บทที่ 795 : เปิดเผย!
หากจะอธิบายรูปลักษณ์ของเหลียงเฟิงอี้ด้วยคำเพียงหนึ่งคำก็เห็นจะไม่มีคำใหนเหมาะสมเท่ากับคำว่า.. มีเสน่ห์!
แต่นั่นก็ไม่ใช่คุณลักษณะของเหลียงเฟิงอี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นความมีเสน่ห์นี้ยังเป็นคุณลักษณะของพี่สาวอย่างเหลียงเฟิ่งจินอีกด้วย..
แต่เสน่ห์ของทั้งคู่นั้นก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้างเหลียงเฟิ่งจินนั้นเป็นนักเปียโนของคณะดนตรีประจำมณฑล เสน่ห์ของเธอจึงอยู่ที่ความสง่าเรียบหรูที่ผู้คนทำได้แค่มอง แต่ไม่อาจเข้าใกล้ได้..
ส่วนเหลียงเฟิงอี้นั้นเป็นศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลประจำมณฑลเสน่ห์ของเธอจึงเกิดจากความเป็นมิตรที่ไม่ต่างจากแม่เหล็กแรงสูงที่ดึงดูดผู้คนรอบตัวได้อย่างง่ายดาย..
ช่วงแขนที่ขาวราวหิมะและนิ้วมือเรียวยาวสวยงามของทั้งคู่นั้น หากหญิงสาวทั้งสองคนเปลี่ยนจากอาชีพที่ทำอยู่นั้นมาเป็นนางแบบมือแล้วล่ะก็ รายได้ของคนทั้งคู่คงต้องสูงกว่านางแบบมือทั่วไปอย่างแน่นอน
วันนี้เหลียงเฟิงอี้ได้เปลี่ยนทรงผมจากที่เคยเกล้ามวยดูสวยสง่าแบบผู้ใหญ่มาเป็นปล่อยผมยาวสยายประบ่า ทำให้ดูสวยงามและดึงดูดสายตาชายหนุ่มน้อยใหญ่ที่อยู่ภายในสนามบินเป็นอย่างมาก
เหลียงเฟิงอี้สวมชุดกระโปรงแซกแขนกุดสีแดงเพลิงสั้นแนบลำตัวเผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้า ต้นแขน และเรียวขาที่งดงาม
หลิงหยุนจ้องมองเรือนร่างที่เย้ายวนของเหลียงเฟิงอี้พร้อมกับเลือดในกายที่พลุ่งพล่านและต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงที่จะไม่ใช้เนตรหยิน-หยางสำรวจเรื่องร่างของเธอ
เอื๊อก..
ในเวลาเดียวกันนั้นเองเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก็ดังขึ้นข้างๆตัวหลิงหยุน เขาจึงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูทันที และพบว่าถังเมิ่งกำลังยืนตัวแข็งพร้อมกับลูกกระเดือกในลำคอกำลังขยับขึ้นลงไม่หยุด เลือดกำเดาแทบไหลพุ่งออกจากจมูก
“โอ๊ย..ใครเตะก้นฉัน!” ถังเมิ่งร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และรีบยกมือปิดก้นตัวเองทันที
“เฉินเฉิน..”
“ฉางหลิง..”
ฉางหลิงร้องเรียกเกาเฉินเฉินพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปหาเธอทันทีและเวลานี้เพื่อนสนิททั้งสองคนต่างก็กอดกันกลมอยู่กลางสนามบิน..
“เฉินเฉิน..ฉันเป็นห่วงเธอแทบตายแน่ะ!”
“ฉางหลิง..ฉันเองก็คิดถึงเธอมากเหมือนกัน!”
เกาเฉินเฉินกอดกันแน่นพร้อมกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจต่างฝ่ายต่างก็ระบายความรู้สึกคิดถึงกันอย่างมีความสุข..
“ครูกง..”
