระจกแล้วเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ดูท่าคุณชายซูของเราจะพยายามเอาชนะใจสาวงามคนนั้นให้เจ้าอย่างสุดฝีมือเลยนะ”
เขาหันไปมองโหยวเทียนหย่างที่ถูกมัดอยู่ที่มุมห้อง ทำให้โหยวเทียนหย่างมองตอบกลับด้วยความหวาดกลัว
——————————
คุกใต้ดิน ปราสาทไหลน่าตะวันตก
เฮ่อซื่อนั่งอยู่ในคุก กำลังมองเพดานอย่างเหม่อลอย ใบหน้าเขาถูกต่อยจนบวมเป่งแทบจำไม่ได้ ทั้งสันจมูกยังหักอีกด้วย ทว่าจิตของเขายังอยู่รอดปลอดภัยดี
เสียงฝีเท้าแผ่ว ๆ ดังสะท้อนขึ้นภายในทางเดินคุกใต้ดิน
ซูเฉินเดินเข้ามาจากด้านนอก ด้านข้างมีทหารเผ่าเกล็ดทรายกับคนจากตระกูลจูอยู่
เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูคุก จ้องหน้าเฮ่อซื่อ เฮ่อซื่อสายตาพร่าไปเล็กน้อย ก่อนจะเห็นอีกทีว่าตนอยู่ในสวนดอกไม้ รอบตัวมีแต่ดอกไม้และนกที่กำลังร้องเสียงไพเราะ
“นี่มัน……”
“โลกมายาของข้า เจ้าเคยมาแล้ว จำได้หรือไม่ ?” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มบาง เขากลับร่างเดิมแล้ว
เฮ่อซื่อเข้าใจ “ท่านสร้างมันขึ้นมาหรือ ?”
“ใช่แล้ว เดิมทีมันเอาไว้ลวงศัตรู ไม่คิดว่าจะเอามาใช้สื่อสารเช่นนี้ได้”
“แล้วทหารพวกนั้นไม่สังเกตเห็นหรือ ?”
“หากไม่นานก็ไม่รู้”
“เช่นนั้นก็เข้าเรื่องเถอะ ท่านมีแผนอย่างไร ?”
“บอกข้ามาก่อนว่าเจ้าซ่อนแหวนต้นกำเนิดไว้ที่ไหน…..”