ตอนที่ 1113 ทำให้คนหวั่นใจ / ตอนที่ 1114 จัดการอย่างไร

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1113 ทำให้คนหวั่นใจ

 

 

เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนที่ควบคุมยากเฉกเช่นนาง เพื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของฉินเย่หานแล้ว!

 

 

หลังจากซูหลีใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

 

 

จวนจิ้งหนานอ๋องนี้ ดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหวที่พร้อมที่จะจู่โจมมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

ถึงได้สามารถคิดถึงเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ และใช้สตรีคนนี้แทรกแซงที่ข้างกายของฉินเย่หาน

 

 

สตรีนางนี้ไม่ได้ถวายตัวโดยตรง ทว่าใช้วิธีที่ล้อมไปล้อมมาเช่นนี้ปรากฏตัวต่อหน้าฉินเย่หาน

 

 

หากฉินเย่หานเป็นบุรุษที่ไม่แยแสสิ่งใด เพียงแค่ชื่นชอบนางที่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น และใช้หงหลัวคนนั้นมาเป็นตัวแทนแล้วละก็…

 

 

ครั้นซูหลีคิดถึงคำพูดที่อ่อนหวานของหงหลัวแล้ว ยังมีท่าทีงดงามอ่อนช้อย เป็นต้นแบบสตรีที่บุรุษเผด็จการชื่นชอบมากที่สุด!

 

 

ขอเพียงฉินเย่หานไม่ขับไสไล่ส่ง หากสตรีนางนี้เข้าไปในวัง เกรงว่าคงจะมีโอกาสได้รับการโปรดปรานจริงๆ!

 

 

หลังจากตริตรองอย่างชัดแจ้งแล้ว การหายใจของซูหลีพลันช้าลงเล็กน้อย จวนจิ้งหนานอ๋อง ช่างทำให้คนหวาดหวั่นยิ่งนัก อีกทั้งจุดประสงค์ที่กระทำเช่นนี้ ช่างทำให้คนเกิดความไม่สบายใจนัก

 

 

ทว่า…

 

 

หากเปรียบเทียบกันแล้ว คนเหล่านั้นยังไม่น่าหวาดหวั่นเท่ากับบุรุษตรงหน้า!

 

 

แม้อีกฝ่ายจะวางแผนไว้รอบคอบถึงเพียงใด เกรงว่าก็ไม่มีทางที่จะดำเนินการได้สำเร็จ

 

 

ในใจของซูหลีนั้นทราบดี แต่เกรงว่าเรื่องนี้หอหร่วนเซียงเป็นร้านเครื่องหอมมาก่อน แม้กระทั่งเรื่องสินสมรสของหวังเฟยของจิ้งหนานอ๋อง คาดว่าคงมีไม่กี่คนในเมืองหลวงที่รับรู้

 

 

เรื่องนี้จักต้องปกปิดไว้เป็นความลับที่สุด อีกทั้งจวนจิ้งหนานอ๋องออกจากเมืองหลวงไปหลายปี แน่นอนว่าจักต้องไม่มีรากฐานในเมืองหลวง!

 

 

แม้จะเป็นเช่นนั้นจริง ก็สามารถทำให้ฉินเย่หานตรวจสอบได้อยู่ดี

 

 

เขาไม่เพียงแต่รับรู้เรื่องนี้ อีกทั้งยังคงสุขุมเยือกเย็น

 

 

คนประเภทนี้ แผนการเช่นนี้ รู้สึกว่าจะน่ากลัวเกินไปหน่อย

 

 

“อย่างไรเจ้ากับฉินมู่ปิงก็สนิทสนมกันมาก” ซูหลีรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ กำลังครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ให้ปรุโปร่ง ขณะที่เตรียมจะเอ่ยบางอย่างออก กลับได้ยินคำพูดที่น่าตกใจเช่นนี้ของฉินเย่หานเสียก่อน

 

 

ซูหลีแทบจะหยุดหายใจ เกือบจะเป็นลมไปเสียแล้ว

 

 

สนิทสนม!

 

 

การเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆจากมุมมืดสามารถทำให้นางกินแทบไม่ได้ ยังเรียกว่าสนิทสนม!

 

 

นี่เป็นความตั้งใจของฮ่องเต้กระมัง

 

 

นางคิดเช่นนี้จึงเหลือบตาขึ้น ไม่คิดไม่ถึงว่าจะสบเข้ากับดวงตาเยียบเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆเข้าพอดี

 

 

ซูหลีชะงักค้างไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้หวนคิดถึงตัวอักษรตัวนั้นที่ฉินมู่ปิงเขียนบนโต๊ะในขณะที่อยู่ในหอหร่วนเซียง

 

 

ดังนั้นนั่นก็เป็นเพียงแผนการหนึ่งของจวนจิ้งหนานอ๋องเท่านั้นหรือ

 

 

นี่ก็กล่าวได้ว่า ฉินมู่ปิงทราบสถานการณ์ภายในจริงๆ ?