หลังจากที่เพื่อนสนิทกอดกันจนหายคิดถึงแล้วฉางหลิงก็ปล่อยมือจากเกาเฉินเฉิน และวิ่งเข้าไปหาอ้อมแขนที่อบอุ่นของกงเสี่ยวลู่
“ฉางหลิง..ครูขอแสดงความยินดีด้วย! เธอทำคะแนนสอบเอนทรานซ์ได้ดีมากทีเดียว ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจได้แล้วสินะ!”
กงเสี่ยวลู่ยิ้มพร้อมกับพูดให้กำลังใจฉางหลิง..
หลิงหยุนได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออกเมื่อเห็นฉางหลิงโผเข้าสู่อ้อมกอดของกงเสี่ยวลู่โดยไม่สนใจตนเอง..
แต่ระหว่างนั้นทั้งฉางหลิงและเกาเฉินเฉินที่ยืนกอดกงเสี่ยวลู่พร้อมกับเอียงศรีษะซบไหล่เธออยู่นั้น ต่างก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาลึกซึ้ง
“สวัสดีจ้าเฉินเฉิน..”
เหลียงเฟิงอี้ที่เดินโปรยยิ้มออกมาพร้อมฉางหลิงนั้นเอ่ยทักทายเกาเฉินเฉินโดยไม่สนใจหลิงหยุนกับถังเมิ่งเลยแม้แต่น้อย
“สวัสดีค่ะคุณน้า!”
ทั้งเกาเฉินเฉินและฉางหลิงต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกันมานานถึงสามปีเกาเฉินเฉินจึงดูสนิทสนมกับเหลียงเฟิงอี้มากพอควร
จากนั้นเหลียงเฟิงอี้ก็หันไปทักทายกงเสี่ยวลู่ที่ยืนอยู่..หญิงสาวทั้งสองคนต่างก็จ้องมองกันและกันด้วยแววตาชื่นชม..
“วันนี้ครูกงสวยมากเลยทีเดียว..”
“คุณหมอเหลียงก็สวยมากเหมือนกันค่ะ..”
ทั้งคู่ต่างก็เคยพบเจอกันในวันเปิดคลินิกของหลิงหยุนมาก่อนแล้วหลังจากจับมือทักทายกับกงเสี่ยวลู่แล้ว ในที่สุดเหลียงเฟิงอี้ก็หันไปมองหลิงหยุน ดวงตาสวยงามของเธอนั้นจ้องมองหลิงหยุนด้วยความโมโห และตำหนิ..
“หลิงหยุน..เธอทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ตั้งแต่สอบเอนทรานซ์เสร็จก็หายหน้าหายตา ไม่ไปเยี่ยมเยียนฉางหลิงบ้างเลย นี่นายเป็นแฟนแบบใหนกัน?”
………
กงเสี่ยวลู่ถึงกับตกตะลึง..
เกาเฉินเฉินเองก็ถึงกับอึ้งไปและใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว ส่วนถังเมิ่งก็ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก!
ไม่มีใครคาดคิดว่าเหลียงเฟิงอี้จะโพล่งเรื่องนี้ออกมาทันทีที่ได้พบหน้าหลิงหยุนทุกคนจึงได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก..
“น้าหญิง..นี่น้าพูดอะไรออกมา”
ฉางหลิงได้ฟังถึงกับกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูกและรู้ว่สถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว เธอจึงรีบปล่อยแขนเกาเฉินเฉินพร้อมกับทำท่าทางคล้ายจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้..
เหลียงเฟิงอี้พูดไม่ผิด..หลังจากที่หลิงหยุนและฉางหลิงจูบกันกลางทะเลสาปจิงฉูในคืนนั้น ทั้งเหลียงเฟิงอี้และแม่ของเธอจึงได้ล่วงรู้ว่าทั้งคู่นั้นรักกัน..
และเป็นไปแทบไม่ได้เลยที่จะให้ฉางหลิงถอนตัวจากหลิงหยุนแล้วเป็นฝ่ายเดินถอยออกมา แต่ถึงกระนั้นเวลาเช่นนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเธอกับหลิงหยุน..
“เงียบเถอะค่ะ!นี่น้ากำลังทำอะไร.. รู้ตัวมั๊ย”
ฉางหลิงดิ้นรนตามหลิงหยุนมาถึงปักกิ่งเธอในฐานะน้าสาวจะไม่สามารถพูดอะไรได้เชียวหรือ
“เธอนั่นล่ะเงียบ!ดิ้นรนจะตามแฟนมาปักกิ่งให้ได้แบบนี้ น้าจะพูดอะไรบ้างไม่ได้หรือยังไง วันๆก็เอาแต่พูดถึงหลิงหยุน น้าฟังจนหูชาไปหมดแล้ว..”
เมื่อถูกฉางหลิงห้ามเหลียงเฟิงอี้จึงยิ่มพล่ามออกมาหมด..
วันนี้เป็นวันที่พ่อแม่ของฉางหลิงไปหย่าร้างกัน..แม้ฉางหลิงจะไม่รู้ แต่มีหรือที่เหลียงเฟิงอี้ซึ่งเป็นน้องสาวของเหลียงเฟิ่งจินจะไม่รู้เรื่องนี้
เหลียงเฟิงอี้นั้นรักฉางหลิงไม่น้อยไปกว่าแม่แท้ๆของเธอการที่เหลียงเฟิ่งจินตัดสินใจหย่าร้างนั้น แม้ตัวเธอเองจะรู้สึกโล่งอก แต่ก็อดโมโหไม่ได้ที่ต้องเห็นครอบครัวของพี่สาวแตกแยก และฉางหลิงก็ต้องกลายมาเป็นลูกกำพร้าพ่อเช่นนี้ อีกทั้งฉางหลิงก็ยังมาหลงรักหลิงหยุนซึ่งทำเหมือนฉางหลิงไม่มีค่าแบบนี้ มีหรือที่เหลียงเฟิงอี้จะอดทนอดกลั้นต่อไปได้อีก และทันทีที่พบหน้าหลิงหยุน เธอก็พูดจาตำหนิหลิงหยุนทันที!
ความสัมพันธ์ของเกาเฉินเฉินและหลิงหยุนนั้นเหลียงเฟิงอี้เองก็รู้ดีเธอจึงไม่ต้องการให้หลานสาวคนสนิทต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับพี่สาวของเธอ!
แม้เหลียงเฟิงอี้จะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งและเก่งกาจของหลิงหยุนดีและรู้เรื่องที่มีหญิงสาวมากมายตกหลุมรักเขา แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่เธอเองก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า เหตุใดหญิงสาวเหล่านั้นยังคงภูมิอกภูมิใจที่จะได้บอกกับใครๆว่าเธอเป็นแฟนของหลิงหยุน! แม้กระทั่งตัวฉางหลิงเองก็เช่นกัน..
การที่เหลียงเฟิงอี้ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้หลิงหยุนเห็นความสำคัญของฉางหลิงบ้าง.. ก็เท่านั้นเอง!
ฉางหลิงเองก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออกและทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่เหลือบมองหลิงหยุนด้วยแววตาตระหนกตกใจ ก่อนจะหันกลับไปมองเกาเฉินเฉินด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ..
เกาเฉินเฉินกัดริมฝีปากล่างแน่นจนแทบห้อเลือดและเธอก็กำลังสับสนจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เช่นกัน!
‘ฉางหลิงเป็นแฟนหลิงหยุนอย่างงั้นเหรอ!นี่มัน..’
กงเสี่ยวลู่ได้แต่นึกสับสนอยู่ในใจและเมื่อค่อยๆปะติดประต่อเรื่องราวได้ เธอก็หันไปมองหน้าหลิงหยุนทันที..
‘เจ้าเด็กวายร้าย..กล้ารังแกครู แล้วก็ยังไม่บอกให้ครูสักนิดว่ามีเพื่อนในห้องเป็นแฟนถึงสองคน..’
