ภาคที่ 4 บทที่ 18 สงสัย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18 สงสัย

ซูเฉินตื่นมาตอนเช้าตรู่ก่อนจะจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดี

ข้ารับใช้เผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งเดินมาหาเขา “คุณชายโหยว ท่านข่าเล่อเชิญไปรับประทานอาหารเช้าขอรับ”

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าไป” ซูเฉินตอบ

เมื่อมาถึงห้องอาการ ซูเฉินก็เห็นว่าเกือบทุกคนนั่งรออยู่ในนั้นแล้ว

เผ่าเกล็ดทรายนั้นรับวิถีการกินแบบเผ่าอาร์คาน่ามาใช้ พวกเขานั่งล้อมโต๊ะขนาดใหญ่มาก มีเชิงเทียนหรูหราและชุดช้อนส้อมประดับโต๊ะ มีตะเกียงผลึกแก้วห้อยอยู่เหนือศีรษะ

ข่าเล่อนับได้ว่าเป็นเจ้าของปราสาทอยู่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงนั่งที่หัวโต๊ะ ด้านซ้ายเขาเป็นจูเซียนเหยา ส่วนด้านขวานั้นว่างเปล่า

เมื่อเห็นว่าซูเฉินมาถึงแล้ว ข่าเล่อก็หัวเราะแล้วกวักมือเรียก “คุณชายโหยว เชิญนั่งตรงนี้”

เขาชี้ให้มานั่งด้านขวาเขา

เดิมทีมันเป็นที่ของจูไป๋อวี่ ทว่าเมื่อคืนจูไป๋อวี่เดินทางจากไปที่จึงว่างเปล่า

ซูเฉินทำเป็นขัดเขิน เหลือบมองจูเซียนเหยา

จูเซียนเหยาเอ่ยเบา ๆ “เขาบอกให้นั่งเจ้าก็นั่งเถอะ”

ซูเฉินพึมพำ “อ้อ” ออกมา ก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้ามจูเซียนเหยา มองจากตรงนี้เห็นใบหน้างามประณีตเด่นชัด นางไร้ซึ่งกลิ่นอายมีเสน่ห์เช่นแต่ก่อน หากแต่หน้าตาดูง่วงหงาวเฉื่อยชา เกิดความน่าดึงดูดประหลาดที่ไม่อาจทนได้

นางเป็นสตรีคนแรกที่ซูเฉินคิดว่าเหนือกว่ากู่ชิงลั่วในเรื่องความงาม ดังนั้นจึงอดเหลือบมองจูเซียนเหยาอีกหลายครั้งไม่ได้

“ดูท่าคุณชายโหยวจะชอบที่นั่งนี้มาก” ข่าเล่อพูดยิ้ม ๆ “แต่จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาแจ้งข้าเลยว่าเหตุใดท่านจูจึงไม่อยู่ที่ปราสาทแล้ว ?”

ซูเฉินใจสะดุด เขารู้ว่าสุดท้ายข่าเล่อก็ต้องสงสัยอยู่ดี

หลายวันที่ผ่านมา ตระกูลจูค้นทั่วทั้งปราสาทไหลน่าตะวันตกเพื่อหาคลังสมบัติเผ่าวิญญาณ แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงหูตาทั้งหลายของเผ่าเกล็ดทราย แต่ก็ไม่ใช่ของที่ตั้งอยู่เฉย ๆ มีหรือที่พวกเขาจะไม่สังเกตอะไร ?

แล้วตอนนี้จู่ ๆ จูไป๋อวี่ก็หายไป ข่าเล่อจึงยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาในเช้าวันนี้

จูเซียนเหยายังไร้สีหน้า “นี่เป็นเรื่องของตระกูลจู เราไม่จำเป็นต้องรายงานทุกการเคลื่อนไหวให้ท่านข่าเล่อหรอกกระมัง ?”

ข่าเล่อยังยิ้ม “แต่เจ้ายังอยู่ในเขตแดนของเผ่าเกล็ดทราย อีกทั้งยังอยู่ในปราสาทของท่านหัวหน้า อย่างน้อยก็ควรอธิบายมา ข้ายอมให้พวกเจ้าเดินไปทั่วปราสาท แต่กลับไม่ถามเกี่ยวกับเหมืองทองหินดำสักคำ ท่าทางเช่นนี้ไม่เหมือนคนที่อยากมาทำการค้าเลยกระมัง ?”

แม้ภายนอกข่าเล่อจะดูหยาบโลน แต่จากคำพูดก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนโง่

ซึ่งก็มีเหตุผล ผู้ช่วยส่วนตัวของหัวหน้าเผ่าเกล็ดทรายจะเป็นคนโง่ได้หรือ ?

จูเซียนเหยายังรักษาท่าที “เหมืองทองหินดำไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา ปัวเอ่อร์เองก็น่าจะรู้แล้ว ส่วนเรื่องที่เราเดินไปทั่วปราสาท…… เรื่องนั้นเราควรอธิบายให้ท่านข่าเล่อฟังตรง ๆ”

“เช่นนั้นก็โปรดอธิบายเถอะ ข้าอยากฟังรายละเอียด” ข่าเล่อเอ่ยเสียงสบระหว่างทที่พยายามหั่นชิ้นเนื้อตรงหน้า

“ท่านข่าเล่อจำคนที่แอบเข้ามาในปราสาทเมื่อสักสิบวันก่อนได้หรือไม่ ?” จูเซียนเหยาถาม

“จำได้ เขายังถูกขังอยู่เลย”

“เขาเป็นนักฆ่าที่น้องสาวส่งมาสังหารข้า ซึ่งก็อาจจะมีมากกว่าหนึ่งคน”

