บทที่ 16 ค้นปราสาท (1)
ทุกตระกูลต่างก็มีไพ่ตายและวิชาลับเป็นของตนเอง
บ้างมีมันมาแต่กำเนิด บ้างได้มาจากการฝึกฝนหลังจากนั้น
และเป็นเพราะตระกูลมังกรกุนพุงพลุ้ยนั้นมีสายเลือดพิเศษ ทำให้พวกเขาส่วนมากมักจะอยู่เฉย ๆ จนในช่วงต้นดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก
ตระกูลโหยวรู้สถานการณ์ตนดี จึงฝึกฝนทักษะหนึ่งขึ้นมาทดแทนกัน
ทักษะที่ตระกูลโหยวเลือกนั้นคือค่ายกลจำกัดขอบเขต
เด็กทุกคนในตระกูลโหยวเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลจำกัดขอบเขต พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝึกบ่มเพาะพลังก่อนสายเลือดจะตื่นขึ้น หากแต่ถูกบังคับให้เรียนค่ายกลจำกัดขอบเขต นับเป็นรากฐานแห่งชีวิตก่อนสายเลือดจะตื่นขึ้น
หากจูเซียนเหยาคิดจะหาคลังลับ นางย่อมต้องปลดข้อจำกัดทุกอย่างในปราสาทไหลน่าตะวันตกออก หมายความว่าจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลจำกัดขอบเขตมาช่วยเหลือ
และในเมื่อตระกูลหมั้นนางไว้กับโหยวเทียนหย่าง เจ้าอ้วนเองก็ชอบนาง จูเซียนเหยาย่อมเลือกเขาให้เป็นคนปลดค่ายกลจำกัดขอบเขตต่าง ๆ
โหยวเทียนหย่างไม่รู้ว่าจูเซียนเหยาพาเขามาด้วยทำไม เขาคิดว่านางคงพาเขามาด้วยเพื่อบ่มเพาะความรู้สึกกับเขากระมัง
จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินพลางเอ่ย
ซูเฉินสบถเสียงเบา “เสร็จกัน”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักค่ายกลจำกัดขอบเขต เขาเรียนจากเจียงหานเฟิงกับคนอื่น ๆ เมื่อครั้งอยู่ที่ซากโบราณลุ่มน้ำทองมาบ้าง ทำให้เขาก็พอมีประสบการณ์ แต่หากเทียบกับคนเช่นโหยวเทียนหย่างที่เรียนมันมานับสิบปี เขาย่อมด้อยกว่า
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซูเฉินจึงได้แต่ทำหนังหนากล่าวออกไป “เอาล่ะ…… ข้าจะพยายามช่วยเจ้าหาสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะให้จิ่งเหวินไปช่วย”
“ไม่หรอก ไม่จำเป็น ข้าคนเดียวก็พอ ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมาตามข้า” ซูเฉินตอบ
จูเซียนเหยาเห็นเขาเด็ดขาดเช่นนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย ประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าคำพูดเขาแปลก ย่อมไม่แปลกที่เขาต้องการรักษาความลับตระกูลให้ได้มากที่สุด หากแต่ความเด็ดขาดเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขาเลย จูเซียนเหยามองเขาด้วยสายตาล้ำลึกก่อนเอ่ย “เจ้าต่างจากเดิมจริง ๆ”
ซูเฉินเอ่ยคำตาม “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะเปลี่ยน”
เขาพยายามทำหน้าตาจริงจังมั่นใจ แต่ยิ่งทำก็ยิ่งน่าขัน แต่ก็ยังสัมผัสความมุ่งมั่นได้ในคำพูดและท่าทาง
ในตอนนั้น กระทั่งจูเซียนเหยายังให้กำลังใจ “ข้าเริ่มจะเชื่อเจ้าขึ้นมานิดหน่อยแล้ว”
หลังจากจูเซียนเหยามาแล้ว ซูเฉินก็กลับห้องแล้วหนิบเครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดออกมา “เหล่าฉือ”
“มีอะไรหรือ ? ไหนว่าจะติดต่อหากันเฉพาะตอนเช้าตรู่อย่างไร ? หรือมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือไร ท่านถึงได้แหกกฎเร็วเช่นนี้ ?”
