บทที่ 17 ค้นปราสาท (2)
ผลของค่ายกลจำกัดขอบเขตที่มุ่งหากลไกลลับนั้นน่าตะลึงมาก หากแต่กลับไร้ผลลัพธ์
ซูเฉินค้นทุกซอกทุกมุมของปราสาท นอกจากเผ่าเกล็ดทรายโง่เง่าที่ซ่อนหินพลังต้นกำเนิดไม่กี่ก้อนไว้ในกำแพงแล้ว เขาก็ไม่พบอะไรอัก
แต่เขาก็ไม่โมโห ยังคงลองสร้างค่ายกลจำกัดขอบเขตอื่น ๆ เพื่อค้นหาต่อไป
ยังมีค่ายกลหนึ่งที่สร้างคลื่นพลังต้นกำเนิดออกมา และสามารถรับการตอบสนองของพลังได้ อีกค่ายกลหนึ่งก็สามารถปล่อยแรงโน้มถ่วงลงพื้นไปลึก และอีกค่ายกลหนึ่งก็สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์โครงสร้างของวัสดุที่ใช้สร้างปราสาทได้
แต่ถึงจะมีค่ายกลจำกัดขอบเขตพวกนี้ก็ไม่อาจคนพบอะไรเลย
ซูเฉินไม่เจอจุดผิดปกติสักจุด
ตัวค่ายกลเองนั้นไร้ปัญหา ซูเฉินลองทดสอบดูเองแล้ว เพียงแต่ที่นี่ไม่มีอะไรซ่อนอยู่จริง ๆ กระทั่งโหยวเทียนหย่างมาเอง เขาก็คงไม่พบแม้แต่ผมสักเส้นของขาปี่เอ๋อซือ
ความล้มเหลวของซูเฉินทำให้แผนล่าสมบัติตระกูลจูพังไม่เป็นท่า
ทุกคนเริ่มวิตกกังวลและโกรธเกรี้ยวด้วยเรื่องนี้
กระทั่งจูเซียนเหยายังไม่อาจอดทนอีกต่อไป ทุกวันที่ผันผ่าน สีหน้านางยิ่งไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
“นี่ก็ 7 วันแล้ว แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย ! ข้าว่าทำเช่นนี้ไปก็เสียเวลาเปล่า !” ปาเลี่ยหยวนตะโกนเสียงเกรี้ยว
ชายสูงแปดฉื่อ ร่างกายกำยำ หัวล้านเหมือนอันซื่อหยวนผู้นี้เป็นลูกน้องโหยวเทียนหย่าง แม้จะอยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณ แต่มีพละกำลังที่ทำให้สามารถต่อสู้กับคนด่านสู่พิสดารได้ทีเดียว แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องห้ามใช้ความเร็วหลบหลีก
ฉือหมิงเฟิงและซูเฉินมั่นใจว่าโหยวเทียนหย่างฉลาดมีไหวพริบอยู่บ้างก็เพราะคนผู้นี้ คิดกันตามหลักเหตุผล หากเจ้านายไม่ฉลาด เช่นนั้นลูกน้องก็ต้องฉลาดเพื่อเสริมส่วนที่เจ้านายไม่มี
และเมื่อปาเลี่ยหยวนมีแต่ร่างกำยำทว่าไร้สมอง ก็หมายความว่าโหยวเทียนหย่างย่อมไม่ได้โง่เป็นแน่ แม้จะไม่ค่อยกล้าหาญก็ตามที ยิ่งลองเค้นขอเขาก็ยิ่งมั่นใจ
เป็นเพราะเรื่องนี้ที่ซูเฉินยังสามารถทำทีเป็นโหยวเทียนหย่างมาถึงตอนนี้ได้ ปาเลี่ยหยวนคนที่สนิทที่สุดไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรผิดปกติ ได้แต่เดินไปมาหน้าตาโกรธที่โถงทางเดินวันแล้ววันเล่า
จูไป๋อวี่เอ่ย “โมโหไปก็ไม่ได้อะไรหรอกเลี่ยเหยวน ขาปี่เอ๋อซือเป็นคนอย่างไรเล่า ? ไม่แปลกที่เราจะไม่พบคลังสมบัติของเขา”
“แต่พวกเผ่าวิญญาณเหมือนจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับเรานะ”
เผ่าวิญญาณที่อารามนิรันดร์จับตัวมาได้ต่างตั้งใจมุ่งหน้ามายังปราสาทไหลน่าตะวันตก ดูจากการเตรียมการแล้ว เหมือนแผนพวกเขาจะเรียบง่ายนัก ราวกับไม่คิดว่าจะไม่พบคลังสมบัติลับเลยสักนิด
เมื่อได้ยินจูเซียนเหยาพูดเช่นนั้น ซูเฉินก็นึกบางอย่างขึ้นได้แล้วโพล่งออกมา “ขาปี่เอ๋อซือเป็นเผ่าวิญญาณ เช่นนั้นคลังสมบัติลับก็ควรจะถูกทิ้งไว้ให้เผ่าวิญญาณโดยเฉพาะ เป็นไปได้ไหมว่ามีแต่เผ่าวิญญาณเท่านั้นที่จะหามันพบและเปิดมันออกได้ ?”
