บทที่ 1655 - ความหวัง ประมุขพระราชวังสุริยา สังหาร

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1655 – ความหวัง ประมุขพระราชวังสุริยา สังหาร

 

“นางแพศยา เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าไม่กล้าลงมือสังหารเจ้า? เจ้ามันก็เป็นเพียงสิ่งของที่มิอาจหนีเงื้อมือข้าไปได้”

 

ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองกําลังโกรธแค้น ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้สะกดคําสาปแช่ง ด่าทอครั้งแล้วครั้งเล่า จนทําให้เขารู้สึกอับอาย แต่ตัวของเขาเองก็ชอบผู้หญิงที่มีลักษณะหัวแข็ง และจะมีความสุขอย่างมากถ้าหากเธอยอมแพ้

 

แม้ว่าประมุขแห่งพระราชวังสุริยาจะได้รับบาดเจ็บ แต่พลังการโจมตีของเธอก็ไม่ได้ทดถอยลงเลย และไม่ได้ดูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่สุดท้ายผลการต่อสู้จะต้องจบลงด้วยการพ่ายแพ้ของเธออย่างแน่นอน เพียงแค่เวลานั้นยังมาไม่ถึง

 

ประมุขแห่งพระราชวังสุริยาไม่สนใจคําด่าทอที่สร้างความอัปยศใดๆทั้งสิ้น เธอยังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้และพยายามควบคุมบาดแผล แต่เธอก็รู้ดีว่าสุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้

 

“ยอมจํานนต่อข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกของเจ้า ยิ่งต่อต้านไปก็ไร้ประโยชน์ และถ้าหากเจ้าปลิดชีพตัวเอง ทุกคนในพระราชวังสุริยาจะได้ตายกลายเป็นผีไปเฝ้าเจ้า เจ้าคนรู้เอาไว้ว่าข้าไม่เคยพูดเล่น”

 

ตอนแรกประมุขแห่งพระราชวังสุริยาต้องการจะปลิดชีพตัวเองเพื่อให้การต่อสู้จบลง และไม่ต้องการมอบร่างของเธอเป็นเครื่องบรรณาการแก่ผู้อื่น แต่สุดท้ายคําพูดของราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองก็ทําให้เธอต้องเปลี่ยนความคิด สิ่งที่เธอทําทุกอย่างก็เพื่อให้พรรคพวกของเธอมีชีวิตรอด แต่ถ้าหากเธอปลิดชีพตัวเองนั่นก็เท่ากับว่าเธอเป็นคนลงมือสังหารพรรคพวกของเธอทางอ้อม

 

“ท่านประมุขแห่งพระราชวังสุริยา ท่านอย่าได้กังวล ได้โปรดรีบหนีเอาตัวรอดก่อนเถิด มันยังไม่สายที่ท่านจะกลับมาแก้แค้นใหม่!”ใครบางคนในกลุ่มพระราชวังสุริยาเพลงเสียงตะโกน

 

ฟุบบบบ!!

 

คนที่เป็นเสียงตะโกนถูกปลิดชีพอย่างรวดเร็วโดยเงื้อมมือของราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทอง

 

สิ่งนี้ไม่ได้ทําให้ผู้คนของพระราชวังสุริยาหวาดกลัวเลย แต่มันกลับกระตุ้นความโกรธแค้นของพวกเขา และเริ่มสะกดคําสาปแช่งแก่คนกลุ่มพระราชวังทรายทอง อาจเพราะพวกเขาไม่มีพลังที่จะใช้ต่อสู้ในแง่ความแข็งแกร่ง จึงเลือกที่จะโจมตีทางด้านวาจา

 

หลังจากที่เริ่มลงมือสังหารผู้คนที่ขัดขวาง ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองก็มองดู ประมุขแห่ง พระราชวังสุริยาที่พยายามหลบหนี “เจ้าขยะ กลับมาเดี๋ยวนี้!”

 

ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองพุ่งกระโดดออกไป พร้อมกับปลดปล่อยที่เต็มไปด้วยแรงกดดันม หาศาลและมีรูปเงาพยัคฆ์อยู่ด้านหลัง

 

ตูมมมมม!!

