บทที่ 19 ลอบสังหาร
ฟ้าว !
ศรคมกริบพุ่งแหวกอากาศเข้ามายังใบหน้าจูเซียนเหยา
ตอนที่มันกำลังพุ่งเข้ามา ซูเฉินก็ผลักนางออกไปด้านข้าง
ศรดอกนั้นส่องแสงเรืองสีดำเขียว มันพุ่งผ่านใบหน้านางไป เฉือนผมนางไปเพียงไม่กี่เส้น
จูเซียนเหยากลิ้งม้วนตัวกลับขึ้นมานั่งหมอบกับพื้น ยังไม่ทันทรงตัวดี เงาร่างทั้งหลายก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วที่ตีนปราสาทแล้วเหินข้ามกำแพงขึ้นมาพร้อมกัน
กำแพงเช่นนี้ไร้ผลต่อผู้เชี่ยวชาญพลัง การไต่ขึ้นมานั้นง่ายดายยิ่งนัก กระโจนไม่กี่ครั้ง คนทั้งหลายก็พากันขึ้นมายืนบนยอดกำแพงแล้ว
คนหน้าสุดใช้ดาบตวัดเข้าใส่จูเซียนเหยา มันพุ่งเข้ามาด้วยความแรง เต็มไปด้วยไอสังหาร
จังหวะนั้นจูเซียนเหยาจึงตอบกลับ นางกระแทกฝ่ามือลงพื้น ส่งร่างตนเองเหินขึ้นฟ้าเพื่อหลบการโจมตีนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นคนอีกสองคนก็พุ่งเข้าใส่ ดาบของทั้งสู่ส่องล้อแสงดูคมเฉียบ ที่คมดาบส่องประกายเย็นยะเยือก
จูเซียนเหยาถอยออกมา
สองมือเปล่านางปล่อยคลื่นพลังออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นก็กรีดร้องลั่น เห็นได้ชัดว่าคิดเรียกกำลังเสริม
หากแต่ศัตรูก็รู้ทันว่าโอกาสสังหารพวกตนน้อยเต็มที คลื่นพลังขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา ขวางจูเซียนเหยาทั้งหน้า หลัง ซ้ายและขวา ทำให้นางไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย
มือสังหารสามคนแรกจึงเงื้อดาบขึ้นพร้อมกันแล้วซัดมาทางจูเซียนเหยา
จูเซียนเหยารู้ว่าตนแย่แน่ ตกอยู่ในสถานารณ์จวนตัวเช่นนั้น นางจึงเผยสีหน้าน่าสงสารออกมา เมื่อคนทั้งสามเห็นเข้า พวกเขาก็ชะงักไปจังหวะหนึ่ง
“ไอ้โง่ ! ตื่นสิ !” เสียงคำรามต่ำดึงสติคนทั้งสามให้หลุดออกจากภวังค์
หากแต่จังหวะที่พวกเขาชะงักไปนั้น จูเซียนเหยาก็ลงมือแล้ว คลื่นพลังชั้นหนึ่งเริ่มแผ่ออกจากฝ่ามือ ปะทะเข้าร่างหนึ่งในมือสังหารทั้งสามจนร่างกระเด็น จากนั้นนางก็หันไปใช้ท่านิ้วใส่อีกคน เขาโต้กลับด้วยท่าดาบ หมายปัดป้องท่าดัชนีนั้นไม่ให้รุดเข้าหาตัว ชั่วอึดใจนั้นคนที่สามก็เสือกดาบเข้ามา จูเซียนเหยาคิดใช้วิชาลวงจิตอีก ทว่าจู่ ๆ ในจิตใจพลันมีเสียงกรีดร้องลั่นดังขึ้น
นางได้ยินแต่เสียง แต่ไม่เห็นว่าใครเป็นคนร้อง
ราวกับถูกเข็มตำ จูเซียนเหยาพลันรู้สึกปวดหัวจนไม่อาจใช้วิชาลวงจิตได้ ดาบของมือสังหารเจือไอกระหายฆ่าใกล้เข้ามาแล้ว ในใจนางพลันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา
เป็นตอนนั้นเองที่ร่างอ้วนพลันแวบมาอยู่ตรงหน้า กระแทกร่างมือสังหารจนกระเด็น
“อย่าทำอะไรเหยาเหยาของข้านะ !” สิ้นเสียงคำราม ร่างทั้งสองก็กระเด็นข้ามกำแพงปราสาทไป
“เทียนหย่าง !” จูเซียนเหยาร้องขึ้น
ฟ้าว !
