ส่วนที่ 3 ตอนที่ 47

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นกำลังร่ำไห้

ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าสาดส่องไปทั่วพื้นดิน อากาศดีอย่างหาได้ยาก ความเขียวชอุ่มพุ่มไสวปกคลุมเขาอวี้ซัน ไม่มีเมฆหมอกแม้แต่น้อย การออกกำลังกายยามเช้าในตอนเช้าจบลง นักเรียนของสำนักศึกษาหยิบชามข้าวไปกินในโรงอาหาร

 

เกือบทุกคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แน่นอนว่ายกเว้นหลายๆ ท่านนี้

 

หลี่ไท่ขยี้ขอบตาที่ดำคล้ำพลางกินโจ๊กไปหนึ่งคำและหาว กัดซาลาเปาไม่กี่คำด้วยความหมดอาลัยตายอยากแล้วก็กลับไปที่ห้อง เมื่อคืนนี้เสียงดังมากเขาแทบจะไม่ได้หลับเลยตลอดคืน การออกกำลังกายยามเช้าที่ต้องตื่นเช้าก็จำเป็นต้องทำ ถึงแม้หลิวเซี่ยนจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลเขา แต่เมื่ออยู่ที่นี่ก็เป็นผู้กำกับดูแลที่แท้จริงในมือมีอำนาจการลงโทษและให้รางวัลอย่างเต็มที่ หากอยู่ที่นี่แล้วเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่อให้กลับไปหาเสด็จพ่อก็คงไม่มีทางได้เอาคืน

 

ผู้ที่เป็นเช่นเดียวกับเขายังมีต้วนเหมิ่ง เมิ่งโหย่วถงและอีกหลายคน ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็อืดอาดยืดยาดไม่มีความกระตือรือร้นแม้แต่น้อย

 

หวงสู่มาที่โรงอาหารด้วยความกระชุ่มกระชวย เขาใช้ชามดินเผาขนาดใหญ่ใส่โจ๊กเต็มชามและใช้ผ้าห่อซาลาเปาสิบกว่าลูก เดินฮัมเพลงกลับบ้าน

 

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าพวกหลี่ไท่ ต้วนเหมิ่งและเมิ่งโหย่วถงยืนขวางทางอยู่ด้วยท่าทางอารมณ์เสีย

 

“วางโจ๊กไว้ตรงนั้นอย่าให้หกล่ะ” หลี่ไท่สั่ง

 

หวงสู่จึงวางโจ๊กไว้บนม้านั่งยาวที่อยู่ด้านข้างแต่โดยดีแล้ววางซาลาเปาลงด้วย จากนั้นจึงเข้ามาหาด้วยความระมัดระวัง

 

“นั่งยองๆ เอามือวางบนศีรษะ”

 

เมื่อทำตามคำสั่งของราชาปีศาจแล้ว รู้สึกเพียงว่ากำปั้นและเท้าลอยเข้าใส่ดั่งห่าพายุฝน หวงสู่ไม่กล้าที่จะต่อต้าน จึงได้แต่อดทนจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วหยุดมือไปเอง

 

หลี่ไท่เป็นคนที่มีเหตุผลมาก ลงมือเสร็จแล้วจึงบอกสาเหตุว่า “รู้ไหมว่าทำไมจึงตีเจ้า”

 

หวงสู่ที่จมูกเลือดไหลอยู่ส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าเขาไม่รู้

 

 “ให้ดิ้นตายสิ เจ้าจัดงานให้เสียงเบาๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร พวกข้าหลายคนนอนไม่หลับเลย เพราะเจ้าพวกเราถึงได้ทรมานทั้งคืน พวกเราพี่น้องต้องเบิ่งตาจนถึงรุ่งสางเป็นเพื่อนเจ้า หากไม่เห็นแก่ที่ว่าเมื่อคืนนี้เป็นงานแต่งงานเจ้า ยังจะรอจนถึงป่านนี้จึงค่อยลงมือซ้อมเจ้าหรือ” ต้วนเหมิ่งตะโกนบอกอย่างชัดเจนด้วยเสียงที่ดังมาก ทำให้นักเรียนออกมาห้อมล้อมหัวเราะเสียงดังทั่วโรงอาหาร

 

หวงสู่แทบจะรีบเอาศีรษะมุดเข้าหว่างขาอยู่แล้ว เบียดฝูงชนออกมาหยิบอาหารแล้วรีบวิ่งหนีออกไปอย่างไม่เหลือร่องรอย

 

