ภาคที่ 4 บทที่ 20 แก้แค้น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 20 แก้แค้น

จูเซียนเหยากำลังยืนอยู่ในห้อง เหม่อมองออกนอกหน้าต่าง พลันมีคนเคาะประตู

จูเซียนเหยาเอ่ย “เข้ามาได้”

ซูเฉินผลักประตูเปิดออก ในมือถือขวดยาไว้ “คือ…… ข้ามา…… คืนยาให้เจ้า” จากนั้นก็พูดติดอ่างแล้ววางยาไว้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ถอยออกไป

“หยุดเลยนะ !”

ซูเฉินหยุดฝีเท้า

จูเซียนเหยาหันมา “ข้าบอกแล้วหรือว่าไปได้ ?”

ซูเฉินเกาหัวไม่รู้เรื่องราว แกล้งทำเป็นไม่รู้จะพูดอะไรดี

จูเซียนเหยาจ้องเขาพลางเอ่ย “แต่ก่อนเจ้าได้เข้ามาเมื่อไหร่มีแต่จะอยู่ให้นานที่สุด แต่หลายวันมานี้เจ้าเปลี่ยนไปนัก ไม่ทำตัวติดกับข้า ทั้งยังทำตัวเหินห่างอีก ในเมื่อเจ้าประกาศว่าจะเผยด้านดีให้ข้าได้เห็น นี่น่ะหรือด้านที่เจ้าพยายามจะให้ข้าเห็น ?”

ซูเฉินตอบเสียงสงบ “ใช่แล้ว นี่ล่ะคือสิ่งที่ข้าอยากให้เห็น ตอนข้าตัวติดกับเจ้าดูเจ้าไม่ชอบใจนัก พอข้าคิดตกแล้ว ข้าจึงรู้ว่าคนแบบที่เจ้าชอบคือพวกวีรบุรุษที่สามารถสะเทือนสวรรค์ได้ ไม่ใช่คนอย่างข้าที่ไร้ความสามารถใด หากข้าอยากให้เจ้าชอบ ข้าก็ต้องหมั่นฝึกฝน ทำเรื่องสักอย่างให้สำเร็จ เจ้าจะได้มองข้าแตกต่างจากเดิม นั่นคือวิถีแห่งบุรุษที่แท้จริง ข้าบอกแล้วว่าข้าจะเปลี่ยน แล้วข้าก็พูดจริงจัง”

จูเซียนเหยายังจ้องซูเฉินเขม็ง “ที่เจ้าว่ามาก็ไม่ผิด แต่เจ้าเปลี่ยนไปเร็วนักจนข้าไม่ชิน ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน แล้วคน ๆ นี้ก็…… รู้สึกคุ้น ๆ เสียด้วย”

คุ้น ๆ?

ความทรงจำที่เจ้ามีเกี่ยวกับซูเฉินแทบจะถูกล้างไปสิ้นแล้ว ทำไมถึงยังรู้สึกคุ้น ๆ ได้เล่า ?

ซูเฉินไม่อาจเข้าใจได้

หากแต่เรื่องเช่นความทรงจำนั้นยากจะเข้าใจ แม้ซูเฉินจะมีวิชาล้างความทรงจำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าใจมันทั้งหมด เจ้าอาจล้างความทรงจำด้วยการฟาดศีรษะแรง ๆ สักทีก็ยังได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจว่ากลไกความทรงจำมันทำงานอย่างไรกันแน่

ซูเฉินตกใจกับคำจูเซียนเหยาอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังทำซื่อบื้อต่อ “ก็ไม่ได้เร็วขนาดนั้น ไม่แน่อาจเพราะเจ้าไม่ชินกับการได้เห็นคนที่มักจะเดินตามเจ้าไปไหนมาไหน จู่ ๆ กลับทำตัวเหินห่างออกไปกระมัง”

“แต่ถึงเจ้าจะบอกว่าเจ้ากำลังทิ้งระยะห่างกับข้า แต่พอถึงยามคับขัน เจ้าก็ยังเป็นคนช่วยข้าไว้”

