ตอนที่ 469 แอบคิดร้าย / ตอนที่ 470 พบโอกาสทางการค้า

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 469 แอบคิดร้าย

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนแสดงได้ยอดแย่มากแค่ไหน ยังนึกว่าเซียวอู๋อี้ไม่รู้จริงๆ ว่าตนมีวัตถุประสงค์อะไร จึงชักจูงเธอต่อ “เธอคงจะรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นคู่หมั้นของเหยียนเค่อ”

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งพูดอ้อมไปอ้อมมาไม่เข้าประเด็นสักที ทำให้เซียวอู๋อี้รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก เธอจึงพูดขึ้น “คุณมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ฉันยังมีงานที่ต้องกลับไปทำอีกนะคะ”

 

 

“ฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ฉันเกลียดซย่าเสี่ยวมั่ว ฉันอยากร่วมมือกับเธอ” สวีอิ๋งอิ๋งที่พูดอ้อมค้อมอยู่นานในที่สุดก็พูดสิ่งที่ตนต้องการออกมาอย่างชัดเจนเสียที

 

 

เซียวอู๋อี้ก็ไม่เสียเวลา พยักหน้าแล้วรอฟังแผนการของเธอ

 

 

“ฉันจะให้เหยียนเค่อ…” ตอนแรกสวีอิ๋งอิ๋งกำลังจะเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังและหยิ่งยโส แต่เพียงครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ว่าตนเหมือนจะพูดผิดถึงคนเสียแล้ว จึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นปกปิดแล้วพูดแก้ใหม่ “เอ่อ…หมายถึง

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วน่ะ ฉันจะสั่งสอนมันสักหน่อย ฉันจะให้เหยียนเค่อนึกเสียใจที่ชอบซย่าเสี่ยวมั่ว”

 

 

เซียวอู๋อี้รู้สึกว่าประโยคครึ่งแรกเธอน่าจะพูดผิด สำหรับเธอแล้วไม่มีใครไม่ชอบเหยียนเค่อหรอก ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะพยักหน้าเสริม “ฉันเข้าใจแล้ว งั้นคุณคิดว่าวิธีไหนถึงจะดีล่ะ”

 

 

“ก็ต้องทำให้ถึงที่สุดน่ะสิ ให้เหยียนเค่อเจ็บปวดทรมานใจไปเลยถึงจะดี”

 

 

เซียวอู๋อี้ขมวดคิ้ว ซย่าเสี่ยวมั่วกับสวีอิ๋งอิ๋งเป็นศัตรูหัวใจกัน การที่สวีอิ๋งอิ๋งอยากจัดการซย่าเสี่ยวมั่วนั้นเธอพอเข้าใจได้ แต่ทำไมถึงต้องทำร้ายคู่หมั้นของตัวเองด้วยล่ะ

 

 

ตอนแรกสวีอิ๋งอิ๋งยังจมอยู่ในสิ่งที่ตนคาดฝันไว้ ต่อมาจึงจะพบว่าเซียวอู๋อี้มองเธอด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย จึงต้องแสร้งทำเป็นเสียใจและโกรธขึ้ง “ถ้าฉันไม่ได้เหยียนเค่อ ฉันก็จะทำลายเขาซะ”

 

 

อธิบายแบบนี้ค่อยมีเหตุผลหน่อย เธอไม่ได้ซักไซ้ต่อ อย่างไรเสียพวกเธอสองคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน ส่วนสวีอิ๋งอิ๋งคิดจะทำอะไรนั้น มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ

 

 

“เธอมีแผนอะไรดีๆ บ้างไหม”

 

 

“บอกแผนของคุณมาก่อนสิ” เซียวอู๋อี้ไม่รีบร้อนที่จะบอกเล่าแผนการของตนเองนัก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นตนก็เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นคนต้นคิด แต่ถ้าเธอเอ่ยปากพูดก่อนก็เท่ากับเผยไต๋ให้สวีอิ๋งอิ๋งรู้เสียก่อน

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งยังอ่อนต่อโลกนัก ยังไม่ทันรู้ตื้นลึกหนาบางดีเท่าไรก็บอกเล่าแผนการกับเซียวอู๋อี้อย่างกระตือรือร้นเสียแล้ว “ฉันว่าลักพาตัวเขา และเอาไปขายที่อื่นได้นะ”

 

 

เซียวอู๋อี้เลิกคิ้ว ความคิดตื้นๆ ถ้าเธอเป็นเหยียนเค่อก็คงชอบผู้หญิงคนนี้ไม่ลงหรอก ความจริงในใจเธอก็มีวิธีแล้วเช่นกัน แต่เป้าหมายของเธอไม่ได้มีแค่ซย่าเสี่ยวมั่วเพียงคนเดียวเท่านั้น เหยียนเค่อก็ไม่รอดเหมือนกัน

 

 

“ให้ฉันกลับไปคิดดูก่อนนะ น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ คุณทำแบบนี้ถ้าโดนเหยียนเค่อตรวจสอบขึ้นมาก็อย่าหวังเลยว่าจะรอด”

 

 

เซียวอู๋อี้พูดถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว ความจริงไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไรกับซย่าเสี่ยวมั่วก็ตาม แต่ถ้าหากเหยียนเค่อรู้เข้า ก็อย่าหวังเลยว่าจะรอด

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งค่อยๆ ออกจากภวังค์ แค่คิดว่ามีวันหนึ่งที่เหยียนเค่อจะต่อกรกับเหยียนเฟิงเพราะมี

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นเหตุ ส่วนเหยียนเฟิงก็จะกลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลเหยียนภายใต้การช่วยเหลือของเธอและแต่งงานกับเธอในที่สุด ราวกับว่าภาพนี้จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายดายเสียเหลือเกิน

 

 

เซียวอู๋อี้เดินกลับบริษัทเพียงคนเดียว เธอไร้ซึ่งความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอันงดงามมาตั้งนานแล้ว เมื่อคนลุ่มหลงในเงินทองและอำนาจจนหาทางออกไม่ได้นั้น สิ่งอื่นก็ล้วนไม่สำคัญ

 

 

เหยียนเค่อบอกว่าเธอไม่ได้ใสสะอาดเหมือนซย่าเสี่ยวมั่วไม่ใช่หรือไง เธอไม่เชื่อหรอกว่าถ้า

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่บริสุทธิ์แล้วเขายังจะต้องการอยู่

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 470 พบโอกาสทางการค้า

 

 

เหยียนเค่อเดินเล่นกับเสิ่นมั่วหลีอย่างเชื่องช้าภายในรั้วมหาวิทยาลัย เสิ่นมั่วหลีเป็นคนเด่นคนดังอย่างแท้จริง ตั้งแต่เดินมาก็เจอคนมากมายที่เอ่ยทักทายเขา

 

 

“สวัสดีค่ะศาสตราจารย์เสิ่น!”

 

 

เสิ่นมั่วหลีไม่ค่อยชอบให้คนอื่นเรียกเขาด้วยตำแหน่งเท่าไรนัก เพราะมันทำให้เขาดูแก่ แต่เขาเองก็ไม่รู้จักคนพวกนี้ จึงผงกหัวให้แล้วเดินผ่านไป

 

 

“ศาสตราจารย์เสิ่นอายุยังน้อย แต่ตำแหน่งสูงขนาดนี้เลยเชียวหรือครับ” ตั้งแต่เดินมามีคนเรียกเสิ่นมั่วหลีไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว เหยียนเค่อได้ทีเอ่ยหยอกล้อเขา

 

 

“ไม่หรอกครับประธานเหยียน เราก็พอๆ กันแหละ” เสิ่นมั่วหลีหยอกกลับ

 

 

“อืม ภาพเขียนของนายก็มีพวกเรานี่แหละที่ทำให้ราคามันสูงขึ้น” เขาตบบ่าเสิ่นมั่วหลี ทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันไปตามประสา

 

 

ความจริงเสิ่นมั่วหลีพาเหยียนเค่อมาที่นี่ก็ไม่อยากจะเรียกคะแนนให้มหาวิทยาลัยเท่าไรนักหรอก แต่เขารู้สึกว่าบริษัทของเหยียนเค่อมีภาพลักษณ์ที่ดี ต้องดึงดูดเหล่านักเรียนนักศึกษาได้มากแน่ๆ จะหาเงินก็ต้องเริ่มจากวิธีที่รวดเร็วก่อน ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็นับว่าเป็นวิธีที่รวดเร็ววิธีหนึ่ง

 

 

เหยียนเค่อเดินเล่นกับเขาหนึ่งรอบก็พบว่านี่เป็นโอกาสทางการค้าที่ดีเช่นกัน อีกทั้งการสร้างอิทธิพลในมหาวิทยาลัยก็เท่ากับเป็นการสร้างลูกค้ากลุ่มพื้นฐานกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆ เริ่มจากอายุยี่สิบพัฒนาไปอีกแปดปีสิบปี ตลาดก็จะเปิดขยายออกอย่างรวดเร็ว

 

 

