ภาคที่ 4 บทที่ 21 โทสะ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 21 โทสะ

กล่าวได้ว่าจูเซียนเหยามีกระบวนความคิดถูกต้องทีเดียว

หลังจากได้รู้จักกับจูเซียนเหยาชั่วระยะหนึ่ง ซูเฉินก็ไม่คิดมีความลับกับนาง เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องล้างความจำนางทิ้ง

ทั้งเรื่องบ้าน คนรัก ความฝัน แผนการ ลักษณะนิสัย สหายทั้งหลาย และเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญและไม่เชี่ยวชาญ……

แม้จะไม่ได้บอกไปตรง ๆ แต่ซูเฉินก็ไม่ได้คิดปิดบัง ดังนั้นนางจึงรู้เรื่องเขาอยู่มากจริง ๆ

จูเซียนเหยาในตอนนี้ ด้วยมันสมองและสภาวะอารมณ์ของนาง นัยว่าเป็นภัยต่อเขาหากนางจำขึ้นมาได้จริง ๆ

เป็นจุดประสงค์นี้ที่จูเซียนเหยาเดินทางท่องไปทั่วในสิบปีมานี้ เพื่อจะหาสิ่งที่จะคืนความทรงจำนางได้ เคราะห์ร้ายที่ไม่มีอะไรใช้ได้ผลสักอย่าง

และเมื่อจูเซียนเหยารู้ว่าคลังลับของขาปี่เอ๋อซืออยู่ที่นี่ นางจึงรีบมา ด้วยมันเป็นอีกหนึ่งความหวังให้ฟื้นความทรงจำของนาง

ตอนนี้ซูเฉินเข้าใจแผนการทั้งหมดของจูเซียนเหยาแล้ว

เขาเอ่ย “เช่นนี้นี่เอง…. จะว่าไป แล้วเจ้ารู้แผนทั้งหมดของซูเฉินได้อย่างไร ?”

จูเซียนเหยาจึงเผยแผนสำรองที่นางวางไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน

เมื่อซูเฉินรู้ว่าแผนทั้งหมดถูกผู้สังเกตการณ์ลับทำลายสิ้น เขาก็ได้แต่ถอนใจไร้หนทาง

หากแต่เบื้องหน้าก็ทำทีเป็นไม่พอใจออกมาเต็มที่ “เหยาเหยา เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าย่อมช่วยเจ้าตามหามันแล้วอัดมันให้เละแน่”

ความรู้สึกที่ได้สบถด่าตนเองเช่นนี้ เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจริง ๆ

จูเซียนเหยาว่า “เทียนหย่าง เจ้าอยากรู้อะไรข้าบอกไปหมดแล้ว รู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร ?”

“รู้ !” ซูเฉินเอ่ยเสียงตื่นเต้น “หมายความว่าในที่สุดเหยาเหยาก็เชื่อใจข้าสักที !”

จูเซียนเหยายิ้มบาง “เจ้าเข้าใจก็ดี ภารกิจในตอนนี้คือการหาคลังสมบัติลับแล้วคืนความจำที่หายไปให้ข้า ทุกอย่างฝากไว้ที่เจ้าแล้ว”

“อืม !” ซูเฉินพยักหน้าตื่นเต้น

“เจ้าไปเถอะ”

ซูเฉินจึงบอกลาแล้วจากมา

จูเซียนเหยานัยน์ตาส้องประกายยามมองซูเฉินจากไป ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

——————————

เมื่อกลับถึงห้อง สีหน้าตื่นเต้นของซูเฉินก็จางลง

เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดออกมา “เหล่าฉือ”

“ข้าอยู่นี่”

“จูเซียนเหยาเริ่มสงสัยข้าแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้น ?” ฉือหมิงเฟิงเสียงดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“มีคนลอบสังหารจูเซียนเหยา……” ซูเฉินอธิบายเรื่องโดยคร่าว แต่ไม่ได้บอกว่าจูเซียนเหยาพยายามหาความทรงจำตนเองอยู่ ก็เหมือนกับที่นางไม่อยากให้ตระกูลรู้ว่าตนได้ทำเรื่องที่ทำให้ตระกูลเสียประโยชน์ ซูเฉินก็ไม่อยากให้อารามนิรันดร์รู้ว่าที่นางมาปรากฏตัวที่นี่เป็นเพราะเขาเช่นกัน

หากแต่เรื่องที่นางสงสัยเขานั้นเขามั่นใจ ไม่ว่านางจะมีท่าทีจริงใจเท่าไหร่ ซูเฉินก็รู้ว่านางมีแผน

เป็นเพราะนางสงสัยเขา นางจึงทำทีเป็นจริงใจ

เมื่อได้ยินว่าซูเฉินช่วยชีวิตจูเซียนเหยาไว้ ฉือหมิงเฟิงก็แทบร้องลั่น “ท่านช่วยนางไว้ !? สมองบัดซบท่านมีปัญหาหรืออย่างไรกัน ?”

