บทที่ 1654 – สองสาวกลับสู่พระราชวังจอมอสูร สงครามระหว่างพระราชวังสุริยาและพระราชวังทรายทอง
“เจ้าคงอยากกลับไปยังพระราชวังจอมอสูรแล้วสินะ?”ชิงสุ่ยกล่าวถาม
ถานท่ายหลิงเยียนพยักหน้า “ข้าเพียงแค่รู้สึกอยากกลับไป ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทําอะไรบ้างเมื่ออยู่ที่นี่”
ชิงสุ่ยจับมือเธอ แต่ถ้าเราแยกห่างออกจากกัน ข้าจะไม่สามารถอยู่ข้างเจ้าได้”
ถานท่ายหลิงเยียนยิ้มและจ้องมองดูชิงสุ่ย “อย่าพูดแบบนั้นเลย เจ้าอยู่ในใจของข้าเสมอ”
ชิงสุ่ยมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ยินคําพูดเหล่านี้ เขาดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน แต่ไม่ได้ทําอะไรเกินเลยมากกว่านั้น แต่ที่น่าประหลาดคือเธอไม่ได้ต่อต้านใดๆ
ชิงสุยกระซิบข้างหูเบาๆว่า “ข้าหลงรักเจ้า และข้าก็คิดถึงเจ้ามาตลอดในช่วงหลายปีนี้ ถ้าหากข้าไม่พยายามยุ่งเกี่ยวกับเจ้า ข้าก็คงมาไม่ถึงจุดนี้ ข้าอยากจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อให้เจ้ามีความสุข เว้นเสียแต่เจ้าจะรู้สึกรังเกียจข้าจริงๆ”
ชิงสุ่ยรู้สึกสงบนิ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดเป็นความจริง
“เจ้าคือคนปลูกข้าให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล ข้าไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะมาถึงจุดนี้ได้เช่นกัน ตอนนั้นข้ามีสิ่งมากมายที่ต้องทํา และไม่รู้ว่าชีวิตของข้าจะดับสิ้นจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ดังนั้นข้าจึงพยายามไม่คิดสิ่งอื่นใดและไม่คาดหวังอะไรจากโลกนี้ แต่ดูเหมือนโชคชะตาบรรจบให้เรากลับมาพบเจอกัน”
ชิงสุ่ยฟังคําพูดของเธอจากนั้นก็กอดเธออย่างแนบแน่น แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้าบ้าง?”
ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวด้วยน้ําเสียงที่เบาบาง “ตอนนี้ข้ามีความสุขมาก มีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างเจ้า”
“แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่?” ชิงสุ่ยยิ้มและกระซิบข้างหูเธอ
“ข้าชอบเจ้า”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวด้วยน้ําเสียงที่เป็นธรรมชาติ และก็เป็นน้ําเสียงที่ไพเราะอย่างยิ่ง
ชิงสุ่ยต้องดูใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของเธอที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงระเรื่อ มันเป็นความงดงามที่ทําให้ชิงสุ่ยต้องตกตะลึงและถึงจะกล่าวชมว่า “ช่างงดงามยิ่งกว่าหยก และใสสะอาดยิ่งกว่าน้ําแข็งบริสุทธิ์ “
ถานท่ายหลิงเยียนรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคําชมจากชิงสุ่ย
“ข้าขอพักอยู่ที่นี่อีกสักช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นค่อยกลับไปพระราชวังจอมอสูรกัน เจ้าตกลงหรือไม่?”ชิงสุยจ้องมองถานท่ายหลิงเยียน
“อืม” เธอตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยยังคงจ้องมองนางอัปสรที่งดงามเช่นเดียวกับที่เธอมองดูชิงสุ่ย ทุกอย่างเหมือนถูกหยุดเวลาไว้
สายตาที่เธอมองชิงสุ่ย มันเป็นสายตาของคนที่กําลังตกหลุมรัก!!
