บทที่ 15 แผน (2)
ฝั่งตะวันออกของปราสาทไหลน่าตะวันตกยังมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง มันกว้างพอสมควร ภายในก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
มันเป็นห้องของซูเฉิน
ตอนนี้เขาอยู่ในห้อง กำลังครุ่นคิดมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างราวกับตกอยู่ในภวังค์ แต่แท้จริงแล้วเขากำลังฟังฉือหมิงเฟิงพูดอยู่ต่างหาก
“รับทราบแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เราได้มาจากโหยวเทียนหย่างและตระกูลจู โชคร้ายที่โหยวเทียนหย่างก็ไม่รู้ว่าพวกนางมีแผนอะไรจึงมาที่นี่ จูเซียนเหยาระวังตัวมาก ซูเฉิน ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อ ?”
ซูเฉินตอบ “อย่างแรก เราต้องลดการติดต่อลงก่อน โอกาสถูกพบเราสูงมากยามมีคนด่านสู่พิสดารอยู่เช่นนี้ ต่อจากนี้เราจะติดต่อกันวันละหนตอนเช้าตรู่ เพราะช่วงนั้นคนยังตื่นกันไม่มาก หากข้าไม่ติดต่อหาท่าน เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องติดต่อมา ข้ายังต้องคิดแผนปกป้องเฮ่อซื่ออีก หากข้าไม่ต้องการให้พวกนางสังหารเขา ก็ต้องทำให้ชีวิตเขามีค่า เหล่าฉือ ข้าอยากให้ท่านลงมือด้านนอกด้วย จูเซียนเหยาจะได้เชื่อว่าเป็นน้องสาวของนางที่ส่งคนทั้งหลายมาลอบสังหารนาง”
“สร้างเรื่องขนาดนี้เพื่อคนคนเดียวมันคุ้มหรือ ?”
“แล้วอารามนิรันดร์ไม่เห็นค่าคนของตนเองหรือ ?”
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “เปล่า เราเพียงแต่เคยชินกับการที่แผนล่มคือต้องตายเท่านั้นเอง”
“แต่ข้ายังไม่เคยชิน แล้วแผนข้าก็ยังไม่ล่ม”
ฉือหมิงเฟิงเงียบไปก่อนเอ่ยขึ้น “ตกลง แล้วอย่างไรต่อ ?”
“รอก่อน”
“รอ ? รออะไร ?”
“รอให้ปัวเอ่อร์ออกไป”
แล้วปัวเอ่อร์จะออกไปเมื่อไหร่ ? ก็ย่อมต้องหลังจากคุยเรื่องการค้ากันเสร็จแล้วอย่างไรเล่า
2 วันถัดมา
ภายในห้องรับแขกแห่งหนึ่งในปราสาทชั้นสอง ปัวเอ่อร์กับจูเซียนเหยายังต่อรองกันดุเดือดไม่ยอมกัน
“หินพลังต้นกำเนิดสิบล้านก้อน ! เจ้าต้องจ่ายมาอย่างน้อยหินพลังต้นกำเนิดสิบล้านก้อน ข้าจะตกลงเรื่องอื่น ๆ ก็ต่อเมื่อเจ้าทำเรื่องนี้ได้เท่านั้น” ปัวเอ่อร์ว่าพลางตบพุงพลุ้ยตนเอง
ตรงข้ามกันกับเขาคือจูเซียนเหยา จูไป๋อวี่และซูเฉิน
หลังจากต่อรองมา 3 วันก็ทำข้อตกลงเรื่องต่าง ๆ ได้เรียบร้อย เว้นเสียแต่เรื่องเดียวที่ยังไม่ตกลงกันดีคือเรื่องการจ่ายเงิน
จูเซียนเหยากับจูไป๋อวี่เหลือบมองกัน ก่อนนางจะเอ่ยขึ้นว่า “เรายอมเรื่องนั้นได้ หากแต่เรามีเงินไม่มาก ได้แต่ส่งข่าวให้ทางตระกูลส่งเงินมา คงใช้เวลาราวเดือนหนึ่ง”
