“มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะ ที่จะมีชื่อเสียง ดูอย่างมู่หลงหยุนหลานสิ เธอเป็นคนดังไม่ใช่หรือไง? ดังนั้นคนจำนวนมากจึงหาข้อผิดพลาดของเธอยังไงละ” เฉินเฉินพูดอย่างเฉื่อยชา เขาดูเหมือนไม่ชอบความโด่งดัง

 

จางจีตัวสั่นสะท้านกับสิ่งที่เฉินเฉินพูด เขาครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่จะพบว่าสิ่งที่เฉินเฉินพูดนั้นเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นเขาก็ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

 

“พี่ใหญ่….พี่พูดถูกแล้ว แต่ด้วยพรสวรรค์ของพี่แล้ว มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่จะไม่มีชื่อเสียง!”

 

เฉินเฉินมึนงงไปชั่วขณะ แต่อดจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

 

เขาเอ็นดูต่อท่าทางที่จริงจังของจางจี ถึงแม้ว่ามันดูเหมือนเขากำลังเยินยออยู่ก็ตาม เฉินเฉินรู้ดีว่าคำพูดของเขานั้นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ

 

นี่มันทำให้เขามีความสุขมาก…

 

หลังจากผ่านค่ำคืนที่ได้นอนอย่างสงบในโรงเตี๊ยม เฉินเฉินและจางจีต่างมุ่งหน้าตรงไปยังสนามซ้อมของเมืองจี๋โจวในยามเช้า

 

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่กองกำลังทหารต่างฝึกฝนเป็นประจำ แต่มันถูกจองไว้ให้สำนักเทียนหยุนคัดเลือดลูกศิษย์ในวันนี้

 

เมื่อเฉินเฉินและจางจีมาถึงสนามซ้อม คนนับพันคนก็ได้รวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว

 

หนึ่งในพวกเขาเหล่านั้นคือมู่หลงหยุนหลาน ในตอนนี้เธอยืนอยู่อย่างเงียบๆในฝูงชน ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าเข้าใกล้เธอเลย

 

เมื่อเทียบกับความสง่างามของเธอที่แสดงออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้เธอนั้นดูเย็นชา ตึงเครียดมากจนทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้เธอถอยห่างออกไป

 

นอกจากเธอแล้ว ชายอีกคนหนึ่งก็ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน เขายืนอยู่ตรงนั้นตัวคนเดียว โดยมีพื้นที่ว่างรอบตัวเขา เหมือนกับว่าเขาจะกลืนกินคนอื่น

 

“เขาคือใครกัน? ทำไมเขาดูดีได้ถึงเพียงนี้กันเนี่ย?” เฉินเฉินถามออกมา ก่อนที่คนรอบตัวเขาจะตอบกลับมาในทันที

 

“เขาเป็นลูกชายของนายพลจี๋โจว เขาคุ้นเคยกับการฆ่าฟันมาตั้งยังเยาว์วัย เขายังมีออร่าสังหารที่อยู่ล้อมรอบตัวเขาอีก มันจึงไม่มีใครเลยที่กล้าจะเข้าใกล้เขา”

 

‘นายพลจี๋โจว…..ภูมิหลังของเขานั้นดูดียิ่งกว่ามู่หลงหยุนหลานอีก!’ เฉินเฉินประหลาดใจ

 

นายพลจี๋โจวนั้นมีหน้าที่ในการดูแลกองทัพของเมืองจี๋โจว เขามีอำนาจเป็นรองเพียงแค่เจ้าเมืองจี๋โจวเท่านั้น

 

เมื่อเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งอันดับสองของรัฐใหญ่เช่นนี้แล้ว เขาจึงมีพลังและอำนาจมากกว่าเหล่าคนที่แข็งแกร่งในเมืองแห่งนี้

 

หลังจากพูดคุยกับคนที่อยู่รอบข้างเขา พวกเขาก็เริ่มเข้ากันได้ดี

 

นอกจากนี้ เฉินเฉินยังมีความเก่งกาจในด้านการต้มตุ๋นคนอื่นอีกด้วย คนที่เขาคุยกันอยู่ด้วยนั้นเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเสียดายที่ไม่ได้รู้จักกับเฉินเฉินมาก่อนหน้านี้

 

ทันใดนั้นเอง ชายแก่หัวหงอกพร้อมกับหนวดสีขาวก็เดินไปยืนบนเวทีใหญ่ในสนามซ้อม

 

“เงียบ!”