อิงเหนียงกำลังเก็บกวาดห้องและเช็ดข้าวของต่างๆ ในบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่จุดเดียว เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ก็อายจนหน้าแดง การคุมกำเนิดมาห้าปีนั้น เมื่อปลดปล่อยออกมาในคืนที่ผ่านมาถึงกับเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้

 

นางชอบสภาพแวดล้อมนี้ ทุกคนดูไปแล้วต่างก็เป็นสุภาพชน ไม่เหมือนปกติที่เจอแต่พวกที่พูดหยาบคาย ทุกคนยิ้มให้นาง ล้วนเป็นรอยยิ้มที่จริงใจและอบอุ่น สามีบอกนางว่าทุกคนที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความรู้ แม้แต่นักพรตซุนซือเหมี่ยวก็ยังพำนักอยู่ที่นี่ ที่นี่มีเพียงแต่เทพเจ้าเท่านั้นจึงจะสามารถมาอยู่ได้ใช่หรือไม่

 

หวงสู่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด อิงเหนียงรีบรับกล่องอาหารแล้วถามเขาว่า “หกล้มหรือ หรือว่าถูกคนอื่นซ้อม”

 

หวงสู่ไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มหน้าลงในอ่างล้างคราบเลือดบนใบหน้าออก

 

อาการบาดเจ็บไม่หนัก หวงสู่รู้สึกได้ เพียงแค่โดนจมูกโดยไม่ตั้งใจจึงมีเลือดออก ขายหน้าจริงๆ เมื่อคืนตื่นเต้นมากไปหน่อย จึงลืมว่าที่นี่คือสำนักศึกษา ไม่ใช่หอนางโลมที่ตัวเองเที่ยวเตร่ได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร

 

“พวกเราไปคุยกับเขาเถอะ แม้จะเป็นลูกชายของตระกูลใหญ่ก็ไม่ควรรังแกผู้อื่น” นิสัยของหญิงแดนกวนจงนั้นแข็งกร้าวมาก อิงเหนียงเองก็เช่นกัน

 

ดึงอิงเหนียงกำลังหัวเสียอย่างมาก กระซิบว่า “งานเมื่อคืนนี้พวกเราสองคนทำเสียงดังมาก ทำให้คุณชายห้องข้างๆ นอนไม่หลับตลอดคืน เช้านี้จึงได้มาระบายโทสะใส่ข้า ไม่เป็นไร เราเป็นฝ่ายผิด”

 

อิงเหนียงหน้าแดงระเรื่อในพริบตา แต่เพียงชั่วครู่ก็อาการกำเริบอีก “แม้ว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายทำไม่ถูก พวกเขาก็ไม่ควรจะซ้อมเจ้า เจ้าดูสิ จมูกเป็นแผลแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขายิ่งใหญ่กว่านายอำเภอ บนโลกนี้ยังมีที่ที่ว่ากล่าวกันด้วยเหตุผลอีกหรือไม่”

 

หวงสู่ทั้งรู้สึกซาบซึ้งทั้งรู้สึกขำ จึงดึงอิงเหนียงไปที่หน้าต่าง แล้วชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยซึ่งเดินเล่นอยู่ด้านนอกแล้วบอกว่า “ท่านนั้นคือโหวเหยีย” จากนั้นชี้ไปที่หลี่ไท่ที่เพิ่งซ้อมเขาแล้วบอกว่า “คนที่ซ้อมข้าก็คือท่านนั้น บิดาเขาไม่ได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน…”

 

อวิ๋นเยี่ยมีอาการเซื่องซึมเล็กน้อย ชื่อเสียงของสำนักศึกษานั้นโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ เวลาเพียงครึ่งปี สำนักศึกษามีนักศึกษามากถึงหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคน เกือบทุกวันจะมีนักเรียนใหม่เข้าเรียน อาจารย์นั้นไม่เพียงพอ เขาไม่ต้องการรับเพิ่มเติมอย่างขอไปที หากทำเช่นนี้จะได้ใช้ที่ไหนกัน

 

แต่เดิมได้เจรจาไว้แล้ว รับลงทะเบียนปีละหนึ่งครั้ง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า แต่ละคนถือจดหมายมาหาอวิ๋นเยี่ย ก็ได้ จั่งซุนอู๋จี้บอกว่าลูกชายของเขาไปสนามรบ สำนักศึกษาจำเป็นจะต้องอนุญาตให้ลูกหลานคนอื่นของตระกูลจั่งซุนหนึ่งคนเข้าเรียนถึงจะถูก