 

ประมุขแห่งพระราชวังสุริยาพยายามเบี่ยงเบนพลัง แต่เธอก็ถูกพลังของราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองต้อนให้ต้องกลับไปยังที่เดิมจนเธอทนไม่ไหว ต้องเค้นพลังหมัดอัดกระแทกเข้าหาศัตรูที่กําลังโจมตีเธอ มันเป็นความรุนแรงที่พอจะแยกฟ้าดินออกจากกันได้

 

ประมุขแห่งพระราชวังสุริยาที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้า กลับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง จนเธอไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ในอีกต่อไปแล้ว

 

ความหวังของเธอพังทลาย เธอไม่อาจยอมรับความจริงและไม่มีพลังมากพอที่จะฆ่าตัวตายอีกแล้ว หากเธอถูกจับ สภาพของเธอจะย่ําแย่ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น แม้เธอจะไม่กลัวตาย แต่เธอกลัวที่จะถูกย่ํายี

 

ตัวของเธอเองก็ไม่อาจเพิ่มเฉยกับการมีอยู่ของพระราชวังสุริยา แน่นอนว่าต่อให้เธอตายไป เธอก็ตายอย่างไม่สงบ เมื่อมองดูกําปั้นยักษ์ที่กําลังโจมตีเข้าหาเธอ ร่างกายที่พยายามต่อต้านก็เริ่มหมดแรง ไม่หลงเหลือทางออกให้เธออีกแล้ว

 

ไม่มีใครในที่นี้ช่วยเธอได้ แม้ว่าเธอจะดิ้นรนเท่าไหร่ ชัยชนะไม่มีทางบังเกิด

 

ประมุขแห่งพระราชวังสุริยาหลับตาลงและยอมรับความตาย ทันใดนั้นร่างเงาบางอย่างก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าที่เธอยืนอยู่ เธอรู้สึกคุ้นเคยกับร่างเงาชายผู้นี้เป็นอย่างมาก เธอเชื่อว่ามันเป็นภาพลวงตาและพยายามสายหน้า ตัวของเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทําไมยามคับขันเธอถึงได้นึกถึงชายผู้นี้?

 

เวลาเหมือนถูกหยุด เธอมองดูร่างเงาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าและคิดเสมอว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่อย่างไรก็ตาม ภาพลวงตานี้ก็ปรากฏชัดเจนยิ่งกว่าของจริง

ปังงง!!

 

พลังหมัดที่ถูกปลดปล่อยโดยราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ ก่อนที่ร่างของราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองจะถูกอัดปลิวลอยกลับไปโดยชิงสุ่ย

 

ประมุขแห่งพระราชวังสุริยามองดูร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ภาพลวงตาแต่เป็นของตัวของเขาจริงๆ ใครจะคิดว่ายามคับขัน เขาจะมาปรากฏตัว แล้วทําไมเขาถึงได้ทรงพลังเช่นนี้?

 

เธอมองดูรอยยิ้มที่คุ้นเคยซึ่งปรากฏอยู่ในใบหน้าของชิงสุ่ย เธอทั้งรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกดีใจก่อนที่เธอจะโผเข้าไปสวมกอดชิงสุ่ยจากนั้นก็ร้องไห้เหมือนกับเด็ก เธอพยายามควบคุมร่างกายของเธอแล้วแต่มันก็ไม่ฟัง นี่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เธอมี มันช่างเหมือนกับเด็กน้อยที่น่าสงสาร

ชิงสุยที่โดนกอดจากข้างหลังไม่ได้ผลักเธอออกไป เขายืนอยู่เฉยๆเพราะรู้ดีว่าเธอกําลังเจ็บปวดเพียงใด จากนั้นไม่นานประมุขแห่งพระราชวังสุริยาก็ปล่อยตัวชิงสุ่ยพร้อมกับใบหน้าแดงระเรื่อที่เกิดจากความเขินอาย เพราะมีผู้คนรอบข้างมากมายกําลังจับจ้องภาพที่เกิดขึ้น

 

“แกเป็นใครกัน? ทําไมถึงกล้าบังอาจเข้ามายุ่งย่ามเรื่องของข้ากับพระราชวังสุริยา?” หลังจากที่ถูกชิงสุ่ยอัดกระแทกลอยไป จิตใจราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองก็เริ่มไม่มั่นคง และเมื่อเขามองดูกา รกระทําของประมุขแห่งพระราชวังสุริยา เขาก็ได้แต่อิจฉา และอยากรู้ว่าทําไมชายผู้นั้นถึงได้แข็งแกร่งแบบนี้กัน?