 

เพียงแค่คำพูดเพียงคำเดียว เสียงพูดคุยนับพันเสียงในสนามซ้อมต่างเงียบลงในทันที ทุกคนต่างรับรู้ถึงตัวตนของชายแก่ทันทีที่พวกเขาเห็น ดังนั้นพวกเขาต่างจึงเงียบลงและไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา

 

“คนที่มีเหรียญตราของสำนักเทียนหยุน เดินขึ้นมาบนเวทีได้เลย” ชายแก่พูดต่อ หลังจากที่ทุกคนเงียบลง

 

เมื่อเขาพูดเสร็จ คนไม่ถึงร้อยคนก็เดินขึ้นไปบนเวที

 

พวกเขาทั้งหมดต่างดูภาคภูมิใจและดูมีความมั่นใจกันทั้งนั้น

 

มู่หลงหยุนหลานและสาวใช้ของเธอก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ควบคู่ไปกับลูกชายของนายพลจี๋โจว

 

“พี่ใหญ่ ข้าไปก่อนนะ!” จางจีบอกกับเฉินเฉิน ก่อนที่จะหยิบเหรียญตรายืนยันตนออกมา

 

เฉินเฉินให้กำลังใจเขาก่อนที่จะตบไหล่เพื่อบอกเขาให้ไปยังบนเวทีได้อย่างสบายใจ

 

เมื่อมองแผ่นหลังของจางจีที่เดินจากไป เฉินเฉินก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

 

ถ้าเขาไม่ได้ปรากฏขึ้นตัวขึ้นแล้ว เขาคนนี้คงจะร่ำรวยกว่าเขามากแล้วละ

 

และเขายังคงรู้สึกขอบคุณกับเขามากถึงเพียงนี้อีก ปฏิบัติกับเขาราวกับพี่ชายตัวเองอีก

 

‘เอาละ เมื่อข้าสร้างสำนักหรือเป็นหัวหน้าอะไรสักอย่างในอนาคต ข้าจะทำให้เขากลายเป็นรองเจ้าสำนักเอง’ เฉินเฉินปลอบประโลม

 

 

ชายแก่บนเวทีเก็บเหรียญตราเสร็จ ก่อนที่จะก้มมองลงด้านล่างเวทีอีกครั้งหนึ่ง

 

“ใครก็ตามที่มีพ่อแม่หรือผู้อาวุโสที่ฝึกตน เดินขึ้นมาบนเวทีได้เลย”

 

ทันทีที่เขาประกาศออกมา กลุ่มคนอีกนับร้อยคนก็เดินขึ้นไปบนเวที

 

พรสวรรค์ในการฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับสายเลือดเช่นกัน ปกติแล้ว ถ้าพ่อแม่เป็นเซียนแล้ว พวกเขาส่วนมากก็จะกำเนิดลูกที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนออกมาเช่นเดียวกัน

 

เพื่อตรวจสอบศักยภาพแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนที่จะเรียกพวกเขาขึ้นมาบนเวที

 

ผู้อาวุโสตรวจสอบพวกเขา หลังจากนั้นคนจำนวนประมาณห้าสิบคนก็เดินลงเวทีไปด้วยสภาพที่ผิดหวัง

 

มีคนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ถ้าจำนวนของมันยังเป็นจำนวนเท่านี้ต่อคนที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีแล้วละก็มันจะเป็นจำนวนที่มากจนจินตนาการออกมาไม่ได้เลย

 

เมื่อเขาตรวจสอบกลุ่มคนเหล่านี้เสร็จ ชายแก่ที่ยืนอยู่บนเวทีก็หมดความสนใจแล้ว

 

ตามประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตของเขา มันเกือบจะเสร็จแล้ว ถ้ามันมีคนอีกนับสิบคนจากพันคนที่ยังผ่านเกณฑ์ มันก็เป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้วละ

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็เตรียมที่จะออกคำสั่งให้คนตั้งแถวและเดินขึ้นมาบนเวทีเพื่อตรวจสอบ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา มันก็มีความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัวและเขาก็เปลี่ยนความคิด

 

“ถ้าเจ้าคิดว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เดินขึ้นมาบนเวทีได้เลย”

 

เมื่อพวกเขาได้ยินมัน คนนับพันคนที่อยู่ต่างเงียบงัน ไม่มีใครสักคนกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ

 

ถ้าพวกเขาเดินขึ้นไปบนเวทีและโดนปฏิเสธไปโดยผู้อาวุโสแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก พวกเขาจะกลายเป็นที่โด่งดังในเมืองจี๋โจวมากและพวกเขาจะมีหน้าไปพบกับคนอื่นได้ยังไง?

 

ไม่เพียงแค่พวกเขาจะทำให้ตัวเองอับอาย การกระทำของพวกเขายังจะทำให้พ่อแม่ของเขาอับอายอีกด้วย

 

ยังไงก็ตาม เฉินเฉินไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขาต้องการที่จะเดินผ่านฝูงชนและเดินขึ้นไปเวที แต่คนที่คุยกับเขาก่อนหน้านี้ก็รั้งเขาไว้

 

“พี่ชาย ถ้าเจ้าขึ้นไปคนเดียวและไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ข้าละกลัวว่าเจ้าจะกลายเป็นตัวตลกของเมืองจี๋โจวเนี่ยสิ!”

 

“ใช่เลย พี่ชาย ความมั่นใจเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกัน หลังจากนั้นเจ้าก็สามารถแอบแฝงตัวเข้าไปโดยไม่เป็นที่สังเกตมากเท่าไหร่ได้!”

 

เมื่อมองไปที่ความกังวลบนใบหน้าของพวกเขา เฉินเฉินพูดออกมาอย่างจริงจัง “ไม่ต้องกังวลไปหรอกหน่า ถ้าข้าไม่มีความสามารถในการฝึกตนและกลายเป็นตัวตลกของเมืองจี๋โจวแล้ว ก็ปล่อยให้พวกเขาหัวเราะไปเถอะ เส้นทางของการฝึกตนเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก มันเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่จะมีโอกาสตายด้วยซ้ำไป”

 

หลังจากพูดจบ เฉินเฉินก็สะบัดมือของพวกเขาออกและเดินตรงไปยังเทวี

 

เมื่อพวกเขาเห็นแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของเฉินเฉิน ใบหน้าของพวกเขาต่างดูซับซ้อนขึ้น

 

“เขาเดินตรงเข้าไป แม้ว่าจะมีสายตานับพันจับจ้องเขาอยู่…..เขาคือต้นแบบของรุ่นพวกเราเลย”

 

“เฮ้อ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นตัวตลกของเมืองจี๋โจว ข้าก็จะไม่ทิ้งเพื่อนคนนี้ไปอย่างแน่นอน พี่ชาย เจ้าคิดว่าไง?”

 

“เจ้าหมายความว่ายังไง? ข้าดูเหมือนเป็นพวกขี้กลัวที่คบเพื่อนโดยหวังผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวงั้นหรือไง?”