 

 

นางไม่อยากจะมั่นใจนัก ทว่าประเด็นนี้ เรื่องนี้มิอาจแพร่งพรายกับฉินเย่หานได้

 

 

“ฝ่าบาททรงเข้าใจกระหม่อมผิดไปแล้ว อย่างไรกระหม่อมกับซื่อจื่อก็รู้จักกันตอนที่อยู่ที่สำนักเต๋อซั่นเท่านั้น หากพูดเรื่องความสนิทสนม ยังสู้ความสนิทสนมของกระหม่อมกับเซี่ยอวี่เสียนไม่ได้!”

 

 

เงียบงัน

 

 

ซูหลี…

 

 

นางควรจะไปดูสมองของตนเองจริงๆ ปากของนางนี่นะ!

 

 

ปากของนางวันนี้เป็นอะไรไปแล้ว!?

 

 

ทำไมถึงได้ไม่มีหูรูดเช่นนี้!

 

 

ความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยอวี่เสียนอะไรนั่น นางแค่พูดกับฉินมู่ปิงเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น ครั้นเห็นท่าทางคล้ายกับจะกินเลือดกินเนื้อของฮ่องเต้ผู้ใจคอคับแคบ ยังจะว่ามีความสัมพันธ์อันดีได้อยู่อีกหรือ…

 

 

สีหน้าของฉินเย่หานดำคล้ำไปซีกหนึ่งโดยฉับพลัน

 

 

“เรากลับไม่รู้ เจ้าไปมีความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยอวี่เสียนตั้งแต่เมื่อไร” คำพูดประโยคนี้ เขากัดฟันพูดออกมาทีละคำ

 

 

ทั้งร่างของซูหลีพลันสั่นเทิ้ม แทบจะคุกเข่าให้แก่เขา!

 

 

“ฝะ ฝ่าบาท!” รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหลีดูแข็งทื่อเล็กน้อย นางพยายามคิดจะหาข้อแก้ตัวให้กับตนเอง นางชะงักค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นเพียงเอ่ยออกมาอย่างอัดอั้น

 

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างกระหม่อมกับเซี่ยอวี่เสียนก็แค่สหายคนสนิททั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็เทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างกระหม่อมกับพระองค์มิได้!”

 

 

ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของฉินเย่หานก็คลี่คลายลงไปหลายส่วน เขามองนางแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา ทว่าไม่มีกลิ่นอายความกดดันเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1114 จัดการอย่างไร

 

 

“วันนี้ไปที่หอหร่วนเซียง ที่เกิดเรื่องขึ้นนั้นมีเหตุมีผล อีกทั้งจางเหิงพูดจาไม่รื่นหูเกินไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงอดทนต่อไปไม่ไหว ฝ่าบาท เย่…”

 

 

ซูหลีดึงแขนเสื้อของเขา ฉีกยิ้มให้เขาอย่างออดอ้อน

 

 

คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มเพิ่งปรากฏบนริมฝีปาก จะทำให้รู้สึกประหนึ่งท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับ[1] กว่าซูหลีจะมีสติกลับมาก็ถูกกดลงบนเตียงเสียแล้ว

 

 

“เย่…อื้อ!”คำพูดที่จะเอ่ยต่อ นางกลับพูดอะไรออกมาไม่ได้ทั้งสิ้น

 

 

ฉินเย่หานในวันนี้ดุดันเป็นอย่างมาก คล้ายกับนำความโกรธที่มีทั้งหมดขณะที่อยู่ที่หอหร่วนเซียงระบายลงบนร่างของซูหลีมิปาน

 

 

ซูหลีทำได้แค่เพียงแบกรับไว้ ท่ามกลางพายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำสติของนางค่อยๆ เลือนรางลงไปเรื่อยๆ

 

 

“คราวหน้าห้ามใกล้ชิดฉินมู่ปิงจนเกินไป มิฉะนั้น คงจะไม่ง่ายดายเช่นนี้” ก่อนวินาทีที่นางจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไป พลันได้ยินคำพูดที่ฉินเย่หานเอ่ยออกมา

 

 

ใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก อยากที่จะพูดตอบ ทว่าเขากลับโจมตีที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ในค่ำคืนนี้เปลี่ยนเป็นการทรมานที่ยาวนานเป็นพิเศษ

 

 

