บทที่ 421 คิดไม่ถึง

บัลลังก์พญาหงส์

​ที่จั่วเสี่ยอวี้ส่งฉินซื่อภรรยาของเขามานั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงเป็นการลองหยั่งเชิง คิดไปแล้วหลิวเอินจะต้องใช้ความคิดของนางไปแอบทำอะไรบางอย่างเป็นแน่ ดังนั้นจั่วเสี่ยนอวี้จึงได้เคลื่อนไหวเช่นนี้ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าจั่วเสี่ยนอวี้ยังไม่เชื่อใจนาง ดังนั้นจึงเอ่ยถึงเรื่องการแลกเปลี่ยนทางการค้า

คิดว่า จั่วเสี่ยนอวี้วางแผนไว้ว่าจะนำข้าวสารและอาหารมาแลกเปลี่ยนก่อน จากนั้นถึงจะจัดการเรื่องจวนเฝินหยางโหว

แต่ว่า วิธีของจั่วเสี่ยนอวี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนี้ยังหาข้าวสารและอาหารมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ได้ นี่ก็เห็นได้ชัดว่า จั่วเสี่ยนอวี้ไม่ได้ยินดีที่จะถูกกดขี่อยู่ใต้คนอื่นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น เขาจะแอบทำธุรกิจร้านค้าของตัวเองอย่างเงียบๆ ไปเพื่ออะไรกัน?

ฉินซื่อพูดว่าเป็นเพียงแค่ร้านขายข้าวสารและอาหาร แต่ถาวจวินหลันกลับไม่คิดว่ามีเพียงเท่านั้น

เรื่องนี้ถาวจวินหลันมอบให้หลิวเอินหาคนที่เหมาะสมไปจัดการสืบเรื่องนี้

สุดท้ายแล้วหลิวเอินก็ให้คนมาส่งข่าว เพียงแค่บอกว่าร้านค้าของจั่วเสี่ยนอวี้ไม่ใช่เป็นร้านขายข้าวสารธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นโรงค้าข้าวขนาดใหญ่ เปิดร้านค้าเอาไว้ตามที่ต่างๆ ที่ไม่สะดุดตาในเมืองหลวง แต่ส่วนใหญ่จะเปิดทางภาคใต้

เห็นได้ชัดว่านี่ก็เพื่อปิดบังจวนเฝินหยางโหว แต่ว่า ดูจากความโง่เขลาเบาปัญญาของเฝินหยางโหวแล้ว ต่อให้จั่วเสี่ยนอวี้เปิดร้านค้าใต้จมูกของเขา เขาเองก็คงไม่รู้

พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สิบสี่เดือนเจ็ด

ด้วยเกิดภัยพิบัติ อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้เกิดการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ในเมืองหลวง ดังนั้นปีนี้จึงมีแต่เรื่องใหญ่และพรั่นพรึงเกิดขึ้น

วัดในบริเวณรอบๆ ต่างก็ส่งหนังสือมาว่าปีนี้จะทำพิธีอย่างยิ่งใหญ่

แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องบริจาคเงินไป

ด้วยเกรงว่าองค์หญิงเก้าจะไม่รู้ประเพณีพวกนี้ ถาวจวินหลันจึงส่งหมัวหมัวมากประสบการณ์ให้ไปบอกนาง แล้วก็ให้นางบริจาคเงินบางส่วนให้วัด นอกเหนือจากนั้น ในวันนั้นให้เตรียมผลไม้และจุดธูปเทียนบูชาบรรพบุรุษของบ้านตระกูลถาว

ปรากฏว่าตอนกลับมา หมัวหมัวได้บอกว่าองค์หญิงเก้าจัดเตรียมเรื่องพวกนี้เอาไว้แล้ว ถาวจวินหลันได้ยินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากและยิ้มออกมาทันที “นางใส่ใจจริงๆ” สะใภ้ที่คิดถึงทำเพื่อบ้านตระกูลถาวได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นนี้ นางจะยังไม่พอใจได้อย่างไร ตอนนี้นางเพียงหวังว่าองค์หญิงเก้าจะตั้งครรภ์ เพื่อมีลูกหลานสืบสกุลให้ตระกูลถาว

องค์หญิงแปดส่งคนมาถามถาวจวินหลันว่าจะเข้าวังด้วยกันหรือไม่? วันที่สิบสี่เดือนเจ็ดจะต้องทำการไหว้บรรพบุรุษ สำหรับลูกหลานที่มีเชื้อสายราชวงศ์ หลี่เย่กับซวนเอ๋อร์ต่างจะต้องเดินทางไปไหว้ที่วัด แน่นอนว่าถาวจวินหลันจะต้องพาซวนเอ๋อร์เข้าไปในวัง