“หมายความว่า……”

“ช่วงนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในเมืองปราสาทเก่าอยู่เนือง ๆ หากข้าเดาไม่ผิด คนของน้องสาวข้าคงจะมาถึงแล้ว พวกเราเองก็ต้องป้องกันตัว ดังนั้นเราจึงมีการจัดวางคนรอบปราสาทเช่นกัน” จูเซียนเหยาตอบ

ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เป็นข้ออ้างที่ดีใช้ได้

วิธีการทำให้คำลวงดูน่าเชื่อถือที่สุด คือการเชื่อมมันเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอาจเกิดขึ้นในอนาคต จูเซียนเหยาตอบมาเช่นนี้ไม่ใช่เพิ่งคิดได้ แต่ตระเตรียมมานานแล้ว ทำให้นางตอบได้โดยไม่ตกใจแต่ประการใด

ข่าเล่อจึงอึ้งไป

เขาสงสัยท่าทีตระกูลจูมานานแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้แต่สงสัย ยิ่งตอนนี้จูเซียนเหยาให้เหตุผลน่าเชื่อถือมา เขาจึงไม่อาจสงสัยต่อไปได้

เขาคิดครู่หนึ่งก่อนถาม “หากเป็นเช่นนั้น ทำไมท่านจูจึงต้องจากไปด้วย ?”

“สาเหตุที่อสรพิษน่ากลัว เพราะมันซ่อนอยู่ในความมืด เราไม่อยากเป็นฝ่ายรับมือการลอบสังหารยามหลับอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการทำให้มันตายใจ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นเจ้าไม่เป็นอันตรายมากหรือ ?”

“เราจึงต้องหาวิธีป้องกันภายในปราสาทเป็นการระวังไว้ก่อนด้วย” จูเซียนเหยาตอบกลับตาไม่กะพริบ

ข่าเล่อคิดแล้วก็พยักหน้า “หากพวกเจ้าไม่พังปราสาท ข้าก็ยอมรับได้ จริง ๆ แล้วหากเจ้าส่งสิบล้านมา นายท่านอาจเต็มใจยกปราสาทให้เลยยังได้”

จูเซียนเหยายิ้ม

ข้าย่อมรู้ว่าหากใช้เงินซื้อปราสาทมาได้ก็จะไร้ปัญหา

แต่ปัญหาคือข้าไม่อยากใช้เงิน!

เจ้าคิดว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายสามารถใช้เงินเหมือนมันงอกจากต้นไม้ได้หรือ ?

หลังอาหารเช้า ข่าเล่อก็จากไป

จูเซียนเหยาบลุกขึ้น “เทียนหย่าง ตามข้ามาหน่อย”

“ได้” ซูเฉินตอบกลับ

จูเซียนเหยาเดินนำไป สองมือไพล่หลังไม่กล่าวอะไร ส่วนซูเฉินเดินตามนางไปเงียบ ๆ

จนกระทั่งถึงทางเข้าปราสาทนางถึงหยุดเท้า

จูเซียนเหยามองคนที่ทำงานอยู่ด้านนอกปราสาทไกล ๆ แล้วเอ่ย “เดี๋ยวเจ้าตั้งค่ายกลไว้ในปราสาทอีกสักหน่อยเถอะ”

“เราจะตั้งค่ายกลจริง ๆ หรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง

“อืม ในเมื่อเราบอกข่าเล่อไปเช่นนั้น ก็ต้องทำตามด้วย ลูกน้องเซียนหลิงก็มาถึงแล้ว ไม่นานคงลงมือโจมตี อาหกเพิ่งจะออกไป นับเป็นจังหวะเหมาะที่จะโจมตี นางไม่มีทางปล่อยไปแน่ เตรียมตัวไว้ก็ไม่เสียหาย”

ซูเฉินได้ยินแล้วก็ตกตะลึงไป

ผลของคำลวงนั้นคือการที่ต้องคอยสร้างคำลวงต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปง

การลอบสังหารของจูเซียนหลิงเป็นคำลวงจากซูเฉินและคนอื่น ๆ เพื่อช่วยชีวิตเฮ่อซื่อ หากแต่ตอนนี้จูเซียนเหยากลับคิดจริงจัง กระทั่งส่งผลต่อแผนการของนางด้วย

ไม่แน่ว่าจูเซียนเหยาอาจไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมด และหวังใช้โอกาสนี้ลากตัวมือสังหารออกมาก็เป็นได้

ปัญหาก็คือ จะให้ลากมือสังหารมาจากที่ไหนได้?

ซูเฉินร้องไห้อยู่ในใจ

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้แต่พยักหน้าตอบกลับนางไป

ตอนนี้เขาต้องไปเค้นคอเจ้าโหยวเทียนหย่างเพื่อสร้างค่ายกลป้องกันมาแล้ว เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าค่ายกลจำกัดขอบเขตลับของตระกูลโหยวคงได้ถูกซูเฉินเรียนรู้วิธีใช้ไปจนสิ้นแล้ว

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอออกไปหาวัตถุดิบสักหน่อย” ซูเฉินว่า

เขามองออกไปที่นอกปราสาท

มีรถม้าคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามาช้า ๆ แต่มันกลับชนเข้ากับคนบนถนนแล้วพลิกคว่ำ คนขับรถม้าลงมาถกเถียงกับคนที่ถูกรถม้าชนอยู่ด้านล่าง

เหลือบมองครั้งเดียวก็ทำให้ซูเฉินเปลี่ยนสีหน้าทันควัน เขาร้องขึ้น “ระวัง !”

ศรดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา