ตอนที่ 471 กลายเป็นฟองสบู่ / ตอนที่ 472 ประเมินและพิจารณา

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 471 กลายเป็นฟองสบู่

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วลุกขึ้นจากเตียงอย่างสะลืมสะลือ ก่อนจะดึงแขนเสื้อของสวีรั่วชีแล้วพึมพำกับตัวเอง “เจ้าชายของฉันจะแต่งงานกับคนอื่นแล้วอย่างนั้นเหรอ”

 

 

“ใช่” สวีรั่วชีสะบัดมือเธอออกอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหมุนตัวเดินลงจากเตียงไป

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไปนอนแผ่ลงบนเตียงเช่นเดิม แล้วหลับตาพึมพำกับตัวเอง “มิน่าถึงรู้สึกว่าฉันใกล้จะกลายเป็นฟองสบู่แล้ว”

 

 

อายุมากแล้วก็อดมีความรู้สึกทรมานไม่ได้ ตอนนี้สมองของเธอมึนเบลอ อยากตื่นแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะลุกขึ้นมา

 

 

สวีรั่วชีโมโหกับสองคนนี้จนแทบกระอักเลือด ตอนนี้เธอไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้พวกเขาสองคนดิ้นรนเอาตัวรอดกันเอง แต่อย่ารอดเลยจะดีกว่า แบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องมาคอยจุ้นจ้านทุกวี่ทุกวัน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าสวีรั่วชีโดนเหยียนเค่อพูดจาไม่ดีใส่ เมื่อตื่นเต็มตาแล้วก็รู้สึกว่าสวีรั่วชีช่างเย็นชากับตนเหลือเกิน…

 

 

“วันนี้เธอเป็นอะไร” ซย่าเสี่ยวมั่วแปรงฟันพลางถามหญิงสาวที่ยืนล้างหน้าอยู่ข้างกันอย่างสงสัย

 

 

“ไม่ได้เป็นอะไร” สวีรั่วชีสะบัดน้ำในมือ ดึงผ้าขนหนูผืนสะอาดมาเช็ดหน้าแล้วคว้าแก้วน้ำบนขอบอ่างมาเตรียมจะแปรงฟัน

 

 

“เฮ้ย!” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเธอหยิบแก้วใบนั้นขึ้นมาก็ตกใจจนตาตั้ง

 

 

“ทำไม เป็นอะไร” สวีรั่วชีก้มลงมองตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงมีปฏิกิริยาแบบนี้

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วล้างแปรงสีฟันในมือของตนจนสะอาด ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้เธอฟังอย่างไร

 

 

“ทำไม มีอะไรก็พูดมาสิ” สวีรั่วชีไม่รู้ว่าเธอบ่นพึมพำ คิดจะทำอะไรอยู่

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเบะปากแล้วยื่นมือเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบแก้วจากมือของสวีรั่วชีมาไว้อีกด้าน

 

 

สวีรั่วชีไม่รู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร มองแก้วใบนั้นอีกครั้งก่อนจะค้นพบความผิดปกติ “เธอยอมเสียเงินซื้อแก้วบ้วนปากมียี่ห้อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร เลียนแบบพวกคนที่ให้แก้วเธอมาตั้งแต่เมื่อไร”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วมีรสนิยมดี มีความสามารถในการชื่นชมผลงานศิลปะ แต่ของใช้สิ้นเปลืองแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจเลย ดังนั้นสวีรั่วชีจึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วแบมือ กลอกตามองบนแล้วเดินออกไปหาแก้วอีกใบมาให้เธอใช้แก้ขัดไปก่อน “แก้วใบนี้เหยียนเค่อเป็นคนซื้อ”

 

 

สวีรั่วชีจ้องมองแก้วน้ำที่ตรงกลางคั่นไว้ด้วยฟองสบู่ลอยไปลอยมา ก่อนจะกอดอกแล้วแค่นหัวเราะ  “เหอะๆ ฉันว่าแล้วเชียว”

 

 

ของใช้สิ้นเปลืองครึ่งหนึ่งของซย่าเสี่ยวมั่ว ได้มาจากคนอื่นตอนที่ไปร่วมงานนิทรรศการนานาชาติต่างๆ มีแค่ของที่คนอื่นให้เท่านั้นแหละที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะเอามาใช้อย่างคล่องมือ ถ้าให้ซื้อเองคงเจ็บใจตัวเองไปอีกหลายวัน

 

 

“ฉันแค่อยากหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแก้วใบนี้นิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วฉันก็พบว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก” ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบแก้วน้ำจากถาดบนโต๊ะอาหารใบหนึ่งมาให้สวีรั่วชีใช้บ้วนปาก

 

 

“นั่นเป็นแก้วที่เหยียนเค่อใช้เหรอ” สวีรั่วชีรับแก้วมาจึงจะพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ขี้งกถึงขนาดไม่ให้เธอใช้แก้วสักใบ ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือนี่เป็นแก้วที่เหยียนเค่อเคยใช้ ดังนั้นเธอจึงใช้ไม่ได้

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยืนเงียบ แต่ก็เป็นการยอมรับกลายๆ

 

 

สายตาของสวีรั่วชีมองสลับไปมาระหว่างซย่าเสี่ยวมั่วกับแก้วใบนั้น ผ่านไปเนิ่นนาน จึงคว้าแก้วใสธรรมดามารองน้ำเพื่อแปรงฟัน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกลัวว่าสวีรั่วชีจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่การที่สวีรั่วชีไม่ได้พูดอะไรเลยก็ทำให้เธอกระวนกระวายใจ หลังจากเงียบไปสักพัก เธอจึงกระแอมออกมา “เธออยากพูดอะไรก็พูดเถอะ”

 

 

“ฉันไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น” สวีรั่วชีเงียบ เธอเป็นคนดูที่รับรู้เรื่องราวทุกอย่างอยู่ข้างๆ ดีกว่า

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกหวาดระแวง เธอมักจะรู้สึกเหมือนว่าสวีรั่วชีรู้ทุกอย่างแต่แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น แต่เธอก็ไปบังคับสวีรั่วชีไม่ได้ จึงหมุนตัวเดินออกไปทำอาหาร “เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้กินแล้วกัน”

 

 

“ขอบใจ” ฟองยาสีฟันเต็มปากสวีรั่วชี ทำให้พูดไม่ชัดนัก

 

 

“ไม่เป็นไร” ซย่าเสี่ยวมั่วโบกมือ ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่างาม

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 472 ประเมินและพิจารณา

 

 

เหยียนเค่อกับเสิ่นมั่วหลีจะกินมื้อเที่ยงนอกบ้าน เสิ่นมั่วหลีเป็นคนเลือกสถานที่ สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ทิวทัศน์ก็ไม่เลว แต่ก็แตกต่างจากที่เหยียนเค่อคิดไว้อยู่

 

 

“ฉันนึกว่านายจะเลือกพวกร้านน้ำชาเก่าแก่ซะอีก” เหยียนเค่อมองทิวทัศน์โดยรอบ

 

 

สวนขนาดเล็กแบบกึ่งปิดกึ่งเปิด มีต้นไผ่หลายชนิดล้อมรอบ และมีสายลมพัดมาเป็นระยะ

 

 

เทียบกับทิวทัศน์ในที่แห่งนี้แล้ว เหยียนเค่อกังวลมากกว่าว่าการกินข้าวนอกอาคารแบบนี้ ฝุ่นจะตกใส่อาหารหรือไม่

 

 

เสิ่นมั่วหลีได้ยินเสียงของเขาก็เงียบไป

 

 

เสิ่นมั่วหลีรักสะอาดแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่เหยียนเค่ออาการหนักยิ่งกว่าเขา เขาเองก็รับประกันอะไรกับเหยียนเค่อไม่ได้เลย ไม่แน่ว่าอาจจะมีสายลมไหนพัดฝุ่นลงจานก็เป็นได้

 

 

“เปลี่ยนร้านไหมล่ะ” เสิ่นมั่วหลีเอามือเท้าคาง ถามความเห็นของเหยียนเค่อ

 

 

“ไม่ต้องหรอก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมายุ่งยากจะตาย” เหยียนเค่อใช้กระดาษทิชชู่เช็ดโต๊ะหนึ่งรอบก่อนจะนั่งลง “ขอโทษนะ นายอย่าถือสาเลย ฉันเป็นพวกรักสะอาดนิดหน่อยน่ะ”

 

 

ถ้านี่แค่นิดหน่อย เขาก็คงเป็นคนปกติแล้วล่ะ เสิ่นมั่วหลีก็โอเคนะ หากผลสุดท้ายแล้วเขาเป็นคนปกติน่ะ

 

 

“ฉันไม่ถือสาหรอก ฉันยังไงก็ได้” เขาเอาน้ำร้อนราดลงบนชามและตะเกียบก่อนจะเอาไปวางไว้ตรงหน้าของเหยียนเค่อ รอให้บริกรเข้ามา

 

 

ถ้าเหยียนเค่อรักสะอาด ก็คงไม่ปล่อยซย่าเสี่ยวมั่วให้เป็นอย่างนั้นเป็นแน่ ต่อไปบ้านจะได้สะอาดขึ้นมาหน่อย เสิ่นมั่วหลีให้คะแนนเต็มเลย อย่างไรเสียพวกงานถูบ้านก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องทำน่ะนะ

 

 

เขาไม่เคยลืมว่าเสิ่นจิ้งเฉินโทรมาข่มขู่เขาทุกคืน บอกว่าให้เขาประเมินเหยียนเค่อให้รอบด้าน

 

 

อาหารมาเสิร์ฟครบแล้ว เหยียนเค่อและเสิ่นมั่วหลีกำลังจะกิน เหยียนเค่อก็ได้รับข้อความจาก

 

 

สวีรั่วชีเสียก่อน

 

 

[มีอะไร]

 

 

สวีรั่วชีกัดตะเกียบ มองดูตัวอักษรที่ตอบแบบขอไปทีแล้วก็ลอบกำหมัด ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับ [ฉันมีรูปสวยๆ ของซย่าเสี่ยวมั่วด้วยนะ]

 

 

ทำไมช่วงนี้ยายนี่ถึงติดต่อหาเขาบ่อยนักนะ เหยียนเค่อสงสัยว่าถ้ายังติดต่อกับสวีรั่วชีต่อไปล่ะก็ สวีอันหรานคงต้องคิดว่าเขาจะตีท้ายครัวเป็นแน่

 

 

สวีรั่วชีรออยู่นานก็ไม่ได้รับข้อความตอบกลับ จึงส่งรูปภาพไปทันที

 

 

หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏว่ามีข้อความเข้า หน้าจอสว่างขึ้นสองทีก่อนจะถูกเหยียนเค่อคว่ำมันไว้ลงกับโต๊ะ ไม่คิดจะตอบกลับ

 

 

“แฟนเหรอ” เสิ่นมั่วหลีถามอย่างไม่ใส่ใจนัก ไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองให้คนฟังแต่อย่างใด

 

 

เหยียนเค่อก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง จึงบอกออกไปตามตรง “เมียเพื่อนน่ะ”

 

 

เสิ่นมั่วหลียังคงกินข้าวเงียบๆ ต่อไปตามเดิม ถ้าเป็นเสิ่นจิ้งเฉินคงสำลักข้าวตายไปแล้ว

 

 

“แม้แต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนายก็ยัง…” ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย

 

 

“ไม่ใช่” เหยียนเค่อทำหน้าเอือม ทำไมเสิ่นมั่วหลีถึงมีจินตนาการล้ำเลิศขนาดนี้นะ

 

 

“อืม”

 

 

“นาย ‘อืม’ อะไร” เหยียนเค่อรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

 

 

“แม้แต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนายก็ยัง…”

 

 

“…ไม่ใช่สักหน่อย” เหยียนเค่อหมดแรงจะโต้กลับ “เขาเชียร์เพื่อนสนิทให้ฉันต่างหาก”

 

 

“หืม?” เสิ่นมั่วหลีเลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจ มีคนตามจีบเหยียนเค่อเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ดูท่า

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วคงเครียดน่าดูเพราะการแข่งขันสูงขนาดนี้

 

 

เหยียนเค่อคว้าผ้ามาเช็ดมือ หยิบโทรศัพท์มากดดูกล่องข้อความเข้าออก เมื่อรูปภาพของ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วปรากฏสู่สายตาเขาก็ตะลึงงัน

 

 

หญิงสาวในรูปสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงรัดรูปสีดำสนิท และเสื้อคลุมกันลมตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนกำลังยิ้มอย่างงามสง่า ดูมีชีวิตชีวา

 

 

เสิ่นมั่วหลีไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เหยียนเค่อถึงเงียบไป เห็นเขาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ก็ไม่เข้าไปรบกวน นั่งกินข้าวต่อไปเงียบๆ

 

 

เหยียนเค่อตกตะลึงอยู่นานจึงนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังคุยกับเสิ่นมั่วหลีอยู่ รีบเลื่อนดูรูปภาพที่เหลืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะคุยกับเสิ่นมั่วหลีต่อ