“ฉันว่านี่เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย” เหยียนเค่อฟังความคิดของเสิ่นมั่วหลีจบ ก็รู้สึกถูกใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าจะทดลองในเมืองหลวงดูก่อน อย่างไรเสียก็ต้องพัฒนาบริษัทที่นี่ ถ้าผลลัพธ์ออกมาดี ก็สามารถนำเข้าไปในโรงเรียนมัธยมปลายต่างๆ ในเมือง N ได้

 

 

“อืม” อาจจะเป็นตอนที่คนเย็นชาสองคนมาอยู่ด้วยกัน จึงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอีกฝ่าย เวลาที่เสิ่นมั่วหลีอยู่กับเหยียนเค่อ ก็มักจะลดความเหินห่างนั้นไปโดยไม่รู้ตัว แถมยังชอบพูดเรื่องเงื่อนไขกับ

 

 

เหยียนเค่ออีกต่างหาก “ถ้าทางนี้สำเร็จก็อย่าลืมฉันนะ”

 

 

สมแล้วที่เป็นพี่น้องกับเสิ่นจิ้งเฉิน แม้แต่วิธีหาเงินยังเหมือนกันเปี๊ยบ แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลย

 

 

เหยียนเค่อเบ้ปาก “กลับไปเขียนพู่กันของนายต่อเถอะ เอาหุ้นไปแล้วนายจะบริหารให้ฉันได้เหรอ”

 

 

“เหอะ” จู่ๆ เสิ่นมั่วหลีก็สงสัยขึ้นมา ถ้าเขาเรียนด้านการเงินต่อ เขากับเหยียนเค่อใครจะเก่งกว่ากันนะ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะ ทว่าก็ยังแอบเสียดายอยู่ไม่น้อย เขาตอบรับอย่างรวดเร็ว “ก็ได้”

 

 

เสิ่นมั่วหลีมีความสามารถมากกว่าเสิ่นจิ้งเฉินไม่น้อย เหยียนเค่อเคยอ่านหนังสือในบ้านของ

 

 

เสิ่นมั่วหลี หนังสือมีอย่างน้อยแปดภาษา มีทั้งหมวดหมู่วรรณคดี ศิลปะ ประวัติศาสตร์ การเงินและสถาปัตยกรรม เสิ่นมั่วหลีมีความรู้มากขนาดไหน แม้แต่เขาเองก็คงไม่มีทางร่ายเรียงออกมาได้หมดอย่างแน่นอน

 

 

“อย่างนั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา” เหยียนเค่อก็ปล่อยวางอย่างสบายใจแบบนี้ล่ะ หลังจากพัฒนาธุรกิจในเมืองหลวงได้แล้ว เขาก็สามารถให้เสิ่นมั่วหลีเอาไปบริหารได้แล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

 

 

เสิ่นมั่วหลีก็ไม่รู้ว่าเขาคิดคำนวณอะไรอยู่ในใจ ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ เหยียนเค่อกับเขาต่างก็ไม่ขาดทุน

 

 

เดินรอบมหาวิทยาลัยไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ได้เจอกับเด็กสาวที่ส่งจดหมายรักให้เสิ่นมั่วหลี

 

 

เหยียนเค่อที่อยู่ข้างๆ ยังไม่ทันได้สมน้ำหน้าในใจ ก็โดนเด็กสาวที่มาเป็นเพื่อนนักศึกษาคนนั้นเอ่ยสารภาพรักเสียก่อน

 

 

เด็กสาววัยมหาวิทยาลัยดุยิ่งกว่าเสือ เหยียนเค่อมองเด็กสาวที่ตื่นเต้นจนลิ้นพันกันตรงหน้าแล้วมุมปากกระตุก

 

 

เสิ่นมั่วหลีไม่ได้รับจดหมายฉบับนั้น และไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ เพียงแต่ยืนดูสถานการณ์อยู่อย่างนั้น

 

 

หลังจากเหยียนเค่อไล่เธอไปแล้ว เสิ่นมั่วหลีก็ยิ้มออก รอยยิ้มนั่นราวกับน้ำแข็งที่ปริออก ปรากฏให้เห็นสีสันของแก้วกระจกที่สว่างไสวงดงาม

 

 

เหยียนเค่อเอือมระอา เขาเอ่ยหยอกล้อ “ถ้าเมื่อกี้นายยิ้มแบบนี้ เด็กสองคนนั้นคงก้าวขาไม่ออก”

 

 

“เหอะ ก้าวขาไม่ออกเพราะนายนั่นแหละ เกี่ยวอะไรกับฉันกันล่ะ” เสิ่นมั่วหลีรีบหุบยิ้ม ปฏิเสธความเกี่ยวข้องของตัวเอง

 

 

ทั้งคู่ต่างไม่ได้คาดคิดถึงเรื่องราวเหนือความคาดหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังคงเดินเล่นไปอย่างสบายใจในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้