 

ข้อนี้ปฏิเสธได้ยาก อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าของจั่งซุนชงบ้าง ด้วยเหตุนี้จั่งซุนเวินจึงได้มาที่สำนักศึกษา

 

ฝางเสวียนหลิงสั่งให้คนส่งเงินหนึ่งพันก้วนมาให้ โดยบอกว่าเป็นเงินที่ได้มาขณะที่ขออาศัยอวิ๋นโหวเดินทางมาด้วยเมื่อครั้งที่แล้ว นำมาใช้เพื่อการศึกษาจะดีกว่า แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของเสนาบดีท่านหนึ่งที่ห่วงใยประเทศและประชาชน เพียงแต่ว่าลูกตัวเล็กที่บ้านวันหนึ่งๆ ทำตัวสำมะเลเทเมาก็ทำให้เขาสุดจะทนแล้ว ถ้าหากว่า…

 

เอาเถอะ ความทุกข์ใจของเสนาบดีก็ควรต้องช่วยแบ่งเบาด้วย ด้วยเหตุนี้ฝางอี๋อ้ายจึงได้มาที่สำนักศึกษา เมื่อมองดูฝางอี๋อ้ายที่อายุเพียงสิบขวบที่อยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ทอดถอนใจจนด้วยคำพูด

 

ถ้าสองท่านนั้นอวิ๋นเยี่ยยังไม่สามารถปฏิเสธได้ แล้วเหล่าเหลียงซึ่งเป็นพี่น้องในกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายซึ่งเขียนรายงานทางทหารเพื่อขอกลับจากแนวหน้าโดยเฉพาะ เพื่อพาลูกๆ ของเพื่อนร่วมกองทัพอีกเจ็ดถึงแปดคนมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าจวนอวิ๋น ร้องขออวิ๋นโหวให้เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องร่วมรบด้วยกัน ให้โอกาสเด็กๆ ที่ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายของที่บ้านได้สร้างเนื้อสร้างตัว เช่นนี้แล้วจะให้อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธได้อย่างไร

 

ลูกผู้ชายอกสามศอกร้องไห้จนทำให้รู้สึกปวดใจ ช่างเถอะ! โบกมือให้แม่บ้านส่งเด็กๆ ไปที่สำนักศึกษา จากนั้นพาเหล่าเหลียงเข้าไปนั่งในบ้านแล้วถือโอกาสถามถึงสถานการณ์ทางการทหาร

 

เมื่อเอ่ยปากไปแล้วจะกลับคำก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันไป อวิ๋นเยี่ยทำการขานชื่อ เมื่อเริ่มเดือนใหม่เขาจึงพบว่าสำนักศึกษามีนักเรียนเกือบจะสองร้อยคนแล้ว

 

แล้วจะให้ฉันไปหาอาจารย์ที่มีความรู้ดี มีคุณธรรมสูงและถวายหัวในการสอนนักเรียนได้จากไหน

 

“จ่ายข้าสามพันก้วนแล้วจะหาอาจารย์ให้เจ้าห้าสิบคน” หลี่กังเคี้ยวแตงกวาที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่ ปากก็เคี้ยวเสียงดังกร๊วบๆ พลางใช้แตงกวาครึ่งท่อนชี้ไปที่อักษรขนาดใหญ่ประโยคนี้บนกระดานดำ กิริยาท่าทางเหมือนกับอวิ๋นเยี่ยมาก อีกทั้งท่าทีก็ยังดูดีอีกด้วย

 

สิ่งที่สำนักศึกษาไม่ขาดแคลนเลยก็คือเงิน ถ้านักเรียนใหม่ไม่จ่ายเงินหลักร้อยหรือหลักพันก้วนมีหรือจะกล้าเดินอยู่ในสำนักศึกษา ยกเว้นผียาจกของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย

 

ง่ายมาก ใบเบิกเงินสามพันก้วนก็ลอยขึ้นมาอยู่ต่อหน้าของหลี่กัง จากนั้นประสานมือและอวิ๋นเยี่ยก็จากไป สำหรับจะหาอย่างไร จะหาคนประเภทไหน หลี่กังรู้ดีกว่าตัวเขามากนัก

 

