ตอนที่ 1115 ต้องดูความประพฤติของเจ้า / ตอนที่ 1116 ผู้ที่ติดสอยห้อยตาม

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1115 ต้องดูความประพฤติของเจ้า

 

 

“เดือนหน้า เราจะไปที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหลบหนาว” ทว่าซูหลีรอคอยอยู่นาน กลับได้รับคำตอบเช่นนี้แทน

 

 

นางตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร

 

 

เกี่ยวอะไรกับการไปตำหนักนอกเมืองกัน?

 

 

พวกเขากำลังพูดเรื่องคดีของท่านพ่ออยู่มิใช่หรือ

 

 

“ต้องดูความประพฤติของเจ้า” หลังจากฉินเย่หานมองนางอย่างลึกล้ำ พลันตลบผ้าห่มจนเปิดออกกะทันหัน จากนั้นลุกขึ้นยืน

 

 

ซูหลีมองเขายืนขึ้นอย่างตกตะลึงจนตาค้าง จากนั้นจึงเรียกขันทีผู้น้อยไม่กี่คนเข้ามาเปลี่ยนชุดลายมังกรให้แก่เขา

 

 

สมองของซูหลียังคิดตามคำพูดของฉินเย่หานไม่ทัน

 

 

ดังนั้นฉินเย่หานต้องการให้นางไปกับเขาหรือ? หรือยังมีความหมายอื่น?

 

 

“ฝ่าบาท!” นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ฉินเย่หานเห็นนางลุกขึ้นอย่างกะทันหัน สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที ดีที่ครั้งนี้ซูหลีคลุมร่างกายของตนไว้อย่างมิดชิด มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมาด้านนอกเท่านั้น

 

 

ฉินเย่หานเห็นดังนั้น สีหน้าพลันอุ่นลงไปหลายส่วน

 

 

“ฝ่าบาททรงวางแผนไว้อย่างไร พูดกับกระหม่อมเสียหน่อยเถิด ให้กระหม่อมได้เตรียมใจไว้บ้างพ่ะย่ะค่ะ” เขาปรายตามองไปทางนาง จึงพบกับนางที่กำลังเปิดปากพูดและยิ้มทึ่มทื่อให้แก่ตน

 

 

ในดวงตาของฉินเย่หานมีประกายความมืดหม่นพาดผ่าน ทว่าเขากลับไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองนางด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

ซูหลีถูกใจเขามากเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งโหยง นางรู้สึกว่า ยามที่ใบหน้าฉินเย่หานไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆนั้นดีกว่ายามนี้ รอยยิ้มเช่นนี้กลับให้ความรู้สึกหนาววูบวาบที่สันหลัง

 

 

“ราชกิจยามเช้าอย่าเข้าสาย” ครั้นพูดทิ้งท้ายจบ ฉินเย่หานจึงหมุนกายเดินออกไป

 

 

ซูหลี…

 

 

อุปนิสัยของฮ่องเต้พระองค์นี้นับวันยิ่งประหลาด เอาเปรียบนางเสร็จก็กลับทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้ จากนั้นก็เดินออกไป

 

 

เช่นนั้นนางควรทำอย่างไรดี มิใช่กล่าวว่าผลของคดีของซูไท่ออกมาวันนี้หรือ

 

 

โอ๊ย! ฮ่องเต้ใจแคบที่สมควรตาย นางคิดว่าเขาจะหายโกรธแล้วเสียอีก! คิดไม่ถึงว่าเขาไม่แสดงออกทางสีหน้า หันกลับไปอีกทีก็สร้างปัญหายุ่งยากเช่นนี้ให้นางเสียแล้ว!

 

 

“โอ๊ย!” ซูหลีขยุ้มผมของตนเองจนยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

 

 

 

 

ประชุมราชกิจยามเช้า ซูหลีดูปราดเปรียวมากในวันนี้ ยืนอยู่ด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อ ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่มีโดยไม่พูดแทรกและไม่พูดอะไรออกมามากเกินไป เพียงตั้งใจฟังคำพูดของคนรอบข้าง

 

 

“…บัดนี้ทั้งแว่นแคว้นสงบ ประชาร่มเย็น กระหม่อมคิดว่า เรื่องที่จะทรงเสด็จประพาสที่ตำหนักน้ำพุร้อนเพื่อหลบหนาว เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทขึ้นครองราชสมบัติทรงปฏิบัติงานราชการอย่างอุตสาหะและรักราษฎรมาโดยตลอด…”

 

 

เรื่องที่เสด็จประพาสที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหลบหนาว ขุนนางมากกว่าครึ่งล้วนตัดสินใจเช่นนี้

 

 

ผู้ที่ติดตามมาด้วยช่วยทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างรัดกุม ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนของการเสด็จประพาสในครั้งนี้ ล้วนมีขุนนางแต่ละฝ่ายที่ยังประจำการอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น

 

 

ทว่าซูหลีคิดไม่ถึงว่า เรื่องที่จะไปตำหนักน้ำพุร้อนเพื่อหลบหนาว เป็นฉินเย่หานที่เสนอเรื่องนี้ออกมา เอ่ยว่าหลายปีมานี้สุขภาพของไทเฮาเหนียงเหนียงทรงมิค่อยดีนัก ทรงประทับอยู่ในวังหลวงนั้นไม่มีผลดีต่อพระวรกายของพระองค์สักเท่าไร

 

 

ดังนั้นจึงตัดสินใจนำไทเฮาเหนียงเหนียงไปพระทับที่ตำหนักน้ำพุร้อนด้วยเป็นเวลาหนึ่งเดือน

 

 

ทันทีที่ข้อเสนอนี้ถูกเอ่ยออกมา คนทั้งท้องพระโรงต่างชื่นชม ล้วนเอ่ยว่าฝ่าบาททรงมีความกตัญญูกตเวที อีกทั้งเป็นความโชคดีของแว่นแคว้นโดยแท้

 

 

ซูหลีเบะปากไปมา ความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้จะดีเช่นนี้จริงหรือ

 

 

แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีเป็นแม่ลูก แต่ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะยึดถือกับคำเพียงไม่กี่คำนี้อย่างถึงที่สุด!

 

 

เมื่อตัดสินใจว่าจะออกจากวัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคัดเลือกผู้ที่จะติดตามไปด้วย คนของวังหลังที่จะติดตามไปด้วยยังไม่ต้องพูดถึง แต่ในเขตพระราชวังฝ่ายหน้าจำเป็นต้องมีผู้ที่ติดตามไปด้วย

 

 

ผู้ที่กำหนดว่าจะต้องไปด้วย อย่างน้อยก็มีเซ่าฟูจี้เหิงหราน

 

 

“กระหม่อมน้อบรับบัญชา” จี้เหิงหรานลุกขึ้นยืนขานรับคำสั่งที่ถ่ายทอดมา

 

 

ครั้นซูหลีเห็นเงาร่างของจี้เหิงหราน ดวงตาจึงเคร่งขรึมลงเล็กน้อย นางพลันฉุกคิดถึงคำพูดที่ฉินมู่ปิงเอ่ยเมื่อวานนี้ ยังมี…ตัวอักษรที่เขียนไว้

 

 

ตัวอักษรตัวนั้นก็คือ ตัวอักษรจี้ ในชื่อของจี้เหิงหราน!

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1116 ผู้ที่ติดสอยห้อยตาม

 

 

“ข้างพระวรกายฝ่าบาทจักมีเพียงใต้เท้าจี้คนเดียว เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง!” ฉินเฮ่าพลันส่งเสียงขึ้นทันใด ทำให้ซูหลีที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดดึงสติกลับมา

 

 

นางละสายตาออกจากจี้เหิงหรานไปที่ฉินเฮ่าที่อยู่ด้านข้าง

 

 

จิ้งหนานอ๋องท่านนี้เข้ามาในเมืองหลวงร่วมครึ่งปีแล้ว ยามอยู่ในท้องพระโรงคล้ายกับคนล่องหนมิปาน ทว่าในเวลานี้กลับเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้จริงๆ

 

 

“เสด็จพี่มีข้อเสนออย่างไร” ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนกวาดตามองเขาปราดหนึ่ง น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย

 

 

“เรื่องที่ฝ่าบาทเสด็จไปภายนอกถือว่าเป็นเรื่องอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะเสด็จนานถึงหนึ่งเดือน กระหม่อมคิดว่าควรจะนำกำลังคนไปมากกว่านี้ถึงจะถูก นี่ถึงจะสามารถวางใจได้”

 

 

คำพูดของฉินเฮ่าฟังดูรื่นหูเป็นอย่างมาก อีกทั้งเขายังสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน นั่นก็คือต้องการให้มีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้น ทว่าเขากลับไม่ไป

 

 

ไม่ใช่พูดว่า ‘กระหม่อมคอยเฝ้าระวังอยู่ที่เมืองหลวง’ หรือ

 

 

มีประกายล้ำลึกพาดผ่านในดวงตาของซูหลี ทว่านางกลับยิ้มไม่พูดอะไร

 

 

“กระหม่อมรู้สึกว่า ให้ใต้เท้าซูเป็นผู้ติดตามอีกคนก็ไม่เลว” ทางด้านนางที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ขณะที่กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่มากมาย คิดไม่ถึงว่าคำพูดของฉินเฮ่าจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ เสนอให้นางไปกับฉินเย่หาน

 

 

ซูหลีตะลึงไปเล็กน้อย พลันแหงนศีรษะขึ้นมาก็พบกับฉินเฮ่าที่กำลังมองนางอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าดูแปลกประหลาดนัก

 

 

จิ้งหนานอ๋องท่านนี้กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่

 

 

“ไม่ได้!” ทันทีที่เอ่ยชื่อของซูหลี คนที่พรวดพราดออกมาโต้แย้งก็คงจะมีแค่คนของสกุลเซียวเท่านั้น

 

 

เซียวเก๋อเหล่ามีสีหน้าที่เยียบเย็น จากนั้นเดินออกมาแล้วเอ่ย “ใต้เท้าซูอายุน้อยเกินไป กระทำเรื่องยังไม่รู้จักน้ำหนักพอดี ผู้ที่จะติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทจักต้องผ่านการฝึกฝนมาแล้วอย่างดี การที่จะส่งใต้เท้าซูออกไปเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม!”

 

 

คำพูดของเขานั้น แทบจะพูดออกมาว่าซูหลีพึ่งพาไม่ได้

 

 

พรวด!

 

 

ในใจของซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมา ทั้งสองคนนี้เกรงว่าในใจคงมีความหวังดีอะไร

 

 

เซียวเก๋อเหล่านั้นไม่ต้องพูดถึง เดิมมีความขัดแย้งกับนางตลอดอยู่แล้ว เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ขอเพียงเรื่องทุกเรื่องมีความเกี่ยวข้องกับนาง เขาจะต้องออกมาโต้แย้งสักคำรบหนึ่ง ยิ่งเป็นจิ้งหนานอ๋องท่านนั้น เดิมการปฏิบัติตนของเขาที่มีต่อนางนั้นแฝงไปด้วยเจตนาร้าย

 

 

ครานี้จะนำเรื่องสำคัญอย่างเรื่องการติดตามฝ่าบาทมอบหมายให้แก่นาง

 

 

ไม่รู้ว่ามีลับลมคมในอะไรซ่อนเร้นอยู่!

 

 

“ที่ท่านอ๋องทรงตรัสมานั้นถือว่าเป็นเหตุผล ทว่าในเมื่อใต้เท้าจะติดตามไปด้วย กระหม่อมคิคว่าจิ้งหนานอ๋องซื่อจื่อก็สามารถติดตามไปด้วย!” สองคนนั้นยังไม่ได้พูดเหตุผลของตนออกมา ก็มีอีกคนพูดขึ้นมาอีก

 

 

คนผู้นั้นก็คือคนที่เพิ่งจะกำหนดให้ติดสอยห้อยตามฉินเย่หานไปอย่างจี้เหิงหราน

 

 

จี้เหิงหรานโผงผางมาออกมาเช่นนี้มิพอ ยังเสนอชื่อคนที่ทุกคนคิดไม่ถึง

 

 

ฉินมู่ปิง!?

 

 

นี่ยิ่งไม่เหมาะสมกระมัง

 

 

พาซูหลีไปด้วย อย่างซูหลีก็มีความเฉลียวฉลาดหลายส่วน อีกทั้งจะพูดอย่างไรก็เป็นขุนนางของราชสำนัก หากติดตามไปด้วยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลอยู่

 

 

ทว่าพาฉินมู่ปิงคนนั้นไปด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน

 

 

การเสด็จไปตำหนักนอกเมืองก็ต้องมีการอภิปรายการบริหารแผ่นดิน ซื่อจื่อเจ้าสำราญคนนั้นจะสามารถเข้ามาการอภิปรายการบริหารแผ่นดินด้วยจริงหรือ

 

 

ฉินเฮ่าคิดไม่ถึงว่าจี้เหิงหรานจะเสนอชื่อของฉินมู่ปิงเช่นนี้ เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

 

 

“เคร้งคร้าง!” เขาขยับเก้าอี้รถเข็นของตนออกมาจากคณะขุนนางที่นั่งอยู่แล้วเอ่ย

 

 

“ฝ่าบาท! มิได้! ปิงเอ๋อร์นั้นยังไม่รู้ความ การเดินทางในครั้งนี้จะพาเขาไปด้วยได้อย่างไร นี่มิยิ่งทำให้วุ่นวายมากกว่าเดิมหรือ!?”

 

 

“คำพูดของท่านอ๋องนั้นมิถูกเท่าไรนัก ไม่ว่าซื่อจื่อจะเป็นอย่างไร เขาก็เป็นสายเรื่องของราชนิสกุล ครานี้ถือว่าเป็นโอกาสมีอันดีในการฝึกฝน ให้ซื่อจื่อติดตามไปด้วยกัน มิแน่หลังจากที่กลับมา ซื่อจื่ออาจจะรู้ความมากขึ้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

จี้เหิงหรานฉีกยิ้มบาง พูดด้วยเหตุด้วยผลเกินจะเปรียบได้