บทที่ 422 คิดไม่ตก

บัลลังก์พญาหงส์

​องค์หญิงเก้าถูกคำพูดของถาวจวินหลันทำให้เป็นใบ้พูดไม่ออกทันที “หากตอนนี้ข้าหาผู้หญิงมาให้จิ้งผิงอีกคน เจ้าจะรู้สึกยินดีหรือไม่?”

องค์หญิงเก้าเงียบทันที สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมมากขึ้น มองมาทางถาวจวินหลัน จากนั้นก็ทำท่าทางลำบากใจ

ถาวจวินหลันโบกๆ มือ “แต่ข้าก็แค่พูดไปเท่านั้น จะทำเช่นนั้นจริงๆ ได้อย่างไร? เจ้าวางใจเถิด”

องค์หญิงเก้ายิ้มอย่างไม่สบายใจ ก้มหน้าแล้วไม่พูดอะไร

องค์หญิงแปดมองอยู่ข้างๆ แล้วก็ส่ายหัวเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่เตือนถาวจวินหลันว่า “อีกเดี๋ยวต้องเข้าเฝ้าฮองเฮา เจ้าจะทำท่าทางเช่นนี้ไม่ได้”

ถาวจวินหลันเองก็รู้ถึงข้อนี้ จึงรีบสงบสติอารมณ์

รอจนกระทั่งได้เข้าเฝ้าฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันกลับต้องลอบร้องตกใจ

นางคิดมาตลอดว่าฮองเฮาคงเสียใจมากที่ถูกกักบริเวณและถูกยึดอำนาจเช่นนี้ แต่นางกลับต้องแปลกใจ เพราะสิ่งที่นางเห็นไม่เหมือนกับที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย

ไม่ได้เจอฮองเฮามาสักระยะหนึ่ง เทียบกับเมื่อก่อนที่ดูโทรมและป่วยกระเสาะกระแสะ ฮองเฮาในตอนนี้ดูแล้วกลับมาแข็งแรงอีกครั้งแล้ว ไม่เพียงแต่ใบหน้าที่อวบอิ่มและมีสีเลือดฝาด แม้แต่ผมก็ดูเงางามขึ้นไม่น้อย ส่วนเรื่องท่าทีก็ไม่ต้องพูดแล้ว แววตามีความน่าเกรงขามที่อธิบายไม่ถูก

ถึงแม้ว่าจะไม่มีอำนาจแล้ว แต่ท่าทีของฮองเฮาก็ยังดูทรงอำนาจ ฮองเฮาก็ยังคงเป็นฮองเฮา ที่มีอำนาจไม่จำกัด เป็นมารดาของแผ่นดินที่สูงส่งและไม่มีใครเทียบได้

ถาวจวินหลันหลบสายตา หลุบตาลงต่ำเพื่อปกปิดอารมณ์ของตัวเอง ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยเกรงว่าคนอื่นจะมองเห็นท่าทีประหลาดใจที่เผลอแสดงออกมา จากนั้นก็เอ่ยถวายพระพรฮองเฮาพร้อมกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าด้วยเสียงอันดัง

ฮองเฮายิ้มและสั่งให้ทุกคนนั่งลง แต่ว่ารอยยิ้มนั้นไม่ดูอ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมา ในตอนนี้เวลาฮองเฮามองมาที่ถาวจวินหลันกลับมีความน่าเกรงขามและเย็นชา

ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนที่ฮองเฮาดื่มชามองไปที่ข้อมือของฮองเฮา…สร้อยข้อมือลูกประคำที่นางถวายให้นั้น ในตอนนี้กลับไม่ได้สวมใส่เอาไว้แล้ว นางเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ไม่แปลกที่สุขภาพของฮองเฮาจะฟื้นฟูกลับมาแข็งแรง เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง

แน่นอนว่า เมื่อไม่มีพิษคอยทำร้ายร่างกาย โดยปกติแล้วอาการป่วยของฮองเฮาก็จะทรงตัว โดยจะไม่ทรุดลงไปมากขึ้น แต่จากท่าทีของฮองเฮาในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงเท่านั้น

ฮองเฮาน่าจะรักษาอาการป่วยจนหายดีแล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่าฮองเฮารู้ถึงสาเหตุที่นางถูกพิษแล้วหรือไม่? แล้วรู้ความลับของสร้อยข้อมือลูกประคำนั้นแล้วหรือไม่?

ตอนแรกถาวจวินหลันยังมั่นใจมาก แต่ในตอนนี้…นางกลับไม่ได้รู้สึกมั่นใจเช่นนั้นแล้ว ถึงขั้นว่านางแอบรู้สึกว่า ฮองเฮาน่าจะรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว

ความคิดนี้ทำให้นางหวาดกลัว นางคิดว่า วันนี้เป็นอะไรไป? ทำไมหลายๆ เรื่องถึงไม่เป็นไปตามที่นางหวังไว้เลย?

แต่นางก็ได้แต่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจ และนั่งตัวตรง บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ และคอยพูดแทรกไปบ้าง เข้าร่วมในบรรยากาศที่เสแสร้งว่าพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนี้ได้เป็นอย่างดี

ยังดีที่ฮองเฮาดูเหมือนกับจะรังเกียจนางอย่างมาก จึงไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรนางหรือมองมาทางนางเลย นี่จึงทำให้ถาวจวินหลันค่อยๆ โล่งใจได้ แต่ก็ยังกระวนกระวายและไม่สบายใจ

ไม่ง่ายเลยกว่าจะอดทนจนถึงเวลาทูลลา ฉับพลันฮองเฮาก็หันมายิ้มอย่างแฝงนัยบางอย่างให้ถาวจวินหลัน

ตอนที่เผชิญหน้ากับรอยยิ้มนี้ หัวใจของถาวจวินหลันพลันก็เต้นแรง รู้สึกเหมือนมีคนโยนหินก้อนใหญ่ๆ มาลงไปในหัวใจของนาง กดจนนางหนักอึ้งรู้สึกไม่สบาย

รอยยิ้มของฮองเฮานั้น ทำให้นางไม่สบายใจอย่างมาก

หลังจากออกจากวังของฮองเฮามาแล้ว พอมีลมพัดมาปะทะกับตัวนาง ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่านางเหงื่อแตกไปทั้งตัว

องค์หญิงแปดดูเหมือนกับจะมองออก จึงถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรไปรึ?”

ถาวจวินหลันส่ายหัว “ไม่มีอะไร ใช่สิ เจ้ายังต้องไปหาอิงผินเหนียงเหนียงอีกใช่หรือไม่? เช่นนั้น ข้าขอกลับก่อนก็แล้วกัน””

องค์หญิงเก้าก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่สิ เช่นนั้นข้าก็ขอกลับก่อน ในจวนยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก”

จากนั้นองค์หญิงแปดก็แยกกับพวกนางทั้งสองคน

รอจนกระทั่งออกมาจากประตูวังหลวงแล้ว องค์หญิงเก้าถึงได้ตบๆ ตัวถาวจวินหลันเพื่อปลอบใจ “พี่หญิง ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจมากเกินไปเลย เรื่องเช่นนี้ ผู้หญิงอย่างเราทำอะไรมากไม่ได้ ท่านว่าจริงหรือไม่? ยังดีที่ท่านมีซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ไม่ว่าอย่างไรพี่รองก็ไม่มีทางทำไม่ดีกับท่านแน่นอน”

ถาวจวินหลันยังจะพูดอะไรได้อีก? นางรู้ดีว่าที่องค์หญิงเก้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง อีกทั้งองค์หญิงเก้าก็มีเจตนาดี แต่นางก็ไม่มีทางพูดเรื่องในใจกับองค์หญิงเก้าได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่ยิ้ม “ใช่สิ ถือว่ายังโชคดี”

รอจนกระทั่งขึ้นรถม้าเดินทางกลับจวนอ๋องแล้ว ถาวจวินหลันได้แต่นั่งครุ่นคิด ครั้งก่อนนางได้ขัดขวางไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้นางยังจะต้องใช้วิธีเช่นนั้นไปขัดขวางอีกหรือ? ไม่ ไม่เหมือนกัน คนที่ออกความคิดในครั้งก่อนคือฮองเฮา แต่ในครั้งนี้กลับเป็นไทเฮาและฮ่องเต้

ฮองเฮาต้องการหาคนมาให้หลี่เย่ แน่นอนว่าหลี่เย่จะต้องไม่ยินดี แต่ครั้งนี้กลับเป็นไทเฮาและฮ่องเต้ที่ต้องการหาบ้านภรรยาที่มีอำนาจสามารถหนุนหลังเขาได้ ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว

แม้แต่หลี่เย่เอง ไม่รู้ว่าหากรู้แล้วจะหวั่นไหวหรือไม่? ตอนนี้คังอ๋องได้เป็นองค์รัชทายาท อีกไม่นานก็จะย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้ว ถือว่าได้เป็นองค์รัชทายาทเต็มตัว หากหลี่เย่ต้องการล้มตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้ เห็นได้ชัดว่ายากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า หลี่เย่ในตอนนี้ ก็ถือว่าต้องการอำนาจจากตระกูลของภรรยาอย่างมาก

ถาวจวินหลันถึงขั้นอดใจไม่ได้ ในสมองของนางครุ่นคิดถึงหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ไทเฮาน่าจะพึงพอใจ

เห็นได้ชัดว่า ที่นางทำเช่นนี้ก็เป็นการหาความไม่สบายใจใส่ตัวเท่านั้น ยิ่งคิด ในใจของนางก็ยิ่งเป็นทุกข์ อึดอัดและเจ็บปวด

เนื่องจากซวนเอ๋อร์ยังอยู่ในวังหลวง จะกลับมาพร้อมกับหลี่เย่ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงนั่งอยู่บนรถม้าแค่คนเดียว แล้วก็ด้วยเหตุนี้ นางถึงได้ตกเข้าไปในเรื่องที่คิดไม่ตกเช่นนี้อย่างง่ายดาย

จริงๆ แล้วไทเฮาก็เพียงแค่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ถาวจวินหลันกลับทำเหมือนเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น

นางถึงขั้นลืมไปแล้ว ว่าเรื่องนี้อาจไม่มีทางเกิดขึ้นก็เป็นได้

เมื่ออารมณ์เป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันทำอะไรก็ไม่ได้ชื้นใจเลย หงหลัวเห็นท่าแล้วก็ไม่กล้าถามอะไรมาก ได้แต่แอบไปบอกชิงกูกู…ยามนี้มีเพียง่ต้องให้ชิงกูกูเป็นคนออกหน้าแล้ว

ชิงกูกูเห็นถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ ก็ร้อนใจทันที แต่กลับไม่ได้รีบร้อนถามถาวจวินหลัน แต่กลับหาเรื่องมาปรึกษากับถาวจวินหลัน แล้วค่อยๆ ให้ถาวจวินหลันพูดออกมาเอง

ในขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้น เจียงอวี้เหลียนก็ส่งคนมาบอกว่า “พระชายารองของพวกเราต้องการทำพิธีไหว้บรรพบุรุษและลอยกระทงในบ่อน้ำ ไม่ทราบว่าพระชายารองมีข้อขัดข้องใดๆ หรือไม่เจ้าคะ?”

เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องให้คนมาขออนุญาตนาง แต่เจียงอวี้เหลียนกลับส่งคนให้มาขออนุญาตโดยไม่รู้สึกวุ่นวายเช่นนี้

แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่มีข้อขัดข้องใดๆ อยู่แล้ว จึงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่มีข้อขัดข้องใดๆ เพียงแต่ให้คนที่เฝ้ายามตอนกลางคืนระวังหน่อย อย่าให้เปลวไฟลอยไปทั่ว เดี๋ยวจะเกิดอันตรายได้”

สาวใช้ผู้นั้นยิ้มแล้วรับคำ สุดท้ายยังพูดเสริมอีกว่า “ความคิดของพระชายารองเราก็คือ ถึงแม้สาวใช้และบ่าวในจวนจะขายตัวเองเข้ามารับใช้ แต่ถึงอย่างไรก็มีบรรพบุรุษและพ่อแม่เลี้ยงดูให้เติบโตมา ถึงอย่างไรบ่อน้ำในจวนก็ใหญ่นัก เช่นนั้นก็อนุญาตให้ทุกคนลอยกระทงและเผากระดาษด้วยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ชะงักไป จากนั้นก็สบตากับชิงกูกู สุดท้ายแล้วถึงพยักหน้าและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะแจกผลไม้และขนมให้ทุกคนอย่างละจานเพื่อใช้ไหว้บรรพบุรุษ เพียงแต่ไม่ว่าจะเผากระดาษหรือลอยกระทงก็ดี อย่าทำให้จวนอ๋องต้องเต็มไปด้วยควันไฟ หลังจากจบพิธีแล้วให้เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย”

แล้วสาวใช้ที่มาส่งข่าวก็กลับออกไป

รอยยิ้มของถาวจวินหลันหุบลงไป รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยกมือขึ้นมาและนวดๆ ที่หัวคิ้วของตัวเอง

ชิงกูกูเป็นคนตรงไปตรงมา จึงได้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นับวันพระชายารองเจียงชักจะเจ้ากี้เจ้าการใหญ่แล้ว”

ถาวจวินหลันหัวเราะแห้งๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจกลับรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก…วิธีของเจียงอวี้เหลียนนั้น ในตอนนี้ถือว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก เทียบกับในตอนแรกที่รู้จักแต่พยายามเอาใจหลี่เย่ ตอนนี้กลับรู้จักซื้อใจคนอื่นมาเป็นพวกแล้ว รู้จักขอบเขตดีโดยไม่ทำให้หลี่เย่รู้สึกรังเกียจอีก

แล้วยังมีเซิ่นเอ๋อร์…

ถาวจวินหลันไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนกำลังคิดจะทำอะไร

เจียงอวี้เหลียนจะต้องคิดว่ามีฐานะเทียบเท่ากับนางได้แล้ว ถึงอย่างไรต่างก็เป็นพระชายารอง อีกทั้งยังมีลูกชายด้วยกันทั้งคู่ ที่ต่างกันก็คือได้รับความโปรดปรานนจากหลี่เย่กับไม่ได้รับความโปรดปรานจากหลี่เย่ก็เท่านั้น

แต่หากจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ความโปรดปรานจากหลี่เย่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร อย่างเช่น สมมุติว่าหลี่เย่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต เช่นนั้นตอนแต่งตั้งฮองเฮา แน่นอนว่าไม่มีทางเอาความโปรดปรานมาตัดสินเลือกฮองเฮาเป็นแน่ หากทำเช่นนี้จริงๆ บรรดาขุนนางย่อมไม่มีทางเห็นด้วย แม้แต่หลี่เย่เองก็อาจถูกตราหน้าว่าโง่เขลาและมีชื่อเสียงที่ไม่ดีได้

นอกเหนือจากว่า นางอยากเป็นพระชายาที่ได้รับความโปรดปรานไปตลอดชีวิต เช่นนั้นก็ขอแค่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เท่านั้นก็เพียงพอ

จุดประสงค์ของเจียงอวี้เหลียนชัดเจนอย่างมาก…ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนต้องการฐานะและชื่อเสียง ไม่ได้ต้องการความโปรดปรานอีกต่อไป เช่นนี้ก็อธิบายได้ทุกอย่างแล้วมิใช่หรือ?

ชิงกูกูมองดูใบหน้ายากจะเข้าใจของถาวจวินหลันแล้ว ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “แต่ก็ไม่ต้องกลัวนางหรอก สุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ที่ใครนั้นก็ยังไม่รู้ ที่ท่านทำไปเมื่อครู่ ก็ไม่ใช่ว่าทำได้ดีเช่นกันหรือ?”

ถาวจวินหลันหัวเราะ ฉับพลันก็ถามชิงกูกูว่า “กูกู ท่านว่า หากท่านอ๋องทรงมีพระชายาคนใหม่ จะเป็นเช่นไร?”

คำถามนี้ทำให้ชิงกูกูตกใจจนชะงักไป แต่ว่าชิงกูกูก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก…จะต้องดูว่าพระชายาคนใหม่เป็นเช่นไร หากว่าเป็นคนดีมีความสามารถ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีต่อท่านอ๋อง…อีกทั้ง หากว่าตระกูลของนางมีอำนาจ ถึงแม้ว่าต่อไปจะช่วยเหลือท่านอ๋องได้ แต่ก็กดพวกท่านลงไปได้เช่นกัน”

ถึงอย่างไร หากแต่งเข้ามาจริงๆ ข้อแรกคือฐานะก็เทียบไม่ได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร พระชายารองจะเทียบกับพระชายาเอกได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าพระชายาเอกจะไม่มีลูก แต่ก็มีฐานะค้ำอยู่มิใช่หรือ? แล้วใครยังจะเทียบได้?

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับท่านอ๋องแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”

ชิงกูกูครุ่นคิดอยู่สักพัก รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ จึงลองถามไปว่า “หรือว่าท่านอ๋องจะรับพระชายาคนใหม่อีกคน? จะเป็นไปได้อย่างไร? หลิวซื่อก็ยังอยู่”

ถึงแม้ว่าหลิวซื่อจะป่วย แต่หากนางยังไม่ตาย เช่นนั้นนางก็ยังคงเป็นพระชายาตวนชินอ๋องอยู่มิใช่หรือ?