“ไม่มีปัญหา” ปัวเอ่อร์พยักหน้ารับ ไม่ว่าเขาจะสายตาสั้นเช่นไหน อย่างน้อยเขาก็มีความอดทนรอเป็นปีได้
“เช่นนั้นก็ตกลง หวังว่าระหว่างนี้เราจะรั้งอยู่ในปราสาทของท่านได้ ที่นี่ห่างไกลไร้ผู้คน ดูเหมือนว่าเราจะพักได้แต่เพียงที่นี่กระมัง”
“หากตกลงกันรู้เรื่อง เจ้าจะอยู่นานเท่าไหร่ก็แล้วแต่” ปัวเอ่อร์ไม่ใส่ใจ
พูดจบเขาก็ใช้มือสั่ง เรียกข้ารับใช้เผ่าเกล็ดทรายเดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าปัวเอ่อร์
ปัวเอ่อร์เอ่ย “คนคนนี้เป็นหัวหน้าทหารประจำปราสาท ชื่อข่าเล่อ ด้วยข้ารั้งอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เพราะที่ที่ข้าครองมีเรื่องมากมายให้จัดการ ข่าเล่อจะเป็นคนดูแลความปลอดภัยให้พวกเจ้า ข่าเล่อ ช่วยข้าดูแลแขกผู้มีเกียรติด้วย”
เผ่าเกล็ดทรายผู้นั้นก้มหัวลง “ตามท่านหัวหน้าสั่งเลยขอรับ”
หากแต่ซูเฉินกลับใจสั่นอยู่เล็กน้อยด้วยมีความรู้สึกประหลาดวาบขึ้นมา
วันเดียวกันกับที่คุยเรื่องการค้าเสร็จสิ้น ปัวเอ่อร์ก็พาลูกน้องกลับปราสาทอาลี่ไป ปราสาทไหลน่าตะวันตกจึงกลับสู่ความสงบสุขดังเดิม เพียงแต่มีมนุษย์จากแคว้นอื่นเพิ่มมาก็เท่านั้น
——————————
คืนนั้น ซูเฉินกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องยามที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
คือจ้าวจิ่งเหวิน
“คุณหนูเรียกพบขอรับ” เขาว่า
ครั้งนี้จูเซียนเหยาพบกับซูเฉินในเรือนนอนตน ทว่าครั้งนี้ไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง ยังมีจูไป๋อวี่ หัวหน้าพ่อบ้านจูจิ่ว และจ้าวจิ่งเหวินต่างอยู่ด้วย พร้อมกับคนอื่น ๆ อีกที่เป็นลูกน้องโดยตรงของจูเซียนเหยา
“อาหก” จูเซียนเหยามองจูไป๋อวี่เป็นคนแรก
จูไป๋อวี่พยักหน้า “เราค้นที่นี่แล้ว ไม่มีเครื่องมือต้นกำเนิดที่ใช้ดักฟังได้”
“ค้นตัวทุกคนด้วย” จูเซียนเหยาพลันเอ่ย
ซูเฉินใจเต้น
นางแค่ระวังไว้ก่อน ? หรือว่านางสงสัยอะไรอยู่ ?
จูไป๋อวี่เริ่มเดินไปค้นร่างแต่ละคน
โชคดีที่ซูเฉินเตรียมตัวมาบ้าง ไม่ได้เอาเครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดมาด้วย ทำให้ผ่านไปได้ด้วยดี
หลังจากมั่นใจแล้วว่าปลอดภัย จูเซียนเหยาจึงเอ่ยต่อ “เพราะปัวเอ่อร์ยืนยันจะให้เราจ่ายหินพลังต้นกำเนิดสิบล้านก้อน เราเลยถ่วงเวลาได้เพียงเท่านี้ หรือก็คือ จากนี้ต่อไป เรามีเวลาอีก 1 เดือนเพื่อทำตามแผนเท่านั้น”
พวกนางมีจุดประสงค์อื่นจริงด้วย ! ไม่ได้คิดจะมอบเงินสิบล้านให้อีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว
มันเป็นเพียงอุบายเท่านั้น !