ตาเฒ่าตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งดูอายุอ่อนวัยลงเรื่อยๆ คาดว่าจะให้อยู่อีกสิบปีก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่นิสัยนับวันยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของนิสัยเด็ก เริ่มแรกก็งอแงว่าเขาต้องการคฤหาสน์ ต่อมาก็งอแงจะเอาเฟอร์นิเจอร์ ตอนนี้ถึงกับเอ่ยปากต้องการเงินแล้ว แต่ก็ตามใจเขา ขอเพียงแค่มีชีวิตอยู่ดีมีสุขเพื่อช่วยฉันดูแลสำนักศึกษาไว้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

 

รู้ว่าตาเฒ่ากลัว เขากลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะใช้เงินในมือไปทำสิ่งที่เขาไม่รู้เรื่อง ครั้งก่อนที่เขาได้ดูภาพแบบแปลนของสำนักศึกษาก็ทำเขาตกใจกลัวไปแล้ว เขากลัวว่าสำนักศึกษาจะเกิดข้อพิพาทกับทางการขึ้น ฐานะของเด็กที่ทยอยมาเข้าเรียน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีเงาของเหล่าอาจารย์อย่างพวกเขาอยู่เบื้องหลังนี่สิจึงจะเป็นเรื่องแปลก  ยอมที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเดือดร้อนด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้นักเรียนมาสร้างข้อจำกัดให้อวิ๋นเยี่ยให้ได้ ช่างมุมานะบากบั่นเสียจริง!

 

แบ่งชั้นเรียน! เด็กทุกคนที่เพิ่งเข้ามายังสำนักศึกษาให้จัดเป็นชั้นเรียนปีที่หนึ่ง จากนั้นให้ใช้การทดสอบแล้วแบ่งนักเรียนในสำนักศึกษาออกเป็นสามระดับชั้น โดยระดับสูงจะมีนักเรียนเพียงสิบสี่คน วิชาวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบัน เช่น ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เรขาคณิต ฯลฯ จะถ่ายทอดให้เพียงสิบสี่คนนี้เท่านั้น โดยที่สิบสี่คนนี้จะต้องหมุนเวียนกันไป สอนศาสตร์การคำนวณพื้นฐานให้กับนักเรียนระดับชั้นที่ต่ำกว่าด้วย

 

ด้วยเหตุนี้หลี่กังจึงพบว่า ในขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่นั้น อวิ๋นเยี่ยกลับยิ่งสุขสบายมากขึ้น

 

ในปีแห่งความอดอยาก แต่ละคนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย ในแดนกวนจงที่กว้างใหญ่เริ่มมีผู้ลี้ภัยเกิดขึ้น พวกเขาละทิ้งบ้านและที่ดินแห่กรูกันเข้าเมือง หวังว่าจะพอหาอะไรประทังชีวิตได้ ในเวลานี้เหล่าเกษตรกรไม่มีเสบียงอาหารสำรองให้พอเพียงต่อการกินมากกว่าสองปี การเก็บเกี่ยวที่รอคอยกลับถูกตั๊กแตนเต็มท้องฟ้าทำลายจนหมดสิ้น เมื่อที่นาไร้ซึ่งผลผลิตย่อมต้องไม่มีอาหารเลี้ยงปากท้อง ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่ไม่อยากนั่งรอความตายจึงฉวยโอกาสที่ครอบครัวยังพอมีเสบียงอยู่เล็กน้อย ทยอยย้ายถิ่นฐานไปยังหมู่บ้านอื่น

 

สิ่งที่แปลกคือไม่มีใครไปทางใต้ แม้ว่าแดนกวนจงจะประสบภัยไปทั่วทุกหัวระแหง พวกเขาก็เดินอย่างไร้จุดหมายวนเวียนอยู่ในกวนจงไม่ไปที่อื่น

 

ตอนนี้มีคนจำนวนมากในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น อุตสาหกรรมตั๊กแตนดึงดูดแรงงานว่างงานจำนวนมาก ไม่เพียงแต่ไม่พบคนว่างงานในหมู่บ้านตัวเอง แม้แต่ชาวบ้านหมู่บ้านข้างๆ ก็เข้ามาของานทำ สำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วไม่มีปฏิเสธผู้มาเยือน ขอเพียงมาทำงาน บ้างก็จ่ายเป็นเงิน บ้างก็จ่ายเป็นเสบียงอาหาร ไม่ปริปากอะไรเลย กองถุงใส่ตั๊กแตนป่นนับวันก็ยิ่งกองสูงขึ้นเรื่อยๆ

 

ภัยพิบัติตั๊กแตนผ่านไปและครอบครัวก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ข้าวสาลีในที่นาก็เก็บเกี่ยวไปแล้ว ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ มีเพียงหกส่วนเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ชาวบ้านก็มีความสุขเฉลิมฉลองกันเป็นเวลาหลายวัน