ซูหลีไม่รู้ว่าตนหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ยามตื่นฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว แสงอาทิตย์ที่ทอแสงเข้ามาภายในตำหนักอวิ๋นซิน ทำให้อากาศทั้งตำหนักเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้น

 

 

“สกุลเซียว” ท่อนแขนใหญ่พาดอยู่ที่ช่วงเอวของนาง และกอดนางเอาไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นหนา

 

 

ซูหลีเพิ่งจะตื่นขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดสองคำนี้ สมองของนางยังมีความมึนงงอยู่บ้าง

 

 

ครั้นนางแหงนศีรษะขึ้นอย่างอ้ำอึ้ง ก็สบเข้ากับดวงตาที่ลึกลับดุจทะเลของฉินเย่หานพอดี

 

 

“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” เขามองนางอย่างล้ำลึก ทันทีที่พูดจบก็ปิดปากของซูหลีทันที

 

 

“อื้อๆ ๆ?” คำพูดที่ซูหลีต้องการพูดออกมากลับถูกกลืนลงคอ นางทำได้เพียงส่งเสียงร้องอย่างแผ่วเบาออกมาเท่านั้น และปล่อยให้เขาจุมพิตตามอำเภอใจ

 

 

 “เฮือก…” เมื่อจุมพิตครั้งนี้หยุดลง ซูหลีก็แทบจะสูดลมหายใจติดต่อกันแทบไม่ทัน นางหายใจเข้าอย่างร้อนรน ในดวงตาคู่นั้นยังมีประกายมีความสับสนพาดผ่าน

 

 

สรุปเมื่อครู่ฉินเย่หานได้พูดอะไรออกมาหรือไม่ หรือเป็นอาการหลอนของนางกันแน่

 

 

“ศาลต้าหลี่ตรวจสอบเรื่องของบิดาเจ้าเรียบร้อยแล้ว” ในขณะที่นางกำลังตื่นตระหนก บุรุษที่ทำให้นางหายใจแทบไม่ทันพลันเอ่ยพูดอีกครั้ง

 

 

ดวงตาของซูหลีเบิกกว้าง ในเวลานี้ความสับสนงงงวย หรือความอ่อนเพลียล้วนไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว

 

 

นางกระโดดขึ้นนั่งบนเตียงมังกรแล้วเอ่ย “ผลเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ฉินเย่หานที่อยู่ด้านหลังของนาง สายตาของเขาสอดส่องไปที่ร่างของนางอย่างตามอำเภอใจ

 

 

ยามที่ผิวของนางสัมผัสกับอากาศภายนอก ทำให้นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ทั้งร่างของซูหลีแข็งทื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ดึงสติกลับมา อยากที่จะใช้ผ้าห่มคลุมร่างของตนไว้อย่างมิดชิด กลับพบว่าปลายผ้าห่มถูกบุรุษผู้นั้นกำไว้ในมือ

 

 

อาศัยเรี่ยวแรงที่มีอันน้อยนิดของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขยับผ้าห่มผืนนั้นได้

 

 

ซูหลี…

 

 

ใครกันที่กล่าวว่าบุรุษผู้นี้ไม่เข้าใกล้อิสตรี ไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อสตรีทั้งสิ้น?

 

 

นี่เป็นคำพูดเหลวไหลทั้งเพหรือ!?

 

 

“พรึ่บ!” การแย่งชิงผ้าห่มหลายครั้งกลับไม่ได้ผล ซูหลีจึงไม่มีวิธีอื่นนอกจากปล่อยให้ฉินเย่หานใช้สายตานั้นมองที่ตน นางรู้สึกถึงความร้อนรุ่มจากทางด้านหลัง และไม่ได้สนในเรื่องอื่น ทั้งร่างของนางพลันเอนไปทางด้านหลังในชั่วพริบตาเดียว

 

 

และล้มลงบนเตียงนุ่ม

 

 

“ฝ่าบาท!” ซูหลีพลิกตัวไปมา และมุดออกจากผ้าห่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงมองฉินเย่หานอย่างเอาใจ

 

 

ดวงตาของฉินเย่หานล้ำลึก นัยน์ตาอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำที่ลุ่มลึกมิปาน และสามารถทำให้ทั้งร่างของซูหลีจมดิ่งลงไปอย่างง่ายดาย

 

 

“คดีของท่านพ่อ ท่านคิดจะจัดการอย่างไร” ซูหลีไม่มีเวลาใคร่ครวญมากนัก นางรีบเอ่ยถามคำถามที่ตนสงสัยออกมา

 

 

ทันทีที่พูดจบจึงมองไปทางฉินเย่หานที่จ้องนางตาไม่กะพริบ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับ เป็นสำนวน หมายถึง อาการวิงเวียนศีรษะมากๆจนมองอะไร