องค์หญิงแปดยังส่งคนมาบอกข่าวว่า นางได้คัดลอกหนังสือสวดมนต์ถวายให้ไทเฮาและฮองเฮา เพื่อเป็นการขอพร

แน่นอนว่าถาวจวินหลันรู้ดี องค์หญิงแปดต้องการเตือนว่าต้องทำอะไรเพื่อแสดงท่าทีบ้าง ถึงอย่างไรฮองเฮาก็ทรง ‘ประชวร’ มานานขนาดนี้ คิดว่าลูกสาวและสะใภ้อย่างพวกนางก็ควรจะทำอะไรเพื่อแสดงความกตัญญูบ้าง

จริงๆ แล้วถาวจวินหลันได้บริจาคเงินให้วัดเป็นจำนวนมาก เพื่อทำบุญให้ผีเร่ร่อน จะได้เป็นการสะสมบุญบารมีให้กับไทเฮา เสริมบารมีและขอให้พระองค์มีอายุยืนยาว

ส่วนฮองเฮานั้น นางไม่แอบเชิญหมอผีมาทำพิธีให้ฮองเฮาป่วยตายเร็วขึ้น ก็ถือว่านางมีคุณธรรมแล้ว ส่วนเรื่องคัดลอกหนังสือสวดมนต์เพื่อขอพรให้ฮองเฮานั้น นางไม่มีเวลาทำ สู้นางเอาเวลาไปเล่นกับซวนเอ๋อร์เสียจะดีกว่า

แน่นอนว่า การแสดงท่าทีนั้นยังคงต้องทำ ถาวจวินหลันจึงรับคำองค์หญิงแปด และจะเดินทางเข้าวังพร้อมกันเพื่อถวายพระพรฮองเฮา ในขณะเดียวกันนางก็ยังสั่งคนให้ไปเชิญองค์หญิงเก้า พวกนางเข้าไปพร้อมกันหลายๆ คน นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับฮองเฮาเพียงลำพัง ถือว่าเป็นเรื่องเหมาะสมอย่างที่สุด

เกรงว่าตอนนี้ฮองเฮาคงจะเกลียดนางเข้าไส้แล้วกระมัง? ฮองเฮาคงมองว่า นางอาจเป็นคนที่ลืมบุญคุณคน  แต่เกี่ยวอะไรกันล่ะ? สำหรับฮองเฮาแล้ว นางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวนึงมาโดยตลอด แล้วทำไมหมากอย่างนางจะต้องจงรักภักดีกับคนที่หลอกใช้ประโยชน์จากตัวนางเช่นนี้ด้วยล่ะ?

อีกอย่าง สิ่งที่ฮองเฮาทำลงไปนั้น มีเรื่องไหนบางที่ทำให้นางไม่รู้สึกว่าอยากให้ฮองเฮาตายไปในเร็ววัน?

คิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เลือกสวมกระโปรงสีม่วงเข้ม ลวดลายก็ดูเป็นทางการและเคร่งขรึม ในเวลานี้หากนางยังสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูสดใส ก็จะทำให้คนที่เห็นรู้สึกได้ว่านางไม่เข้าใจความทุกข์ร้อนของราษฎร แม้แต่เครื่องประดับ นางก็ยังเลือกที่ดูเรียบง่าย ยิ่งใส่น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี

พอเข้าวังหลวงแล้ว แน่นอนว่านางย่อมเลือกเข้าไปถวายพระพรไทเฮาก่อน

ตอนที่ไปถึงนั้น ไทเฮากำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระ ถาวจวินหลันและคนอื่นต่างไม่กล้าเข้าไปรบกวน จึงรออยู่ข้างๆ จนกระทั่งไทเฮาสวดมนต์เสร็จแล้วลืมตาขึ้น ก็ทรงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ามากันแล้วรหรือ”

พวกนางทั้งหมดจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อถวายพระพรไทเฮา

ไทเฮาได้ถามเรื่องการเตรียมตัวไหว้บรรพบุรุษของแต่ละบ้าน จากนั้นก็ถอนใจ “ปีนี้ผลผลิตเก็บได้ไม่ดีเท่าปีที่ผ่านๆ มา แล้วยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน พวกเจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผีเร่ร่อนมากหน่อยก็แล้วกัน ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องของราชสำนัก แต่พวกเขาก็น่าสงสารนัก”

ที่ไทเฮาพูดถึงก็คือประชาชนที่ถูก ‘ขับไล่’ ออกไปนอกประตูเมือง … เรื่องนี้ ที่พูดออกไปก็คือการขับไล่ แต่ว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไรนั้น ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ

ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ ก็รีบพูดออกมาทันที “ข้าบริจาคเงินให้วัดไปแล้ว ทั้งยังให้พวกเขาทำพิธีให้วิญญาณเร่ร่อน เพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อนอย่างสงบ ไทเฮาวางพระทัยเถิดเพคะ”

ไทเฮาหยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้าจัดการได้ครบถ้วนดี”

คำพูดนี้ถือเป็นคำชมแล้ว แล้วไทเฮาก็พลันถามขึ้นอีกว่า “หลิวซื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”

ถาวจวินหลันชะงักกึก ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ไทเฮาถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเพราะมีความหมายอะไรหรือไม่ สักพักถึงได้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ก็ยังเหมือนเดิมเพคะ ดูแล้วไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น บางทีอาจเพราะป่วยมาเป็นเวลานาน อารมณ์ถึงยิ่งไม่ปกติมากขึ้นไปอีก”

“ตอนนี้คนในบ้านตระกูลหลิวก็เหลือไม่กี่คนแล้ว” ไทเฮาถอนใจ “บ้านตระกูลหลิวที่ในตอนแรกเห็นว่าพอใช้ได้ พริบตาเดียวก็ตกต่ำถึงเพียงนี้”

ถาวจวินหลันยิ่งไม่เข้าใจความหมายของไทเฮา ได้แต่พูดเสริมไป “ใช่เพคะ ใครจะคิดว่าจะเป็นแบบนี้”

“ตอนนี้เย่เอ๋อร์เป็นตวนชินอ๋อง หลิวซื่อที่เป็นพระชายาตวนชินอ๋องกลับป่วยอยู่อย่างนี้ ไม่สามารถจัดการเรื่องใหญ่ใดๆ ได้ ฮ่องเต้ก็ทรงมีความคิดอยากหาพระชายาคนใหม่ให้เย่เอ๋อร์เช่นกัน” ตอนที่ไทเฮาพูดออกมาก็จ้องถาวจวินหลันเอาไว้ไม่วางตา

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็อดเม้มปากแน่นไม่ได้ นางรักษาท่าทีเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน…นางให้ความสนใจกับคำที่ไทเฮาพูดออกมาว่า ‘เช่นกัน’ เช่นกันหมายความว่าอะไร? หมายความว่าคนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฮ่องเต้ บางทีไทเฮาเองก็ด้วย

ถาวจวินหลันเห็นว่าไทเฮารอคำตอบของนางอยู่ นางจึงทำได้แค่ฝืนยิ้ม อ้าปากจะพูดแล้วก็พบว่าตัวเองไม่มีทางพูดออกไปได้ว่านี่เป็นเรื่องดี คิดไปคิดมาแล้วนางจึงได้แต่ช่วยพูดแทนหลิวซื่อ “ถึงแม้ว่าพระชายาจะป่วยมานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรสาเหตุก็มาจากการมีลูกให้ท่านอ๋อง อีกทั้งก่อนที่พระชายาจะป่วย ก็ไม่ได้มีความผิดอะไร หากทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าดูจะไม่เหมาะสมเท่าไรเพคะ”

“ใช่ซี ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ แต่ยังมีวิธีไหนอีกบ้าง? ถึงอย่างไรจวนตวนชินอ๋องจะไม่มีนายหญิงต่อไปเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” ไทเฮายังคงมองมาทางถาวจวินหลัน

ถาวจวินหลันกัดฟันแน่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสั่นระริก

ไทเฮากำลังบังคับให้นางพูดสิ่งที่คิดอออกมา

นางคิดว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นไทเฮาจะแสดงท่าทีบีบบังคับนางเช่นนี้ได้อย่างไร? สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมแก่การหาพระชายาให้หลี่เย่ที่ไหนกัน?

สุดท้ายแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ฐานะของหม่อมฉัน จะตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

ตอนนี้องค์หญิงเก้าถึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นเพื่อให้บรรยากาศสงบลง “ไทเฮาเพคะ อยู่ๆ พูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไมกัน? อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่เหมาะจะพูดเรื่องเช่นนี้ แม้แต่เรื่องพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทยังต้องเลื่อนไปก่อน ถึงแม้ว่าไทเฮาจะทรงเมตตาต่อพี่รอง แต่จะลืมพี่ใหญ่ไม่ได้นะเพคะ”

องค์หญิงเก้าทั้งออดอ้อนและแกล้งบ่นอย่างไม่จริงจังนัก จึงทำให้บรรยากาศกลับมาอบอุ่นขึ้นทันที

องค์หญิงแปดเองก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาเช่นกัน “ไทเฮาเพคะ ซวนเอ๋อร์ยังรออยู่ข้างนอก ท่านลืมไปดูเขาแล้วหรือเพคะ?”