เวลานี้หญิงสาวทั้งสี่คนกำลังยืนรอให้หลิงหยุนพูดอะไรออกมาทุกคนต่างก็จ้องมองหลิงหยุนราวกับว่าเขาเป็นนักโทษคดีอาชญากรรมอย่างไรอย่างนั้น..
แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว..หลิงหยุนก็กลับมาอยู่ในท่าทีที่สงบนิ่งเช่นเคย เขายังคงนิ่งเฉย ก่อนจะหันไปพูดกับเหลียงเฟิงอี้ช้าๆ
“ใครบอกล่ะว่าผมไม่ใส่ใจฉางหลิงเราสองคนเข้าใจกันดี”
หลังจากตอบเหลียงเฟิงอี้ไปแล้วหลิงหยุนก็ก้าวเท้าเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าฉางหลิงพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ จากนั้นจึงเอื้อมมือขวาออกไปโอบเอวฉางหลิงดึงร่างของเธอเข้ามาในอ้อมแขน แล้วจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน
ในเวลาเดียวกันนั้นมือซ้ายของหลิงหยุนก็เอื้อมออกไปโอบเอวเกาเฉินเฉินไว้อีกข้าง และดึงร่างของเธอเข้ามาในอ้อมแขนเช่นกัน
หลิงหยุนโอบร่างของเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงไว้คนละข้างแล้วพูดขึ้นว่า..
“เอาล่ะ..ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนเดินโอบร่างสองสาวออกไปโดยไม่สนใจฉางหลิงที่ดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนแล้วเดินนำทุกคนออกไปด้านนอก
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่รู้ร้อนรู้หนายเช่นนี้ของหลิงหยุนกงเสี่ยวลู่ก็ถึงกับอึ้งไป แม้แต่ถังเมิ่งเองก็เช่นกัน!
และแทบไม่ต้องพูดถึงเหลียงเฟิงอี้!
บทที่ 796 : เอาคืน!
“เจ้าเด็กตัวแสบนี่..ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักเหนือความคาดหมายทุกครั้งเชียว!”
เหลียงเฟิงอี้พึมพำออกมาอย่างตกตะลึงหลังจากที่ได้เห็นการกระทำที่ห้าวหาญของหลิงหยุนก่อนจะรีบวิ่งตามหลิงหยุนออกจากสนามบิน..
หลิงหยุนไม่เพียงไม่ปฏิเสธฉางหลิงแต่กลับตอบคำถามของเธอด้วยการกระทำ ทำให้เหลียงเฟิงอี้พอใจอย่างมาก
กงเสี่ยวลู่เองก็ถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกกับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของหลิงหยุนแต่เธอทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร..
เธอได้แต่มองหลิงหยุนเดินโอบสองสาวนำหน้าออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ..และทั้งสามคนนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของเธอทั้งสิ้น และได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า
“เฮ้อ..หรือเราจะสอนนักเรียนไม่ดีนะ.. แต่ยังไงพวกเขาก็จบกันหมดแล้ว คงหมดหน้าที่ของเราแล้วล่ะ..”
กงเสี่ยวลู่ตำหนิตัวเองแล้วก็หาเหตุผลให้ตัวเองพ้นผิด ก่อนจะวิ่งตามหลิงหยุนไปเช่นกัน
“พี่หยุนนะพี่หยุน..ถังเมิ่ง นายต้องดูพี่หยุนเป็นตัวอย่าง แล้วก็เดินเจริญรอยตามเขาให้ได้ล่ะ..” ระหว่างที่เดินออกไป ถังเมิ่งก็รำพึงรำพันกับตัวเอง
เมื่อไปถึงที่รถแลนด์โรเวอร์..
“หลิงหยุน..ปล่อยฉันได้แล้ว”
เกาเฉินเฉินหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายและกำลังดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุน
แต่สำหรับฉางหลิงนั้นเพียงแค่มีแรงเดินมาไม่เป็นลมล้มตึงลงไป ก็นับว่าเป็นปาฏิหารย์สำหรับเธอแล้ว..