ศรอีกดอกพุ่งเข้ามา
จูเซียนเหยาเหินร่างขึ้นมาแล้ว แสงสีทองแผ่ออกมาจากร่างกายนาง
ศรดอกนั้นปะทะร่าง หากแต่ไม่อาจเจาะผ่านร่างนางไปได้
ริ้วแสงจากคมดาบเองก็พุ่งขึ้นมาไล่ตามจูเซียนเหยาเช่นกัน
หนึ่ง สอง สาม !
เมื่อถูกดาบสามกระบวนท่าเช่นนี้ แสงสีทองของจูเซียนเหยาที่คุ้มร่างนางอยู่จึงแตกสลาย
คมดาบยังไล่ล่าจูเซียนเหยาที่กำลังบิดตัวพลิ้วล่าถอยอยู่กลางอากาศไม่หยุด
เสียงร้องยังทำให้คนในปราสาทตื่นตระหนกขึ้นมา จ้าวจิ่งเหวินเป็นคนแรกที่พุ่งออกมา เมื่อเห็นภาพนั้นก็นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ ก่อนเสือกหอกยาวออกไป
ตัวหอกพุ่งทะยานราวมังกร ปะทะเข้ากับท่าดาบที่พุ่งออกมากลางอากาศ ปล่อยคลื่นพลังมหาศาลกระจายออกมายามปะทะ
จ้าวจิ่งเหวินถูกบีบให้ถอยออกไป
ที่น่าตกใจคือมีดาบที่ห้าถูกซัดออกมาอีก
มันเล็งมาที่จูเซียนเหยาอีกครา ดูท่าหากสังหารนางไม่ได้ก็จะไม่กลับไปเป็นแน่
ดาบที่ห้ากำลังจะถูกเป้าหมาย มือใหญ่ที่สร้างขึ้นจากทรายก็พลันปรากฏ มันแบมือคว้าคมดาบนั้นไว้
ริ้วแสงจากคมดาบดิ้นไปมาอยู่ภายในกำมือยักษ์ สุดท้ายมือทรายก็แตกกระจายออกก่อนจะปลิวหายไปกับลมไม่ทิ้งร่องรอยใด
“เปิดเกราะป้องกัน !” ข่าเล่อตะโกนลั่น
ตู้ม !
ศรดอกที่สามพุ่งข้ามฟ้ามา หากแต่มันพุ่งเข้าปะทะกับเกราะป้องกันแทน
คนในเงามืดรู้ว่าการลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลวเสียแล้ว คนหนึ่งจึงร้องขึ้น “ถอย !” พวกเขาจึงหยุดมือทันที
“คิดหนีหรือ ?” บนใบหน้าข่าเล่อปรากฏรอยโกรธ
มือทรายยักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันกำเอวมือสังหารที่ถือดาบเอาไว้ ส่วนหอกแยกเมฆาของจ้าวจิ่งเหวินก็สามารถหยุดยั้งอีกคนหนึ่งไว้ได้เช่นกัน
จูเซียนเหยาวิ่งไปตรงมุมกำแพงปราสาทแล้วมองลงมา นางเห็น ‘โหยวเทียนหย่าง’ ล้มหน้าคะมำอยู่แถวกำแพงปราสาท ส่วนมือสังหารที่ถูกเขาโยนออกกำแพงไปนั้นสิ้นใจแล้ว เมื่อมองดูดี ๆ จะเห็นว่าตายเพราะกระดูกหัก อาจเพราะโชคร้ายตอนร่วงลงไปเป็นศีรษะลง เมื่อกระแทกพื้นจึงคอหักทันที
เห็นดังนั้นแล้วจูเซียนเหยาก็ถอนหายใจโล่งอก
โหยวเทียนหย่างปลอดภัยก็พอแล้ว
แค่เรื่องที่เขาช่วยชีวิตนางไว้ อีกทั้งตัวตนของเขา ทั้งหมดทั้งมวลก็ช่วยทำให้นางรู้สึกดี ๆ กับเขามากขึ้นแล้ว
มือสังหารอีก 2 คนรู้ว่าพวกเขาคงหนีไม่รอด ตัดสินใจแน่วแน่หันดาบเข้าหาตน พวกเขายอมตายทีกว่าตกอยู่ในมือศัตรู
และเมื่อมือสังหารตายหมดแล้ว จ้าวจิ่งเหวินจึงวิ่งเข้ามา “คุณหนูปลอดภัยหรือไม่ ?”