“ข้าทำเช่นนั้นเพื่อฝึกตนให้แกร่งขึ้น และก็จะได้เป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าก่อน ตั้งแต่ต้นจนจบ ความรู้สึกของข้าก็ยังไม่เปลี่ยน …ที่ข้าช่วยเจ้าไว้มันแปลกนักหรือ ?” ซูเฉินตอบ

คำอธิบายของซูเฉินนั้นไร้จุดบกพร่อง กระทั่งตัวเขาเองยังเชื่อไป

จูเซียนเหยาหัวเราะ “เจ้าดีขึ้นเล็กน้อย กระทั่งท่าทางการพูดยังแตกต่างจากเมื่อก่อน”

“เช่นนั้นข้าก็ดีใจนัก นั่นหมายความว่าความพยายามของข้าประสบผลสำเร็จ” ซูเฉินตอบพร้อมยิ้มบาง

“ใช่ ประสบความสำเร็จมาก” จูเซียนเหยาพยักหน้า

“แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เจ้าตกหลุมรักข้าใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินจงใจถาม

จูเซียนเหยาส่ายหน้า ซูเฉินจงใจถอนหายใจเศร้า จากนั้นเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัว”

จูเซียนเหยาเอ่ยขึ้น “ถึงข้าจะยังไม่ตกหลุมรักเจ้า แต่เจ้าก็นับเป็นสหายที่ข้าเชื่อใจ หากต่อไปเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้”

หากโหยวเทียนหย่างตัวจริงได้ยินเข้าก็คงตื่นเต้นจนกระโดดตัวลอยแล้วกระมัง

ซูเฉินถูกบังคับให้ต้องทำหน้าตื่นเต้นยืนดีนั่น หลังครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เอ่ยขึ้น “ในเมื่อเราเป็นสหายที่เชื่อใจกันได้ ข้ามีคำถามที่ไม่มั่นใจว่าควรถามดีหรือไม่”

“ถามสิ หากข้าตอบได้จะตอบ”

“ทำไมเจ้าถึงสนใจความลับของขาปี่เอ๋อซือนัก ? แค่เพราะเรื่องเงินหรือ ?”

“เงิน ?” จูเซียนเหยาเผยรอยยิ้มเหยียด “ไม่มีใครรู้ว่าขาปี่เอ๋อซือทิ้งอะไรไว้กันแน่ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะมีค่าหรือไม่ด้วย หากมองในมุมคนทำการค้า ใช้แรงมากมายเพื่อลงทุนกับผลลัพธ์ที่ไม่รู้ค่า ทั้งยังอาจเสี่ยงล่วงเกินหัวหน้าเผ่า นับว่าโง่เง่านัก”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ซูเฉินกล่าว

หากแค่เพราะเรื่องเงิน จูเซียนเหยาก็ไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้

จูเซียนเหยาถอนใจ “เหตุผลที่ข้ายอมเสี่ยงไม่ใช่เพราะในคลังลับนั่นอาจมีของมีค่า แต่เป็นเพราะตัวขาปี่เอ๋อซือเองต่างหาก เขาเป็นหัวหน้าเผ่าวิญญาณ ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาโจมตีจิตมาก สิ่งที่เขาทิ้งไว้ก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต”

“เหยาเหยา เจ้าอยากได้วิชาโจมตีจิตเพิ่มหรือ ? เพื่อเสริมความแกร่งให้สายเลือดงั้นหรือ ?”