“ปล่อยงั้นเหรอขืนผมปล่อยคุณก็หนีไปน่ะสิ!”
หลิงหยุนจงใจหัวเราะเสียงดังอย่างไม่รู้จักอับอายที่นี่เป็นที่รโหฐานมีผู้คนอยู่มากมาย หากอยากจะจู๋จี๋กันก็ควรเข้าไปนั่งในรถให้เรียบร้อย..
ถังเมิ่งเองก็รีบเปิดประตูรถแลนด์โรเวอร์ให้หลิงหยุนทันที..
หลิงหยุนรีบดันร่างของเกาเฉินเฉินขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังก่อนจากนั้นจึงค่อยดันร่างของฉางหลิงซึ่งยืนหน้าแดงอยู่ในอ้อมแขนของเขาเข้าไป พร้อมกับร้องบอกสองสาวว่า..
“พวกคุณสองคนต้องนั่งด้วยกัน!”
หลิงหยุนรู้ว่าทั้งสองสาวคงมีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันมากมายจากนั้นตัวเขาเองก็ตามขึ้นไปนั่งข้างฉางหลิง..
กงเสี่ยวลู่กับเหลียงเฟิงอี้ก็ตามมาถึงที่รถในเวลาอันรวดเร็วแต่เมื่อเห็นนักเรียนทั้งสามคนของเธอนั่งอยู่เบาะหลังด้วยกัน เธอก็รู้สึกเขินอายเกินกว่าที่จะไปนั่งด้านหลังด้วยได้ จึงรีบเปิดประตูข้างคนขับ แล้วขึ้นไปนั่งข้างถังเมิ่งทันที
รถแลนด์โรเวอร์นั้นค่อนข้างกว้างขวางใหญ่โตแม้ด้านหลังจะมีคนนั่งอยู่แล้วถึงสามคน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากจะเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“วันนี้ปักกิ่งร้อนมากจริงๆ!”
เหลียงเฟิงอี้ที่วิ่งถือกระเป๋าบังแดดร้อนระอุไว้บนศรีษะนั้นเมื่อมาถึงที่รถก็รีบเปิดประตูหลังออก แล้วมุดหน้าเข้าไปทันที
“อ้าว..พ่อเด็กตัวแสบ! เธอมานั่งตรงนี้ได้ยังไง”
เหลียงเฟิงอี้จ้องมองหลิงหยุนที่นั่งอยู่ริมสุดพร้อมกับร้องถามออกมาทันที..
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก..แต่แล้วก็ยักไหล่พร้อมกับหันไปมองรอบๆภายในรถแทนคำตอบว่า.. ที่นั่งเต็มหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เขานั่งตรงนี้ จะให้เขาไปนั่งตรงใหนงั้นหรือ
หลิงหยุนได้แต่นึกขันเขามองเหลียงเฟิงอี้ด้วยแววตาที่ชวนโมโห พร้อมกับนึกในใจว่า.. ถ้ากอยากจะนั่งก็นั่ง แต่ถ้าไม่อยากจะนั่งก็เชิญเรียกแท็กซี่ไปเอง..
เหลียงเฟิงอี้เห็นสีหน้าแววตาที่ยะโสโอหังและชวนโมโหของหลิงหยุนแล้ว ก็ได้แต่โกรธเกรี้ยวพร้อมกับคิดในใจว่า เธอเกิดมาจนอายุเท่านี้ และเป็นถึงศัลยแพทย์ ยังไม่เคยพบเจอใครที่กล้าท้าทายเธอเช่นนี้มาก่อนเลย..
เหลียงเฟิงอี้ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจแล้วจึงร้องบอกหลิงหยุนเสียงห้วน “ถ้างั้นเธอก็ขยับเข้าไป..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับทำท่าขยับตัวแต่ดูเหมือนไม่เพียงร่างของหลิงหยุนจะไม่กระเถิบเข้าไปด้านใน แต่ที่พื้นที่สำหรับเหลียงเฟิงอี้กลับเล็กลงกว่าเมื่อครู่เสียอีก
หลิงหยุนแอบคิดว่า‘เจ้ากล้าทำให้ข้าตกที่นั่งลำบาก เจ้าก็ต้องตกที่นั่งลำบากเช่นกัน!’