 

…เมื่อเดินผ่านกลุ่มคนไป เฉินเฉินก็ได้เข้าใกล้เวทีอย่างช้าๆ

 

ทุกคนในสนามซ้อมต่างสังเกตเห็นเขาแล้ว

 

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขา เฉินเฉินก็ยิ้มกว้างและเดินขึ้นไปบนเวที

 

“เขางั้นเหรอ? เจ้าเด็กเวรนั่น! ข้าไม่เชื่อเลยว่าจะมาถึงจี๋โจวได้อย่างปลอดภัยแบบนี้”

 

ด้านหลังของชายแก่ สาวใช้ของมู่หลงหยุนหลานประหลาดใจที่เห็นเฉินเฉิน

 

มู่หลงหยุนหลานก็มองไปที่เฉินเฉินบนเวที สีหน้าของเธอดูจริงจังอย่างมาก เหมือนกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

“ฮวนน้อย เขาทำถูกแล้วละที่ไม่ตามพวกเรามา คิดถึงพวกคนที่โดนฆ่าไปโดยสำนักอสูรสิ…”

 

มู่หลงหยุนหลานร้องไห้ออกมา

 

ยังไงก็ตาม ฮวนน้อยยังคงมีรอยยิ้มที่ดูถูกอยู่ เธอตอบกลับไป “คุณหญิง อย่าโทษตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ท่านไม่ได้บังคับให้พวกเขาตามท่านมาสักหน่อย มันเป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถมากพอจึงโดนฆ่าไป”

 

“สำหรับเจ้านี่แล้ว เขาไม่ได้ตามท่านไปเพราะว่าเขาต้องการเป็นคนพิเศษยังไงละ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ถูกหรือผิดเลย ทุกคนตามท่านไป ยกเว้นเขาและไม่มีใครสักคนที่เดินขึ้นมาบนเวทีเลยสักนิด ข้าเห็นคนแบบเขามามากแล้วละ คนที่คิดว่าตัวเองเท่ห์และน่าจับตามองกับการทำเรื่องแบบนี้ แต่ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่เรื่องที่พวกเขาเพ้อฝันไปเองเท่านั้น”

 

 

“พี่ใหญ่ก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่อยู่ตลอด ความมั่นใจ…ออร่าของเขา..เมื่อไหร่กันนะที่ข้าจะเป็นได้อย่างกับเขา?”

 

นอกจากกลุ่มคนที่พูดคุยกันบนเวทีแล้ว คนด้านล่างต่างแสดงความคิดเห็นออกมาเต็มไปหมด

 

“เขาคือใครกัน? ทำไมเขาถึงเย่อหยิ่งได้ถึงเพียงนี้กัน?!”

 

“พระเอกอย่างข้ายังไม่กล้าขึ้นไปเวที เขามีสิทธิ์อะไรกัน?”

 

“พี่ชาย ตั้งแต่ที่พี่เป็นพระเอกแล้ว พี่ขึ้นไปบนเวทีดีไหม?”

 

“ข้าแค่ล้อเล่นหน่า ล้อเล่นอะ เข้าใจไหม? อย่าคิดจริงจังไปสิ”

 

 

ผู้อาวุโสบนเวทีประหลาดใจเมื่อเห็นคนเดินขึ้นมาบนเวทีจริงๆ แต่ความประหลาดใจของเขาก็หายไปทันที มันถูกแทนที่ไปด้วยความจริงจังแทน

 

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคือใครกัน?!” เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงดังก้องที่ใสฟังชัด มันทำให้ทั่วทั้งสนามซ้อมต่างตกอยู่ในความเงียบงัน

 

ทุกคนต่างปรารถนาที่จะรับรู้ถึงตัวตนของชายที่บ้าบิ่นคนนี้

 

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม เฉินเฉินโค้งตัวเล็กน้อยก่อนที่จะแนะนำตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น

 

“ข้าคือเฉินเฉินจากหมู่บ้านหิน มณฑลเสฉวน เมืองเฟยหยุน จี๋โจวครับ”