ชิงสุยไม่ละทิ้งโอกาสให้ต้องเสียไป เขาลุกคืบอย่างช้าๆ และปล่อยให้ถานท่ายหลิงเยียนหลบหลีกเมื่อเธอต้องการ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ทําเช่นนั้น ดวงตาของเธอค่อยๆบิดลงอย่างช้าๆ ชิงสุ่ยเข้าใจบริบทที่กําลังเกิดขึ้นแล้ว
ริมฝีปากของเขาประกบเข้ากับริมฝีปากที่เยือกเย็นของหลิงเยียน มันเป็นความรู้สึกนุ่มเรียบ และมีกลิ่นหอมต่างๆที่ไม่อาจอธิบายได้
ร่างกายของเธอแข็งทือแต่ก็ไม่ปฏิเสธรอยจูบของชิงสุย เธอทําได้เพียงแค่กอดชิงสุ่ยเอาไว้ และปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ ชิงสุ่ยเปิดปากพูดเบาๆว่า “หากเจ้าไม่ว่าอะไร ก็จงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย
หลังจากกล่าวจบชิงสุ่ยก็ประทับรอยจูบอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ลิ้นของเขาได้ผัวพันเข้ากับลิ้นของเธอ มันเป็นความนุ่มนวลและอ่อนโยน ก่อนที่จะบรรจบลงเป็นความรู้สึกแห่งความสุข
เวลาเหมือนผ่านไปเนิ่นนาน ถานท่ายหลิงเยียนค่อยๆผลักซิงสุ่ยออกจากเธอ เธอแสดงทีท่าทีเขินอายแล้วไม่กล้ามองหน้าชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยไม่ได้คิดเกินเลยถึงขั้นนั้น เขารู้ดีว่านี่มันคือความสัมพันธ์แรกเริ่ม ซึ่งเธอไม่เคยรับมือกับความสัมพันธ์เช่นนี้มาก่อน
ชิงสุ่ยจับมือเธอ ”เจ้ารู้สึกเช่นใดบ้าง”
ถานท่ายหลิงเยียนสั่นเครือ “ไปตายซะเถอะ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดเรื่องนี้อีก”
เมื่อชิงสุ่ยเห็นเธอแสดงกิริยาเช่นเดิมเขาก็มีความสุข ทันใดนั้นฉันชิงก็เดินเข้ามาและเห็นว่าทั้งสองกําลังจับมือกัน
เธอมองด้วยความตกใจก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะอะไรพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่…”
ถานท่ายหลิงเยียนรีบปล่อยมือชิงสุ่ยอย่างเขินอาย ในขณะที่ชิงสุ่ยก็เดินออกไปด้วยทีท่าผ่อนคลายก่อนจะจับมือฉินชิงและกลับมาจูงมือถานท่ายหลิงเยียน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นความกะล่อนของเขาจึงเป็นธรรมชาติยิ่ง แม้ทั้งสามคนจะไม่ได้พูดอะไรแต่ความรู้สึกก็ชัดเจน
ตลอดเวลาที่ชิงสุ่ยพักผ่อนอยู่ในหอคอยจักรพรรดิ เขาก็ยังคงให้คําแนะนําการฝึกฝนแก่หญิงสาวทั้งสองและช่วยเหลือผู้อื่น
ความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองไม่ได้คืบหน้ากว่าเดิม ถานท่ายหลิงเยียนยังคงให้ชิงสุ่ยจูบเท่านั้น และยังไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องร่างกายเธอ เช่นเดียวกับฉินชิง เขาก็ทําได้เพียงแค่จูบเท่านั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าหญิงทั้งสองคนจะต้องทําทุกอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป ซึ่งเขาก็ค่อนข้างจะชอบวิธีการเหล่านี้
ผู้คนกล่าวว่าเวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอ และแล้วเวลาอีก 1 เดือนก็ผ่านไป เรื่องหลินห่ายย่างเข้าสู่ความหนาวเหน็บ แต่กิจการในเมืองก็ยังคงดําเนินต่อ
ถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิงพัฒนาความสัมพันธ์จนมีความรู้สึกเหมือนดั่งพี่น้อง ลักษณะนิสัยของทั้งสองที่คล้ายคลึงกันจึงทําให้สามารถเข้าหากันได้ง่าย ยิ่งเวลานั้น ทั้งสองคนยังมีตัวช่วยก็คือชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องความสามารถของทั้งสองคนอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าพวกเธอก็ยังไม่อาจเอาชนะคนที่อยู่ระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่สําหรับคนที่อ่อนแอกว่า มันไม่ใช่ปัญหาของพวกเธออีกต่อไป โดยเฉพาะฉินชิงที่ครอบครองกรรไกรวิหคเพลิงทองคํา
“ชิงสุ่ย ข้าและพี่สาวหลิงเยียนขอแยกตัวไปที่พระราชวังจอมอสูรก่อนนะ”ฉินชิงกล่าวกับชิง
ชิงสุยคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปส่งพวกเจ้าเอง”