จูเซียนเหยาสีหน้าเข้มแข็งนัก “ข้าไม่เป็นไร แต่น่าเสียดายที่ต้องเผายันต์ทองคุ้มกายของท่านแม่”
“เป็นความผิดข้าเอง ข้าปกป้องคุณหนูได้ไม่ดีพอ !” จ้าวจิ่งเหวินเอ่ยด้วยความเศร้าโศก
“ช่างเถอะ ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก ครั้งนี้ต้องขอบคุณเทียนหย่าง เขาช่วยข้าไว้ ไม่เช่นนั้นศรดอกแรกคงปลิดชีวิตข้าไปแล้ว แล้วข้าก็คงไม่มีแม้แต่โอกาสได้ใช้ยันต์ทองคุ้มกาย”
“เขาเองก็มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร แม้จะยังไม่ตื่น แต่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ” จ้าวจิ่งเหวินเอ่ยขึ้นเสียงเคารพนบน้อม จากนั้นก็เอื้อมมือคว้าร่างซูเฉินขึ้นมา
ข่าเล่อเดินเข้ามาเช่นกัน หน้าตาหม่นหมองนัก “ข้าขออภัยด้วย ดูท่าน้องสาวเจ้าคิดสังหารเจ้าจริง ๆ เช่นนั้นก็ควรระวังให้มากสักหน่อย”
“พวกมันลงมือหลังจากอาหกจากไป ดูท่าจะอดรนทนรอไม่ไหวแล้ว” จูเซียนเหยาหน้าเคร่งขรึมมาก นางไม่คิดว่าจะมีหนที่ 2 ตามมา แต่ศัตรูดูจะไม่ยอมไว้ชีวิตนาง หากนางไม่ตายก็ไม่ยอมปล่อยไป
กระทั่งซูเฉินที่กำลังถูกจ้าวจิ่งเหวินพยุงร่างยังหน้าขรึม
การลอบสังหาร !
มันมีการลอบสังหารจริง ๆ!
มันมีการลอบสังหารบัดซบเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วย !
แล้วเขาก็ช่วยจูเซียนเหยาไว้ !
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?
ซูเฉินพลันรู้สึกมึนงง เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้ เขาคาดไม่ถึงเลย
จูเซียนเหยาเดินเข้ามา “เทียนหย่าง เป็นอะไรหรือไม่ ?”
ซูเฉินลูบท้ายทอยตนแล้วเผยยิ้มซื่อบื้อ “ข้าไม่เป็นไร ตัวข้าหนาจึงปลอดภัยดี บาดเจ็บที่ไหล่เล็กน้อยเท่านั้น”
พูดแล้วก็เปิดแขนอวบให้ดู เห็นเนื้อแหลกที่แขนเลือดโชกทีเดียว
แม้จะดูน่าตกใจมากก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลตื้น ๆ เท่านั้น
จูเซียนเหยาหยิบยาขึ้นมา “มันคือผงยามังกรหยก เจ้าไม่ต้องห่วง หากทายานี่แล้วก็จะหายดีแน่”
ว่าแล้วนางก็ก้มลงมาทายาให้ซูเฉินด้วยตนเอง
มือนางเรียวบาง ให้สัมผัสอ่อนโยนอบอุ่น ในตอนที่นางกำลังทายาให้นั้น ซูเฉินพลันรู้สึกว่าปากตนอ้าค้างขึ้นมา
แม้จะเพียงพริบตาเดียว ซูเฉินก็พยายามคงสีหน้านี้ไว้ เขารู้ว่าหากเป็นโหยวเทียนหย่างก็คงมีสีหน้ามากกว่านี้แน่
จูเซียนเหยาจ้อง ‘โหยวเทียนหย่าง’ ที่จ้องหน้านางจนเหม่อ ปากอ้ากว้างเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ แถมยังมีน้ำลายไหลออกมาเล็กน้อยด้วย……
ความรู้สึกดีที่มีต่อเขาจึงลดลงนิดหนึ่ง จูเซียนเหยาจ้องเขาแล้วยัดยาเข้ามือซูเฉิน “ทาเองแล้วกัน”
ซูเฉินรู้ว่าเขาแสดงมากไปหน่อย แต่ก็ตรงกับความตั้งใจพอดี
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่คิดอยากเข้าใกล้จูเซียนเหยา
ให้จูเซียนเหยาเห็นเขาเป็นตัวน่ารำคาญใจ ดีกว่าให้นางชอบเขามากนัก
แต่แม้จะอยากให้เป็นเช่นนั้น ความเป็นจริงกลับออกมาตรงกันข้าม