จูเซียนเหยาส่ายหน้า “สิ่งที่ขาปี่เอ๋อซือทิ้งไว้อาจช่วยทำให้วิชาลวงจิตสายเลือดข้าแกร่งขึ้นก็จริง แต่โอกาสมันน้อยมาก ฉะนั้นนั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักของข้า จริง ๆ แล้วเป็นเพราะ…… มีแต่วิชาประเภทจิตเท่านั้นที่จะช่วยให้ข้าเอาความทรงจำที่เสียไปกลับคืนมาได้”

ซูเฉินใจสะท้าน

จูเซียนเหยานัยน์ตาส่องประกายเข้ม “อาสิบเอ็ด จูเฉิน และเยี่ยนเหนียง…… พวกเขาล้วนตายไปแล้ว นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลวงที่สุดที่ข้าเคยประสบ และยิ่งไม่รู้ว่าตนเองแพ้เพราะอะไรมันก็ยิ่งทรมาน ! ที่ข้าเสียความทรงจำไปเป็นเพราะซูเฉินใช้หนึ่งในวิชาลับตระกูลจูของข้า !”

เช่นนั้นนางก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ล้างความทรงจำของนาง ซูเฉินคิดในใจ

แต่เห็นได้ชัดว่านางยังไม่รู้ว่าความทรงจำนั่นคืออะไร

ดังนั้นนางจึงรู้ว่าซูเฉินโกหกนาง แต่ไม่รู้ว่าโกหกเรื่องอะไร

“วิชาลับวิชาลับตระกูลจู ?” ซูเฉินทำทีเป็นตกใจ

“ใช่แล้ว วิชาลับตระกูลจู ข้าไม่ได้เสียความทรงจำเพราะบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะซูเฉิน !” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงโกรธ “แต่ข้าบอกใครไม่ได้”

“เพราะอะไร ?” ซูเฉินถาม ทันทีที่โพล่งคำถามออกไป เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่โง่มาก

แต่จูเซียนเหยาก็ตอบ “หากข้าบอกใคร ก็จะหมายความว่าข้าเคยตกอยู่ในกำมือศัตรู กระทั่งให้ความร่วมมือกับศัตรูด้วย ข้าเป็นคนที่ช่วยเขาหลอกลวงตระกูล ทั้งยังบอกวิชาลับของตระกูลแก่เขา และก็เป็นเพราะข้าที่ทำให้ตระกูลกับอารามนิรันดร์ต้องมีปัญหากัน……”

นางจ้องซูเฉิน “เจ้ารู้ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร ?”

“หมายความว่าเจ้าทำผิดครั้งใหญ่ ต้องถูกลงโทษอย่างหนักโดยตระกูล กระทั่งฐานะผู้สืบทอดก็อาจรักษาไว้ไม่ได้” ซูเฉินตอบเสียงจนใจ มันเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้นานแล้ว

และแม้จูเซียนเหยาจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่นางก็พอเดาได้หลังจากที่รู้ว่าตนถูกซูเฉินหลอก

นัยน์ตาจูเซียนเหยาเต็มไปด้วยน้ำตา “ใช่แล้ว ดังนั้นข้าจึงพูดอะไรไม่ได้เลย”

“แต่หากเป็นเช่นนั้น แล้วเจ้าจะหามันไปเพื่ออะไร ? เจ้าเดาคำตอบได้แล้ว ถึงเจ้าค้นหาต่อไป เรื่องที่พบก็ได้แต่ยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันจะไปได้อะไร ?” ซูเฉินอดถามไม่ได้

ความเป็นจริงไม่ได้ต่างจากสิ่งที่จูเซียนเหยาคิดไว้มากนัก แม้นางจะจำขึ้นมาได้จริง แต่ก็จะเป็นเพียงเสริมส่วนที่ขาดหายไปเล็กน้อยเท่านั้น

จูเซียนเหยาตอบเสียงกระชาก “ข้าย่อมต้องตามหา ! นี่เป็นความอับอายสาหัสที่สุดเท่าที่ข้าเคยเผชิญ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเอาความทรงจำกลับมาให้ได้ มีแต่เอามันกลับมาเท่านั้นข้าถึงจะรู้ว่าซูเฉินทำอะไรกับข้า มีความลับมีจุดอ่อนอะไรบ้าง แล้วก็มีแผนอะไร ถึงตอนนั้น…… ข้าถึงจะแก้แค้นได้ !”