“นี่เธอ!”
ดวงตากลมโตของเหลียงเฟิงอี้ดูโมโหและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนจงใจเหลือที่นั่งที่สามารถนั่งได้เพียงแค่ครึ่งก้นไว้ให้เธอเท่านั้น!
หากเหลียงเฟิงอี้ต้องการนั่งก็ต้องนั่งเบียดชนิดที่ก้นของเธอครึ่งหนึ่งอยู่บนตักของหลิงหยุน..
วันนี้เหลียงเฟิงอี้สวมชุดแซกสั้นและหากเธอนั่งลงในลักษณะนั้น ถ้าไม่ถึงกับโป๊ แต่อย่างน้อยก็ต้องเผยต้นขาขาวนวลให้เห็นอย่างแน่นอน..
อีกทั้งเวลานี้ท่าทางการยืนของเหลียงเฟิงอี้ก็ดูน่าขันในสายตาของหลิงหยุนมากเธออยู่ในท่าที่ขาข้างหนึ่งอยู่บนรถ ส่วนอีกข้างหนึ่งอยู่บนพื้นเตรียมพร้อมที่จะขึ้นรถ และร่างที่โน้มมาข้างหน้าเล็กน้อยนั้น ก็ทำให้หน้าอกใหญ่โตทั้งสองข้างของเธอเปิดเผยต่อหน้าหลิงหยุนอย่างชัดเจน นับว่าเป็นภาพที่น่ามองสำหรับเขามาก..
หลิงหยุนไม่สนใจฉางหลิงกับเกาเฉินเฉินที่นั่งอยู่ด้านในและกำลังยิ้มอย่างพอใจระหว่างที่รอดูว่าเหลียงเฟิงอี้จะตัดสินใจทำเช่นไร
ถังเมิ่งเองก็ได้แต่นั่งอึ้งเมื่อเห็นหลิงหยุนจงใจแกล้งเหลียงเฟิงอี้เช่นนี้และไม่กล้าหันไปมองเหลียงเฟิงอี้อีกเพราะเกรงจะถูกหลิงหยุนตำหนิ จึงได้แต่นั่งหน้าตรงมองไปข้างหน้า แล้วรีบสตาร์ทรถทันที
“เปิดแอร์แล้วนะอากาศข้างนอกร้อนมากจริงๆ..” จู่ๆถังเมิ่งก็พูดโพล่งออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด
เหลียงเฟิงอี้ถึงกับหน้าแดงเธอกัดฟันกรอดพร้อมกับออกแรงขึ้นไปนั่งบนรถทันที แต่ระหว่างที่เธอกำลังจะวางก้นลงบนเบาะนั้น
‘เด็กบ้า..จงใจขยับมาให้เหลือพื้นที่น้อยกว่าเดิมอีก!’
เหลียงเฟิงอี้หันไปถลึงตาใส่หลิงหยุนเมื่อพบว่าพื้นที่ของตนเองเหลือน้อยกว่าเมื่อครู่เสียอีก..
แต่หลิงหยุนกลับทำเป็นไม่ใส่ใจ..เหลียงเฟิงอี้อดทนอดกลั้นไม่ได้อีกต่อไป เธอจึงพูดขึ้นว่า..
“หลิงหยุน..เธอพยายามขยับเข้าไปใกล้ฉางหลิงหน่อยสิ! เธอนั่งแบบนี้แล้วฉันจะนั่งได้ยังไงกัน!”
‘ขยับเข้าไปงั้นรึเจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!’