ปรมาจารย์หยาดพิรุณแห่งซีหยวนมักกระทำการด้วยความใจเย็น เอ่ยคำสม่ำเสมอ เห็นได้ชัดว่าซูเฉินทำเขาหัวเสียมากจนเขาถึงกับต้องสบถออกมาเช่นนี้

ซึ่งก็น่าโมโหมากจริง ๆ หากจูเซียนเหยาตายไปเสีย เรื่องราวก็คงง่ายขึ้นมาก

หากแต่ซูเฉินกลับช่วยนางไว้ ทั้งยังทำให้นางสงสัยขึ้นมา นับเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก

ซูเฉินตอบ “ท่านไม่เข้าใจ สถานการณ์ในปราสาทไหลน่าตะวันตกซับซ้อนกว่าที่เราคิดนัก ข้าอยู่กับพวกเขาตลอด ค้นปราสาทกับพวกเขาจนทั่ว แต่ไม่พบเบาะแสเรื่องเผ่าวิญญาณเลย”

“ก็เพราะพวกเขาเตรียมตัวมาไม่พออย่างไรเล่า”

“ไม่ต่างหรอก แม้จะมียาวิญญาณกระจ่างก็ไม่ต่าง ข้าลองมันแล้ว แต่ก็ไม่เห็นสัมผัสการตอบสนองวิญญาณเลยสักนิด ยาไม่กี่ขวดแก้ปัญหาไม่ได้หรอก ตอนนี้เราทำได้แต่รอให้จูไป๋อวี่กลับมาพร้อมกับของที่จะช่วยเพิ่มพลังจิตได้ จากนั้นจะใช้วิธีที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่มีร่างเป็นวิญญาณเท่านั้นที่จะใช้ได้เพื่อตามหาสมบัติ นั่นน่าจะเป็นทางออก แต่ก่อนหน้านั้นจูเซียนเหยาจะตายไม่ได้ !”

“ท่านกำลังหาข้ออ้างใช่หรือไม่ ?” ฉือหมิงเฟิงไม่ถูกหลอกโดยง่าย

ซูเฉินคิดชั่วครู่ ก่อนตอบ “ใช่แล้ว ข้ายอมรับว่าข้าเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ข้าทำให้นางตกอยู่ในอันตราย แม้จะเพื่อปกป้องตนเอง แต่หากเป็นไปได้ข้าก็อยากช่วยนางสักนิดบ้าง พี่ฉือ ข้ารู้ดีว่าตนเองทำอะไรอยู่ เรื่องมโนธรรมส่วนตนข้าจัดการเอง แต่จะไม่ปล่อยให้ตนเองเดือดร้อนแน่ จูเซียนเหยามีชีวิตอยู่จะเป็นประโยชน์ต่อเรานั่นคือเรื่องจริง !”

“แต่ตอนนี้นางสงสัยท่านแล้ว”

“เป็นเพียงสัญญาณแรกเท่านั้น”

“ก็ได้ ซูเฉิน แต่ท่านอย่าเล่นเช่นนี้อีก ! ท่านโกหกเก่ง น่าจะรู้ว่าเมื่อเริ่มสงสัยแล้วก็จะไม่มีสัญญาณแรกไรนั่นอีกต่อไป !”

การจะสงสัยตัวใครสักคนไม่มีคำว่าสงสัยเพียงส่วนหนึ่ง

มันไม่เหมือนกับพละกำลังที่สามารถใช้ตัวเลขมาแทนค่าได้ ความสงสัยมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นโดยเร็ว และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่สุด

เมื่อไม่ได้สงสัย ไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำอะไรย่อมไม่รู้สึกประหลาดใจ

แต่เมื่อเริ่มสงสัยแล้ว อะไรที่ผิดปกติจะโดดเด่นขึ้นมา ยิ่งทำให้ยืนยันความสงสัยเร็วขึ้น

ซึ่งมันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเร็วมาก

จูเซียนเหยาใช้เวลาเพียงสิบวันเท่านั้นจึงเริ่มสงสัยเขา

แต่นางอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองวันเพื่อทำให้มั่นใจในเรื่องที่สงสัย

“ข้าจะหาทางรับมือเอง”

“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด” ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงโกรธ

เขาจึงตัดการติดต่อไป เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

เขาเริ่มนวดขมับแล้วนั่งครุ่นคิด

“เห็นหรือไม่ ? สุดท้ายก็มีแต่จะนำปัญหามาให้ !” ข่งเฉิงหัวเราะเสียงเย็นอยู่ข้าง ๆ

ซูเฉินตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาย่อมยินดีปรีดา

“เจ้า หุบปากเสีย !” ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงโกรธ “หากเจ้าไม่คิดช่วยก็ไสหัวไป อย่างน้อยซูเฉินก็พยายามบรรเทาสถานการณ์ ส่วนเจ้ามีแต่จะขัดขวาง”

“จะบอกว่าข้าเป็นตัวน่ารำคาญหรือ ?” ข่งเฉิงขุ่นใจ

ฉือหมิงเฟิงเวื้อมือขึ้นคว้าคออีกฝ่ายไว้ ก่อนจะกำมือแน่นจนไม่อาจเขยื้อนกายได้

ฉีเซินอวิ๋นกำลังจะเข้ามาแทรก ฉือหมิงเฟิงก็พูดขึ้น “อย่าลงมืออะไรจะดีกว่า !”

ว่าแล้วก็กระแทกร่างข่งเฉิงกับกำแพง “จำไว้นะเจ้าโง่ เจ้ามันไม่มีดีอะไรเลย ข้าทนเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าพี่เขยเจ้า แต่ข้าไม่ได้กลัวเจ้า หากเจ้าคิดทำให้ข้าเดือดร้อน เจ้าจะได้ลิ้มรสว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างไร !”

พูดจบก็ซัดแรงเข้าไปอีกจนร่างข่งเฉิงทะลุเข้าไปในกำแพง น่าแปลกที่กำแพงไม่ถล่มลงมา ทว่าร่างข่งเฉิงนั้นติดอยู่บนกำแพงเช่นนั้นราวกับเป็นงานศิลป์ชิ้นหนึ่งก็มิปาน

——————————

2 เค่อถัดมา

“เขากล้าทำกับข้าเช่นนี้ ! กล้าดีอย่างไรกัน !?” ข่งเฉิงถูลำคอตนเอง เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องตนเองด้วยความโมโห

ฉือหมิงเฟิงโจมตีเขาเมื่อครู่ทำให้กระดูกสันหลังเขาถึงกับร้าว แม้เขาจะแกร่งอยู่บ้างจึงไม่ถึงชีวิต แต่ก็ยังเป็นแผลหนัก ใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย

ฉีเซินอวิ๋นยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ

“แล้วเจ้าก็เอาแต่ยืนดูข้าอยู่เช่นนั้นน่ะหรือ ?” ข่งเฉิงยังส่งเสียงร้องลั่น

“เขาไม่ได้คิดจะฆ่าท่าน” ฉีเซินอวิ๋นตอบ

ได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายใน

เขาไม่ได้ถอนหายใจเพราะข่งเฉิง แต่เป็นเพราะอันซื่อลี่

อันซื่อลี่แก่แล้ว

แม้จะทรงพลังมาก แต่ก็ยังแก่ตัวลงทุกวัน

และเมื่อคนเราแก่ตัวลง ความนึกคิดก็จะไม่กระจ่างดังเดิม

หากเขาแค่รักใคร่นางบำเรอข้างถนนพวกนั้นยังไม่นับเป็นอะไร แต่กลับดึงเอาน้องชายไร้ประโยชน์ของนางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

คนผู้หนึ่งใช้เส้นสายดึงคนในครอบครัวมาไว้ในตำแหน่งสำคัญยังไม่เป็นปัญหา แต่หากเอาคนในครอบครัวที่ไร้ความสามารถมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญนั้นกลับกัน ด้วยนั่นนับเป็นปัญหาใหญ่มาก

ซึ่งคนที่ว่า มันก็คือเรื่องข่งเฉิงนั่นเอง !

คนผู้นี้ไร้ทั้งสมองและความเข้าใจ มาถึงจุดนี้ได้เพราะพี่ตนทั้งสิ้น แต่ตนเองกลับทำท่าราวกับตนน่าชื่นชมเสียเต็มประดา……

ฉีเซินอวิ๋นได้แต่หวังว่าฉือหมิงเฟิงสั่งสอนข่งเฉิงเช่นนี้จะทำให้เขาสงบลงบ้าง แต่ดูท่าฉือหมิงเฟิงจะทำไม่สำเร็จ

ข่งเฉิงโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก

เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าน้อยเฝิงซีหั่วพร้อมรับคำสั่ง”

ข่งเฉิงตาเป็นประกาย “มาสักทีนะ !”