 

ชิงสุ่ยเหมือนคําพูดของเขา และหันกลับไปสนใจประมุขพระราชวังสุริยา ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณเจ้าที่คอยดูแลพระราชวังทะเลราชันย์ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ข้าคงไม่ได้มาสายเกินไปใช่หรือไม่”

 

“การปรากฏตัวของเจ้ามันทําให้ข้าประหลาดใจยิ่ง ตัวข้านั้นไรเพื่อน จึงไม่คิดว่าจะมีใครมาช่วยเหลือข้า”ประมุขแห่งพระราชวังสุริยากล่าวด้วยความหดหู่เล็กน้อย

 

“แล้วข้าไม่ใช่เพื่อนของเจ้าหรือ เจ้าคงไม่เต็มใจนับข้าเป็นเพื่อนสินะ?” ชิงสุ่ยจ้องมองดูหญิงสาวที่ทรงเสน่ห์

 

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เต็มใจเป็นเพื่อนกับชิงสุ่ย แต่เธออยากอยู่กับชิงสุ่ยในรูปแบบสามีภรรยาต่างหาก และเธอก็รู้ดีว่าชิงสุ่ยคงไม่ยินยอม เธอจึงยิ้มให้กับชิงสุย “เจ้าคือเพื่อนของข้า แม้การมีอยู่ของเจ้าแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้วต่อชีวิตข้า”

 

“เมื่อเจ้านับข้าเป็นเพื่อน งั้นข้าขอช่วยเจ้าเป็นอย่างแรกก่อน” ชิงสุ่ยหยิบยาออกมาและเริ่มรักษาเธอจากนั้นก็ให้เธอจะจ่ายยาให้กับคนอื่นที่บาดเจ็บ ปูสงครามจํานวนมากที่ได้รับยาก็เริ่มบรรเทาอาการบาดเจ็บของตน

 

“พวกมันแข็งแกร่งมาก ให้ข้าช่วยเจ้าสู้เถอะ!!”ประมุขแห่งพระราชวังสุริยากล่าวด้วยความกังวล

 

“ตัวเจ้านั้นยังได้รับบาดเจ็บอยู่เลย ไปพักผ่อนซะเถอะ คอยดูการต่อสู้ของข้า มันจะจบลงอย่างรวดเร็วอย่าได้เป็นห่วง” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ

 

เธอยังคงหวาดกลัว ขณะที่มองดูแผ่นหลังของชิงสุ่ย คําพูดของเขามันทําให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด “ระวังตัวด้วย” หัวใจของเธอรู้สึกสั่นไว้ก่อนที่เธอจะกระโดดกลับไปด้านหลัง เธอเหมือนหญิงสาวที่มีความสุขเมื่อมีชายหนุ่มมาคอยปกป้อง

 

ซิงสุ่ยไม่รู้ว่าเธอจะคิดมากเช่นนี้ และคําพูดของเขาก็กล่าวออกมาด้วยความไม่ตั้งใจเท่านั้น เขาแค่อยากปกป้องเด็กน้อยที่น่าสงสารอย่างเธอ

 

“ข้าเป็นใครเจ้าไม่จําเป็นต้องรู้ แต่ที่ข้าเห็นคือเจ้ากําลังรังแกเพื่อนของข้า เจ้ามีเหตุผลในการกระทําเช่นนี้หรือไม่?”ชิงสุ่ยเดินตรงเข้าไปถามราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทอง

 

“ข้าเองก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอกนะว่าเจ้าเป็นใคร ถ้าหากเจ้ายอมจากไป ข้าจะทําเป็นลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเพื่อนกับแม่นั่นหรือไม่ ทางที่ดีเจ้าอย่ายื่นมือเข้ามาวุ่นวายเลย เจ้ามันก็เพียงแค่มนุษย์ อย่าได้รอาจยุ่มย่ามกับราชาท้องทะเลแห่งนี้”ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองเปล่งเสียงคําราม

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าจะได้รู้หลังจากได้ปะมือกับข้า บางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนคําพูด” ชิงสุ่ยดึงง้าวทองทะลวงศัตรูและพุ่งเข้าโจมตี ระหว่างนั้นผู้คนจํานวนมากจากพระราชวังทรายทองพยายามเข้ามาสกัดกั้น แต่ก็ถูกแรงจนตีเปาจนปลิวว่อนไปทั่วพื้นที่ แน่นอนว่าทุกคนต่างล้มตายภายในกระบวนท่าเดียว

 

“ทุกคนบุกเข้าไป ฆ่ามันให้ได้”ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองรู้ดีว่าชายที่ชื่อชิงสุ่ยทรงพลังเพียงใด แต่ทําไมเด็กคนนี้ถึงได้รับพลังมากมายขนาดนี้ได้?