ซูเฉินถอนใจ ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉือหมิงเฟิงฟัง
เมื่อได้ยินว่าตระกูลจูเองก็มาหาคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ ฉือหมิงเฟิงก็ตกตะลึงไป “เป็นไปได้อย่างไรกัน ? มีข่าวหลุดไปได้อย่างไร ?”
“คนของท่านอาจจะถูกจับไปกระมัง” ซูเฉินลองเดา
“ไม่หรอก พวกที่รู้มีแต่พวกระดับสูงทั้งสิ้น ข้าไม่ได้ยินเลยว่ามีพวกระดับสูงถูกตระกูลจูจับตัวไป”
“เช่นนั้นก็มีอีกเหตุผลหนึ่ง……” ซูเฉินเอ่ยช้า ๆ
ไม่ต้องถามก็ย่อมรู้ คงมีคนจากอารามนิรันดร์แอบป้อนข้อมูลให้ตระกูลจูอยู่อย่างไรเล่า
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซูเฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดใส่ใจมาก พูดขึ้นเพียง “ช่างมันก่อนเถอะ สำคัญที่สุดตอนนี้คือเรื่องทักษะค่ายกลจำกัดขอบเขต ท่านรีบไปเค้นคอโหยวเทียนหย่างเถอะ เค้นออกมาให้ได้มากที่สุด เอาเรื่องทักษะของค่ายกลจำกัดขอบเขตที่ข้าต้องใช้ยามค้นปราสาทด้วย”
“ไม่มีปัญหา แต่ท่านคิดจะช่วยพวกเขาหาคลังลับจริงหรือ ?”
“ก็ดีไม่ใช่หรือ ? ตั๊กแตนจับจักจั่น ไม่ทันระวังนกขมิ้นด้านหลัง” ซูเฉินว่า
ฉือหมิงเฟิงคิดครู่หนึ่งก่อนหัวเราะ “ใช่ นั่นก็จริง ทำเช่นนี้แผนเราก็จะง่ายขึ้นมาก”
ด้วยความร่วมมือของโหยวเทียนหย่าง เรื่องที่ตามมาจึงรับมือง่ายดายขึ้นมาก
ฟังจากที่โหยวเทียนหย่างเล่ามา ยามต้องการค้นหาของอย่างคลังสมบัติลับ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้ค่ายกลอื่นในการปลดค่ายกลจำกัดขอบเขต
ค่ายกลบางอย่างนั้นออกแบบขึ้นมาเพื่อปลดการทำงานของค่ายกลจำกัดขอบเขตที่ถูกปิดไว้
ฉือหมิงเฟิงบีบให้โหยวเทียนหย่างเขียนทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับค่ายกลจำกัดขอบเขตออกมา ซูเฉินทำทีเป็นออกไปซื้อของเพื่อออกมานอกปราสาท แล้วออกมาพบกับพวกเขา
เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้งก็ได้แต่ถอนหายใจโล่งอก
ยามซูเฉินบุกเข้าปราสาทไป ทุกคนคิดว่าเขาคงไม่รอดออกมาแน่ หากแต่เขากลับเลียนแบบโหยวเทียนหย่างได้แนบเนียนนัก ทำให้เขาสามารถออกมาได้โดยไร้ความน่าสงสัย
แน่นอนว่านอกจากชื่นชมซูเฉินเพราะความกล้าหาญแล้ว ยังแสดงความซาบซึ้งที่มีต่อพี่น้องร่วมภารกิจด้วย หากไม่ได้เขา เฮ่อซื่อก็คงถูกสังหารไปแล้ว แผนการครั้งนี้ก็คงถูกเปิดเผยจนหมด
“คนจากตระกูลจูยังไม่เริ่มสงสัยท่านเลยหรือ ?” ฉือหมิงเฟิงถาม
“เวลาผ่านไปยังไม่นาน อีกทั้งพวกเขาก็ยุ่งมาก ไม่มีเวลามาจับสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยหรอก แต่หากต้องอยู่นานก็คง” ซูเฉินตอบ
“แล้วท่านจะทำอย่างไร ?”