พอพูดถึงซวนเอ๋อร์ ท่าทีของไทเฮาก็ดูอ่อนโยนขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปด้านนอกเถิด” แล้วไทเฮาก็ไม่มีท่าทีเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป…ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นความฝัน หรือบางทีอาจเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมาเอง

ถาวจวินหลันเดินตามอยู่ข้างหลัง มือเท้าของนางเย็นเฉียบ แม้แต่เหงื่อที่ผุดออกมาก็ยังเย็นเฉียบเช่นกัน ในใจรู้สึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก

นางรู้ดีแก่ใจว่า ไทเฮาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย แล้วที่คิดเช่นนี้ ก็อาจมีสาเหตุอะไร

หลิวซื่อป่วยมานาน อีกทั้งยังทำเรื่องเช่นนี้ ไทเฮาจะไม่ชอบหลิวซื่อก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว หรือบางที ตอนแรกที่นางนำเรื่องหลิวซื่อที่ทำมาทูลไทเฮา ก็ควรเดาได้ว่าจะต้องมีวันนี้ในสักวัน

เพียงแต่ในตอนนี้ นางกลับคิดไม่ถึงว่า เรื่องวันนั้นกลับนำความไม่สบายใจมาให้นาง

ตอนนี้หลี่เย่เป็นตวนชินอ๋อง อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ บางทีไทเฮาคงอยากให้หลี่เย่แย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทมาให้ได้…ถึงขั้นว่าไทเฮารู้เรื่องแผนการของหลี่เย่มาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้จึงต้องการหาพ่อตาที่มีอำนาจมาหนุนหลังและสนับสนุนเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย

หากว่านางเป็นไทเฮา นางก็อาจคิดเช่นเดียวกัน

แต่ ในเมื่อรู้แล้วอย่างไร? ในใจของนางยังคงไม่เต็มใจให้หลี่เย่พาภรรยาอีกคนเข้ามาในเรือน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีพระชายาคนใหม่ เพียงแค่พูดถึงเพิ่มอนุเข้ามา นางก็ไม่เต็มใจทั้งนั้น

บางทีตอนที่เพิ่งเข้าจวนอ๋องมานางยังคิดว่าจะแกล้งทำเป็นใจกว้างได้ แต่ในตอนนี้ นางกลับไม่รู้สึกเต็มใจเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่อยู่ด้วยกันยิ่งนานขึ้น นางยิ่งไม่ยินดีที่จะแบ่งหลี่เย่ให้ใคร บางทีอาจด้วยหลี่เย่ให้ความรักแก่นางจนเคยตัว แต่จริงๆ แล้วในใจของนางก็รู้สึกเช่นนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนได้

จะบอกว่านางใจแคบก็ได้ จะบอกว่านางไม่รู้ความก็ได้ ตอนนี้คนที่นางสนใจที่สุดก็คือหลี่เย่ ส่วนเรื่องชื่อเสียงใดๆ นั้น นางกลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

ถึงขั้นว่านางยังรู้สึกกลัว…หากหลี่เย่ได้ยินเรื่องพวกนี้ เขาจะเลือกอย่างไร ถึงอย่างไรหากมีอำนาจของพ่อตาคอยช่วยเหลือก็มีประโยชน์ต่อเขาไม่น้อย ส่วนที่นางทำเพื่อเขาได้ กลับมีเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น

ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ นางยังกลัวว่าตัวเองจะคิดเรื่องไร้สาระอีก แต่ในครั้งนี้ถึงแม้นางจะรู้ แต่นางกลับหยุดคิดไม่ได้ ถึงอย่างไรนางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งรู้สึกระแวงและหวาดกลัว

เป็นเพราะเรื่องนี้ หลังจากนั้นไทเฮาพูดอะไรกับคนอื่น นางจึงไม่ได้ยินเลยแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งไทเฮารับสั่งให้พวกนางไปถวายพระพรฮองเฮา เป็นเพราะองค์หญิงเก้าแอบกระตุกแขนเสื้อนาง นางถึงได้รู้สึกตัว

หลังจากออกมาจากวังหย่งโซ่วแล้ว องค์หญิงเก้าถึงได้ปลอบใจนาง “ไทเฮาก็พูดไปเรื่อย ตอนนี้จะหาพระชายาให้พี่รองได้อย่างไร? อีกทั้งยังต้องหาวิธีจัดการด้านหลิวซื่อ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย ถึงแม้ว่าจะมีพระชายาใหม่จริงๆ แล้วจะยังสู้ท่านได้หรือ?”