ยามได้ยินคำจูเซียนเหยา ซูเฉินก็มั่นใจในจุดนี้
จ้าวจิ่งเหวินเอ่ย “เดือนหนึ่งน้อยไป ปัวเอ่อร์อยู่มานานยังไม่พบความลับที่ซุกซ่อนอยู่ หมายความว่าคลังสมบัติของขาปี่เอ๋อซือคงหาไม่ง่ายนัก”
ตู้ม !
ซูเฉินรู้สึกราวกับในหัวเกิดระเบิดดังตูม
ขาปี่เอ๋อซือ !
เช่นนั้นพวกเขาก็มาหาสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือเหมือนกันหรือ !?
ซูเฉินพลันเข้าใจ ไม่แปลกที่จูเซียนเหยาจะรู้เรื่องอารามนิรันดร์ นางจึงมาที่นี่ด้วย อย่างไรตระกูลจูก็ประมือกับอารามนิรันดร์มาหลายปีแล้ว การจะได้ข้อมูลและเบาะแสที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศัตรูยามสอบปากคำคนที่จับมาได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกตาอะไร
เรื่องก่อนหน้าที่เกิดขึ้นจึงมีเหตุผลขึ้นมา
จูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ ไม่ได้ใช้ท่าทีแข็งกร้าว แต่กลับติดต่อหาปัวเอ่อร์ อ้างว่าจะซื้อเหมืองทองหินดำ ฉากหน้าทำทีเป็นหมายจะเอาเหมืองและตั้งฐานที่มั่นที่นี่ แต่แท้จริงแล้วกับคิดค้นปราสาท !
…ทันทีที่ปัวเอ่อร์ตอบตกลงให้พวกนางอยู่ในปราสาทต่อก็จะสามารถค้นปราสาทได้ตามใจปรารถนา
จริง ๆ แล้วแผนนี้มั่นคงกว่าแผนฉือหมิงเฟิงนัก เพราะอย่างไรการจะคุมจิตคนคนหนึ่งนั้นก็ไม่คุมอยู่เสมอไป ผ่านไปนานเข้าก็จะถูกเปิดโปง อุบายของจูเซียนเหยานั้นได้ผลในระยะยาวมากกว่า อีกทั้งโอกาสผิดพลาดยังน้อยกว่า
โชคร้ายที่พวกนางไร้โชค ปัวเอ่อร์ไม่ตกหลุมพราง ให้เวลาแค่เดือนหนึ่งเท่านั้น
แต่ทำไมตระกูลจูถึงสนใจคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือได้ ? หรือจะติดโรคจากอารามนิรันดร์ ทำให้อยากขุดหลุมหาของใต้ดินไปทั่ว ?
จูเซียนเหยาเอ่ย “เราทำอะไรไม่ได้ จากนี้ไป ทุกคนต้องตั้งใจหาให้ดี ใช่แล้วเทียนหย่าง”
“อ๊ะ ?” เมื่อได้ยินจูเซียนเหยาเรียกชื่อ ซูเฉินก็ชะงักไป แผนนี่มีเขาร่วมด้วยงั้นหรือ ?
จูเซียนเหยาถอนใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าเอาแต่ถามข้าว่าทำไมข้าพาเจ้ามาด้วย ตอนนี้ข้าจะไขข้อข้องใจให้กระจ่าง เจ้ารู้เรื่องขาปี่เอ๋อซือ ถูกต้องหรือไม่ ?”
“อ่า ก็รู้อยู่บ้าง……” ซูเฉินตอบช้า ๆ
เป็นไปดังคาด จูเซียนเหยาต้องอธิบายเรื่องขาปี่เอ๋อซือให้ซูเฉินฟังคร่าว ๆ เห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องเขาอยู่ไม่น้อย กระทั่งข้อมูลบางอย่างซูเฉินยังไม่รู้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง
“เป้าหมายเราครั้งนี้คือหาคลังสมบัติลับที่ขาปี่เอ๋อซือทิ้งไว้ เจ้าน่าจะรู้แล้วว่าทำไมเรานำเจ้ามาด้วยแล้วกระมัง ?” จูเซียนเหยาว่า
ได้ยินแล้ว ซูเฉินก็พลันได้สติ