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่ามีเพียงคนหน้าโง่เท่านั้นล่ะที่จะยอมกระเถิบเข้าไปด้านในเขายิ้มและตอบกลับเหลียงเฟิงอี้ด้วยกระแสจิต
–กอดคุณผมก็เคยมาแล้ว..แค่นั่งเบียดผมหน่อยจะเป็นอะไรไป-
เหลียงเฟิงอี้ได้ฟังก็ถึงกับหน้าแดงด้วยความอับอายแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะหลิงหยุนก็ไม่ได้พูดเกินจริง.. เหลียงเฟิงอี้นั้นเคยอยู่ในอ้อมกอดของหลิงหยุนมาแล้ว
แต่เพื่อไม่ให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้เหลียงเฟิงอี้จึงต้องทนนั่งในสภาพที่ครึ่งก้นอยู่บนตักของหลิงหยุนไป..
ความจริงแล้วรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนก็ใหญ่โตกว้างขวางดีและเบาะหลังก็เพียงพอที่จะให้คนที่ไม่อ้วนมากนั่งสี่คนได้อย่างสบาย เกาเฉินเฉินกับฉางหลิงก็รูปร่างบอบบางจึงกินพื้นที่ไม่มาก ดังนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่จึงถูกครอบครองโดยหลิงหยุน และดูเหมือนพื้นที่ระหว่างเขากับฉางหลิงยังเหลืออยู่นิดหน่อยด้วยซ้ำไป!
บรรยากาศภายในรถเริ่มอึมครึมทุกคนต่างก็เงียบกันหมด และดูเหมือนจะหายใจกันด้วยความรู้สึกอึดอัด
ถังเมิ่งเกรงว่าทุกคนจะเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวจึงรีบสตาร์รถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฉินเฉิน..ฉัน..”
หลังจากที่ฉางหลิงหายจากอาการตื่นตระหนกตกใจแล้วเธอก็กระซิบเสียงเบา แต่เกาเฉินเฉินกลับเอื้อมมือไปกุมมือฉางหลิงไว้อย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันเข้าใจ..”
จกานั้นเกาเฉินเฉินก็ใช้นิ้วชี้เขียนลงบนฝ่ามือของฉางหลิงว่‘รอให้ออกจากรถก่อน..’
เกาเฉินเฉินยังจำได้ว่า..ฉางหลิงเป็นผู้ที่บอกให้เธอเป็นฝ่ายเปิดเผยความรู้สึกกับหลิงหยุน สภาพจิตใจของฉางหลิงเวลานี้เธอจึงเข้าใจดี เพราะคล้ายคลึงกับความรู้สึกของเธอในอดีต..
ฉางหลิงไม่ได้ผิด..แล้วก็ไม่ได้แย่งหลิงหยุนไปจากเธอ..
หากจะตำหนิ..ก็ต้องตำหนิหลิงหยุนที่ทั้งเก่งกาจ และหล่อเหลาเกินกว่าชายใดมากกว่า!
หลังจากที่รถเลี้ยวเข้าเข้าทางด่วนไปแล้วถังเมิ่งก็ถามเกาเฉินเฉินขึ้นว่า “เฉินเฉิน.. ร้านเป็ดปักกิ่งชื่อดังที่เธอบอกอยู่ที่ใหนเหรอ”
เกาเฉินเฉินบอกที่อยู่ของร้านกับถังเมิ่งและบอกเส้นทางคร่าวๆให้เขารู้ วลานี้พยาธิในท้องของถังเมิ่งเริ่มทำงานแล้ว เขาจึงรีบเหยียบคันเร่ง และเร่งความเร็วเต็มที่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา..ทั้งหมดก็มาอยู่หน้าร้านแล้ว
“ใช่ร้านนั้นมั๊ยแต่ทำไมไม่เห็นมีป้ายร้านเลย!”
ทันทีที่รถจอดเกาเฉินเฉินก็เปิดประตูออกไปพร้อมกับหัวเราะคิกคักแล้วพูดขึ้นว่า
“ลงมากันได้แล้ว!”
ปัง!
เหลียงเฟิงอี้เปิดประตูกระโดดลงจากรถทันทีเช่นกันก่อนจะปิดประตูเสียงดังสนั่น..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มอย่างพึงพอใจ..