บนใบหน้าคนทั้งหลายเริ่มมีแววหวัง
จูเซียนเหยาเอ่ย “ใช่แล้ว ! คลังสมบัติลับพวกนี้น่าจะทิ้งไว้ให้เผ่าวิญญาณคนอื่น ๆ ดังนั้นอุบายปกติทั้งหลายจึงไร้ผล”
ปาเลี่ยหยวนชะงักไป “เช่นนั้นก็หมายความว่าเราจะไม่มีทางหาคลังสมบัติลับเจอเลยหรือ ?”
“ไม่หรอก” ซูเฉินว่า “หากเรารู้วิธีที่พวกเผ่าวิญญาณใช้ เราก็อาจมีทางแก้”
ทุกคนเหลือบมองกัน จากนั้นร้องขึ้นพร้อมกัน “พลังจิต !”
เผ่าวิญญาณนั้นไร้ตัวตน อาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มพลังจิตที่ทรงพลัง มนุษย์นั้นต้องฝึกหนักเพื่อทำให้พลังจิตแกร่งขึ้น หากแต่สำหรับเผ่าวิญญาณนั้นนับเป็นเรื่องง่ายดาย
หากขาปี่เอ๋อซือต้องการให้คลังสมบัติลับถูกเปิดโดยเผ่าวิญญาณเท่านั้นแล้ว หนทางที่ดีที่สุดก็คือใช้วิธีนี้นั่นเอง
เมื่อเข้าใจแล้ว ทุกคนก็ราวกับได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ทันที
หากแต่พริบตาต่อมาพวกเขาก็เริ่มได้สติ
จูเซียนเหยามุ่นคิ้ว “เช่นนั้นก็หมายความว่าเราต้องมีพลังจิตเทียบเท่ากับคนเผ่าวิญญาณถึงจะเปิดคลังสมบัติลับได้งั้นหรือ ? แล้วต้องมีเท่าเผ่าวิญญาณระดับต่ำ ? หรือระดับกลาง ? หรือจะเป็นระดับสูงกันเล่า ?”
จูไป๋อวี่ส่ายหน้า “กระทั่งเผ่าวิญญาณระดับต่ำก็ไม่อาจเทียบได้แล้ว”
เผ่าวิญญาณระดับต่ำนั้นมีพลังจิตอย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งพันหน่วย
มนุษย์ส่วนมากได้แต่เฝ้าฝันเท่านั้น มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถไปถึงขั้นนี้ได้แม้จะเชี่ยวชาญด้านพลังจิตมากก็ตาม
ซูเฉินฝึกเคล็ดวิชาจิตแท้มาสิบปี กินโอสถปลุกวิญญาณเป็นระยะ ๆ แต่พลังจิตก็ยังมีเพียง 400 กว่าหน่วยเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าเขามีพลังจิตเป็นที่น่าอิจฉาในหมู่มนุษย์ แค่เรื่องพลังจิตอย่างเดียว เขาก็งัดข้อกับคนด่านผลาญจิตวิญญาณธรรมดาสักคนได้แล้ว
แต่ความห่างระหว่างตัวเลขนั้นกับหนึ่งพันหน่วยก็ยังไม่อาจเทียบได้
รองจากซูเฉิน ก็มีจูเซียนเหยาที่พลังจิตแกร่งกล้า ประมาณ 180 หน่วยได้ หากแต่จูเซียนเหยาก็มีสมบัติที่ทำให้ขยายพลังจิตขึ้นไปราว ๆ ที่ 300 หน่วยได้ รองจากนางก็เป็นจูไป๋อวี่ แม้เขาจะอยู่ด่านสู่พิสดาร แต่สายเลือของเขาก็ไม่มีวิชาลวงจิต ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฝึกฝนด้านพลังจิตนัก จึงมีพลังจิตที่ราว ๆ 10 หน่วย
จูเซียนเหยาเอ่ย “อย่างไรก็ต้องมีทาง หากเราทำอะไรไม่ได้ เราเพิ่มพลังจิตขึ้นชั่วคราวก็ได้อยู่”
“แต่ก็ต้องหายาที่เสริมพลังจิตได้” จ้าวจิ่งเหวินเอ่ย
จูเซียนเหยาเหลือบมองซูเฉิน “เจ้าสร้างค่ายกลที่ช่วยเสริมพลังจิตได้หรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบ “ข้าจะลองดู”
“เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่เพิ่มพลังงานจิตให้ผู้ใช้ยิ่งดีกว่า” จูไป๋อวี่เอ่ย
จูเซียนเหยาขมวดคิ้ว “ปราการหงส์เดียวดายทรัพยากรทั้งหลายหายากนัก จะหาสมบัติเช่นนั้นคงไม่ง่าย”
“เช่นนั้นก็คงต้องไปหาที่อาณาจักรหลงซางแล้ว” จ้าวจิ่งเหวินถอนใจ
ทุกคนหันมามองจูไป๋อวี่
ระยะทางระหว่างอาณาจักรหลงซางชั้นในกับปราการหงส์เดียวดายนั้นไกลพอสมควร การจะหาสมบัติที่ช่วยเพิ่มพลังจิตนั้นยิ่งยากเย็นกว่า หากพวกเขาต้องการดำเนินแผนภายในเวลาอีก 23 วันที่เหลือก็ต้องให้จูไป๋อวี่ลงมือเอง
จูไป๋อวี่เข้าใจ เขาพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นข้าไปเอง แต่เรื่องเซียนหลิง……”
ฉือหมิงเฟิงส่งผู้เชี่ยวชาญสองคนไปยังเมืองปราสาทเก่าเพื่อสร้างเรื่องขึ้น เช่น สัตว์ในทุ่งตายอย่างน่าประหลาด มีอสูรดูดเลือดปรากฏตัวขึ้น หรือจู่ ๆ ก็มีแสงสีเขียวขึ้นมาอย่างน่าตกใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย ฉากหน้านั้นเหมือนกับเรื่องพวกนี้จะประหลาดพิลึก ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ก็หมายความว่ามีคนลึกลับแฝงอยู่ในเมือง ทำให้จูเซียนเหยากับคนอื่น ๆ ประหม่านัก ทุก ๆ วันพวกเขาจะสอบปากคำเฮ่อซื่อ แต่เขาก็จะทำให้ตนถูกพลังจิตซูเฉินชักจูงไปแทน ได้แต่ให้ข้อมูลไปเล็กน้อยในสภาวะมึนงง ทำให้จูเซียนเหยาไม่อาจสังหารเขาได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากจูไป๋อวี่ไปแล้วก็จะยิ่งเป็นอันตรายกับจูเซียนเหยา แต่เพื่อแผนการ นางจึงยอมเสี่ยงดู
จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าจูเซียนเหยาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย หลังจากเรื่องที่สถาบันเมื่อครานั้น
เย็นวันนั้น จูไป๋อวี่ก็จากปราสาทโบราณไป เวลาเดียวกันนั้นซูเฉินก็อ้างว่าจะออกไปหาวัตถุดิบแล้วออกจากปราสาทไปอีกครั้ง แต่จริง ๆ แล้วเขาจะไปเค้นคอโหยวเทียนหย่างเรื่องค่ายกลที่ช่วยเพิ่มพลังจิตได้ต่างหาก
ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ พวกเขาไม่พบสมบัติเลย ทว่าซูเฉินสามารถสร้างค่ายกลจำกัดขอบเขตได้ชำนาญขึ้นมาก
แต่การเดินทางจากไปของจูไป๋อวี่ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาก เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนด่านสู่พิสดารที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรทรงพลังนัก การมีอยู่ของจูไป๋อวี่จึงกดดันซูเฉินไม่น้อย
นอกจากสร้างค่ายกลเสริมพลังจิตแล้ว ซูเฉินยังถือโอกาสปรุงยาเพิ่มพลังจิตสักหลายขวดขึ้นมาด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าจูไป๋อวี่จะกลับมาพร้อมกับอะไรบ้าง ดังนั้นซูเฉินจึงได้แต่เตรียมตัวเผื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน แม้จะไม่อยากใช้มันก็ตามที