“ถึงเวลาก็รู้เอง” ซูเฉินยิ้มไร้กังวล “อย่างไรทหารตาดีสุด ๆ คนนั้นของปัวเอ่อร์ก็จากไปพร้อมกันแล้ว จูไป๋อวี่ก็ไม่น่ามีวิชาที่สามารถมองการปลอมตัวออก และถึงเขาจะสงสัยข้า แต่หากยังไม่มั่นใจก็ยังไม่ลงมือ ภารกิจในตอนนี้ของข้าคือการหาคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือให้ได้โดยเร็ว”
“โหยวเทียนหย่างวาดค่ายกลจำกัดขอบเขตทั้งหมดไว้ในนี้ ส่วนมันจะมีปัญหาหรือไม่ข้าก็พูดยาก เจ้านี่ทำทีเป็นโง่ แต่จริง ๆ ก็ฉลาดไม่น้อย คงจะรู้ว่าอย่างไรเราก็คงไม่ปล่อยเขาไปหลังเรื่องจบแน่” ฉือหมิงเฟิงส่งกระดาษปึกใหญ่ที่มีลวดลายอักขระซับซ้อนเขียนไว้ให้ซูเฉิน
“แล้วทำไมท่านถึงจะไม่ปล่อยเขา ?” ซูเฉินโต้ “เขาไม่เคยล่วงเกินเขา เราต่างหากที่ลากเขามาขัง หากไม่มีเหตุก็ปล่อยเขาไปดีกว่า”
“เขารู้เรื่องเรามากเกินไป”
“เช่นนั้นก็ล้างความทรงจำเขาเสีย ข้าลงมือให้ได้”
ฉือหมิงเฟิงมองซูเฉิน จากนั้นก็ยิ้มบาง “ท่านนี่จิตใจดีกว่าที่ข้าคิดไว้เล็กน้อย”
“ข้าเพียงไม่ชอบสังหารคนโดยไร้เหตุ” ซูเฉินว่า เขาจ้องฉือหมิงเฟิง “สัญญากับข้าว่าท่านเองก็จะไม่สังหารเขาหากไม่จำเป็น”
ฉือหมิงเฟิงพยักหน้ารับ ซูเฉินนำปึกค่ายกลจำกัดขอบเขตกลับไปยังปราสาท จังหวะนั้นไม่มีใครได้ทันเห็นสายตาขุ่นเคืองที่เจ้าอ้วนน้อยแอบส่งมาจากมุมห้องเลย
หลังกลับมายังปราสาทไหลน่าตะวันตก ซูเฉินก็เริ่มก็เริ่มสร้างค่ายกล แม้จะยังไม่ถนัดมือนัก แต่ข้าวกายก็ไร้คน ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว
ค่ายกลจำกัดขอบเขตอย่างแรกเป็นค่ายกลประเภทค่ายกลตรวจจับ มีหน้าที่ค้นหาค่ายกลจำกัดขอบเขตอื่นโดยเฉพาะ
ในปราสาทไหลน่าตะวันตกมีค่ายกลมากมาย แต่ส่วนมากเป็นค่ายกลปกป้องของตัวปราสาทเอง ซึ่งรวมถึงเกราะที่ล้อมกำแพงชั้นนอกไว้ แสงเฝ้ายามน้ำเงิน และอื่น ๆ อีกมาก ทั้งยังมีค่ายกลซ่อนอยู่ตามมุมที่พวกเขาพลาดไม่ทันเห็นไปเมื่อคราแรกด้วย
ด้วยค่ายกลตรวจจับทำให้ซูเฉินเข้าใจความสามารถในการป้องกันของตัวปราสาทไหลน่าตะวันตกเป็นอย่างมาก
โชคร้ายที่ไม่พบค่ายกลปกปิดใด ๆ ที่น่าจะเกี่ยวกับขาปี่เอ๋อซือเลย
ซึ่งก็ไม่แปลกนัก หากคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือหาพบง่าย มันก็คงถูกพบมานานแล้ว
ในเมื่อค่ายกลตรวจจับช่วยอะไรไม่ได้ ซูเฉินจึงเปลี่ยนไปใช้ค่ายกลจำกัดขอบเขตอีกชนิดหนึ่งแทน
มันเป็นค่ายกลตรวจจับเช่นกัน แต่มันไม่ได้พุ่งเป้าค้นหาค่ายกลจำกัดขอบเขต ทว่าเสาะหาวัตถุไร้พลังต้นกำเนิดและเครื่องกลไกต่าง ๆ ที่ถูกซ่อนอยู่แทน ของเช่นประตูลับ อุโมงค์ กระทั่งช่องลับในกำแพง มันต่างค้นพบทั้งสิ้น