ปราชันย์สงครามทองคํา ปูราชันย์สงครามยุพราช เงือกวารีมังกร รวมถึงราชันย์ฉลาม ต่างก็ประสานพลังเข้าโจมตีชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยไม่หวั่นเกรงแม้ว่าศัตรูจะมีจํานวนมากและมีขนาดใหญ่โตเพียงใดก็ตาม ง้าวทองทะลวงศัตรูอยู่ในมือของเขาปลดปล่อยลําแสงสีทองพร้อมกับสะบัดเป็นกงล้อไฟ เพื่อสกัดกั้นและช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่ท่ามกลางสงคราม

 

ไม่มีใครสักคนที่เหมาะสมในการเป็นคู่มือต่อสู้สําหรับชิงสุ่ย ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทําให้ราชันย์ปูสงครามต้องสิ้นชีวิต คนที่แข็งแกร่งภายในชั่วพริบตา มีหรือที่คนอ่อนแอจะกล้าสู้ต่อ

 

ในตอนนี้ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองเริ่มรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เขารู้แล้วว่าชิงสุ่ยนั้นแตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง เขาไม่ควรดึงชายผู้นี้เข้ามาเกี่ยวเลย

 

ประมุขแห่งพระราชวังสุริยามองดูคลื่นเงาชิงสุ่ยที่กําลังไล่สังหารศัตรูอย่างบ้าคลั่ง เธอประหลาดใจกับความแข็งแกร่งที่ชิงสุ่ยครอบครองอย่างมาก เมื่อครั้งก่อนแม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งถึงระดับนี้

 

“พวกเราพระราชวังทรายทอง คือสาขาของกลุ่มพระราชวังมังกรอุดร ถ้าหากเจ้าลงมือสังหารพวกข้าอีก เจ้าจะถูกไล่ล่าและถูกสังหารโดยคนของพระราชวังมังกรอุดร”ราชันพยัคฆ์วารีทรายทองกล่าวตะโกนขู่

 

เขาระเบิดพลังก่อนจะออกไปแลกเปลี่ยนเหมือนกับชิงสุยอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้สําหรับชิงสุ่ยเลย สุดท้ายเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะยกคําขู่เรื่องของกลุ่มมังกรอุดรออกมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยอะไรเลย

 

ชิงสุ่ยแม้จะไม่ได้ลงมือสังหารผู้คนฝั่งพระราชวังทรายทองทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่จุดตันเถียนก็ถูกทําลายจนไม่อาจฝึกฝนต่อได้ หลายคนไม่อาจยอมรับความจริงนี้และเลือกที่จะปลิดชีพของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าชิงสุ่ยก็ไม่ได้ห้ามอะไร

 

“ข้าไม่สนใจเรื่องของพระราชวังมังกรอุดรเลย ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่าโทษที่เจ้าทําสุดท้ายต้องจบที่ความตาย” ชิงสุ่ยมองดูราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองด้วยสายตาโหดเหี้ยม

 

หลังจากที่เขากล่าวจบเขาก็เดินตรงไปหาราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายรอบตัวของชิงสุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นหอกสีทองคอยสะบั้นชีพผู้คนที่เข้ามาขัดขวางจนตายเกลื่อนเป็นทางยาว

 

ราชันย์พยัคฆ์วารีทรายทองมองดูจ้าวทองทะลวงศัตรูค่อยๆเจาะทะลุลําตัวด้วยสายตาที่หวาดกลัว ชีวิตของเขากําลังจะดับสิ้นและเริ่มเสียใจกับสิ่งที่ทําลงไป เขาควรจะได้ปกครองพื้นที่แห่งนี้ และควรจะได้ขึ้นเป็นผู้นํา นําพาพระราชวังทรายทองไปสู่ความยิ่งใหญ่

 

แต่ช่างน่าเสียดายที่เขาคิดผิด สิ่งที่เขาได้ทําลงไปมันทําให้ชิงสุ่ยซึ่งเป็นคนนอกโกรธ เขาต้องการหลอมรวมพระราชวังทรายทองให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระราชวังสุริยา และต้องการเอาประมุขแห่งพระราชวังสุริยามาเป็นผู้หญิงของเขา ความโลภและการล่อลวง ทําให้เขาตัดสินใจผิดพลาดที่สุดในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขมันอีกแล้ว