“อย่าลําบากเจ้าเลย พวกเราเดินทางกันเองได้ เจ้าอย่าได้กังวล” ถานท่ายหลิงเยียนยิ้ม ขณะกล่าว
ชิงสุ่ยรับรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอพูดนั้นก็เป็นความจริง สําหรับในหมวดหมู่ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของปราณบัญชาสวรรค์พินาศ เธออยู่เหนือกว่าคนเหล่านั้น ถานท่ายหลิงเยียนมีเต่าเฒ่าในขณะที่ฉินชิงก็มีมังกรฟ้า ฉะนั้นเมื่อมีคนคิดจะโจมตี มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะทั้งสองคน
“อย่าได้กังวล พวกเราไม่เป็นไรหรอก ในอดีต ตอนที่ไม่มีเจ้า พวกเราก็อยู่ได้”ฉินชิงยิ้ม เธอรู้ว่าชิงสุ่ยเป็นห่วงพวกเธอ
เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น ชิงสุ่ยยอ้มก่อนจะโอบกอดทั้งสองคนด้วยแขนทั้งสองข้าง “พวกเจ้าจะต้องระวังให้มาก แต่ก่อนจะไป มานี่เถอะ มาให้ข้าจุมพิตเรียกขวัญกําลังใจก่อน”
ถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิงจากไป ชิงสุ่ยรู้ดีว่าพวกเธอจะไม่กลับมาหาเขาเร็วๆนี้แน่ ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงพระราชวังทะเลราชันย์ ในอดีต ผู้คนที่อยู่ที่นั่นเคยขอร้องให้เขาคอยดูแลพระราชวังทะเลราชันย์
ชิงสุ่ยไม่อยากดึงสิ่งต่างๆมาเกี่ยวข้อง เมื่อเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ เขาก็รีบใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุมาโผล่อยู่ภายในถ้ําศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังพระราชวังทะเลราชันย์
และทันทีที่เขาเข้ามาภายในเขตพระราชวังสุริยา เขาก็รับรู้ถึงจิตสังหารที่อยู่ห่างไกลออกไป
เขาไม่รู้ว่าใครกําลังต่อสู้กันอยู่ภายในพระราชวังสุริยา แต่ด้วยความสามารถในปัจจุบัน ชิงสุ่ยสามารถก้าวพริบตาและไปถึงที่นั่นได้ทันที ชิงสุ่ยรู้ดีว่าพระราชวังสุริยามีความแข็งแกร่งเพียงใด และพวกเขาก็มีนักสู้ที่แข็งแกร่งจํานวนมาก จะเป็นราชันย์ปู ขุนพลกุ้งเกราะทองคําบรรพกาล ราชันย์ฉลาม และคนอื่นๆ เมื่อชิงสุ่ยมาถึงเขาก็ต้องต้องตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บทุกข์ทรมานและล้มตายกันเป็นจํานวนมาก ซึ่งทางฝั่งของพระราชวังสุริยาบาดเจ็บล้มตายมากกว่า ชิงสุ่ยมองเห็นทันทีว่าราชันย์ปูทองคําและขุนพลกุ้งทั้ง 5 ตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้
และในตอนนี้ประมุขพระราชวังสุริยากําลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ถึง 3 คนในคราเดียว และเธอก็ได้รับบาดเจ็บอย่างมากแต่ก็สามารถรับมือกับศัตรูได้อีกสักพักหนึ่ง
สําหรับผู้คนที่ล้มต่าง เลือดของคนเหล่านั้นได้ชโลมพื้นที่ให้กลายเป็นสีแดง แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะเป็นพื้นที่สูญญากาศที่อาศัยตัวช่วยในการหายใจ แต่กลิ่นเหม็นของคาวเลือดก็รุนแรงอย่างมากจะน่าอาเจียน
” ประมุขพระราชวังสุริยา ยอมจํานนเสียเถิด อย่าทําอะไรที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้อีกเลย พวกเราพระราชวังทรายทองจะดูแลพื้นที่แห่งนี้ต่อจากเจ้าเอง”เสียงของชายที่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามดังขึ้น
ชายคนนี้ก็คือราชันต์พยัคฆ์วารีทรายทอง ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับเผ่าพันธุ์มังกร และดูเหมือนว่าเขาจะดํารงตําแหน่งราชันย์แห่งพระราชวังทรายทอง
คนที่ต่อสู้อยู่กับประมุขพระราชวังสุริยา คือปูสงครามโบราณ 3 ตัว 2 ใน 3 คือปูสงครามยุพราช ในขณะที่ตัวนึงนั้นคือปูสงครามทองคํา นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังรายล้อมอยู่รอบตัว นี่คือความต่างชั้นของพระราชวังสุริยาและพระราชวังทรายทอง
“ฝันไปเถอะไอ้คนรูปร่างอัปลักษณ์ยิ่งกว่าหมู” ประมุขพระราชวังสุริยาเปล่งเสียงตะโกนด้วยความรังเกียจ