 

พวกเขานำเสบียงหนึ่งส่วนมาเพื่อจ่ายค่าเช่าที่ซึ่งผิดปกติ อวิ๋นเยี่ยจำได้ว่าเขาพูดว่าปีนี้ประสบภัยพิบัติไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ซึ่งนี่ก็เป็นความประสงค์ของราชสำนักเช่นกัน การกลับบ้านวันนี้ก็เพื่อจัดการกับเรื่องนี้

 

คนเหล่านี้ไม่ยอมพูดอะไรเลย อาหารที่ที่บ้านเตรียมไว้ให้ก็ไม่กิน เพียงแค่รอที่ประตูหลังเตรียมที่จะจ่ายค่าเช่าที่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมา ท่านตาซึ่งปีนี้อายุเก้าสิบปีที่แม้แต่พูดยังพูดไม่เป็นคำเลยมีคนช่วยพยุงลงจากเกวียนเทียมวัว เพียงแต่ด้วยอายุที่มากเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้อนรับด้วยฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง ด้วยอายุของเขาแม้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องถวายการคำนับ

 

พยายามฟังอยู่เป็นเวลานานจึงได้รู้ว่า ชาวบ้านคิดว่าภัยพิบัติในปีนี้ทุกคนต่างก็โชคร้าย ตระกูลอวิ๋นเองก็เช่นกัน ที่นาสามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงหกส่วนเท่านั้น ก็ควรต้องมีส่วนของตระกูลอวิ๋นหนึ่งส่วน นี่คือเหตุผล

 

เหตุผลที่ง่ายมาก แม้ว่าจะดูถูกคนโง่เหล่านี้จากหัวใจ แต่น้ำตากลับไหลริน นี่คือการที่เจ้าของที่วางกับดักทำร้ายชาวนาที่ไหนกัน นี่คือชาวนาวางกับดักทำร้ายเจ้าของที่ต่างหาก สวรรค์! หลี่ซื่อหมินได้ประหารเจ้าของที่ที่เก็บเช่าที่ในปีที่เกิดภัยพิบัติไปแล้วเจ็ดถึงแปดคน นี่หวังว่าจะให้ฉันโดนประหารหรือ หากเป็นเจ้าของที่และกระทำถึงขั้นนี้ ฟ้าดินคงต้องลงโทษแน่

 

เจ้าของที่โดยทั่วไป หากไม่แย่งของที่ตัวเองสนใจก็ฉวยโอกาสขายในราคาต่ำในปีที่เกิดภัยพิบัติ สรุปแล้วพอใจทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น เมื่อมาถึงฉันมีโอกาสเป็นเจ้าของที่ การเก็บค่าเช่าที่กลับมีความเสี่ยงโดนโทษประหาร

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยร้องไห้ ชาวบ้านก็ร้องไห้ตามด้วย ซุนซือเหมี่ยวที่เดินผ่านมาก็หัวเราะจนน้ำตาไหล ท่านย่าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

 

อวิ๋นเยี่ยหยิบอาหารที่ตระกูลอวิ๋นเตรียมไว้ขึ้นมา ฉีกขนมเปี๊ยะชิ้นโตแล้วก็กัดหนึ่งคำ พูดเสียงดังว่า “กินสิ นี่เป็นธรรมเนียม เมื่อมาจ่ายค่าเช่าที่ถึงถิ่น พวกเจ้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด เช่นนั้นก็ควรจะให้ตระกูลอวิ๋นได้ทำหน้าที่ของตัวเองด้วย เริ่มทานอาหาร” หลังจากพูดจบก็ส่งขนมเปี๊ยะที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งส่งให้กับผู้เฒ่า ผู้เฒ่าอ้าปากที่ไร้ฟันออกแรงกัดขนมเปี๊ยะ แม้กัดไม่ขาดก็ยังไม่ปล่อย พูดเสียงอื้ออึงในลำคอว่ามันเป็นขนมเปี๊ยะที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่เคยกินมา

 

ชาวบ้านรีบแห่กรูกันเข้าไปกินขนมเปี๊ยะ แม้แต่คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นก็แย่งกับพวกเขาด้วย เฉียนทงเช็ดน้ำตาจนแห้งและรวบรวมกำลังไว้ที่จุดตันเถียนตะโกนเสียงดังว่า “เก็บค่าเช่า!” ด้วยเสียงที่ลากยาว…