ตอนที่ 1117 เรื่องของซูไท่
ซูหลีพยายามเก็บรายละเอียดของบทสนทนาของทั้งสองคนนี้ไว้ในสายตา
หากเป็นเมื่อก่อน คงจะไม่มีกระแสอะไรเกิดขึ้นในใจ ทว่าหลังจากที่ได้คุยกับฉินมู่ปิงเมื่อวานนี้ กลับทำให้นางต้องคิดหนักอย่างไม่รู้ตัว
จี้เหิงหรานกับจวนจิ้งหนานอ๋องปะทะกันอย่างดุเดือดขนาดนี้
จะเป็นเพราะเรื่องในวันนี้เท่านั้นหรือ หรือเดิมพวกเขามีเรื่องบาดหมางใจกันอยู่แล้ว พวกจวนจิ้งหนานอ๋องคิดจะยืมมือนางเพื่อจัดการกับจี้เหิงหรานหรือ
สกุลจี้นั้นไม่เหมือนกับสกุลเซียวและสกุลไป๋ จี้เหิงหรานคนนี้ แม้ซูหลีจะไม่ค่อยชอบพอเขาสักเท่าไร ทว่านางทราบดีว่าเขาเป็นคนสนิทของฉินเย่หาน
อะไรที่เรียกว่าคนสนิท นั่นก็คือคนที่ฉินเย่หานไว้ใจมากที่สุด
เพราะเหตุนี้ซูหลีจึงไม่อาจยืนยันได้ว่า คำพูดที่ฉินมู่ปิงกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือเพื่อต้องการหลอกลวงนาง?
“…ซื่อจื่อก็อายุมิน้อยแล้ว กระหม่อมคิดว่า ครานี้ถือเป็นโอกาสขัดเกลาคน ภายนอกมิอาจเทียบได้กับภายในวัง นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีต่อซื่อจื่อและฝ่าบาทไม่ว่าจะทางด้านใด ท่านอ๋องก็มิควรปฏิเสธถึงจะถูก!”
ทางด้านนั้นยังคงโต้เถียงกันเรื่องฉินมู่ปิงจะติดตามไปยังตำหนักนอกเมืองหลวงหรือไม่ ทว่าเห็นได้ชัดเจนว่าจี้เหิงหรานได้เปรียบแล้ว
จี้เหิงหรานคนนี้เดิมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดนัก ทันทีที่เขาพูดออกมาก็ประหนึ่งกับสายฟ้าฟาดลงมามิปาน ทำให้คนยากที่จะโต้แย้ง
ซูหลีนั้นพิจารณาแล้วสรุปได้ว่าตนมิใช่คนที่ควรจะต่อกรกับเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่พูดอะไรอย่างจิ้งหนานอ๋อง
“ใช่แล้ว เสด็จพี่มิใช่คิดมากอยู่ตลอดหรือ กลัวว่าหลานจะเดินไปทางที่ผิด นี่ถือเป็นโอกาสอันดี ติดตามอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดนี่นา” แม้แต่ฉินม่อโจวที่ไม่ค่อยสนใจทางโลกยังเอ่ยกำชับอีกประโยค
ดูเหมือนว่าการที่ให้ฉินมู่ปิงติดตามไปจะกลายเป็นเรื่องจำเป็นเสียแล้ว
ครั้นซูหลีคิดเช่นนี้จึงชำเลืองเห็นฉินเฮ่าชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง เหมือนกับในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เอ่ยขึ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้ปิงเอ๋อร์ติดตามฝ่าบาทไปด้วยเถิด หากเขาทำอะไรผิดพลาด ฝ่าบาทก็ทรงสั่งสอนเขาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ถือเป็นการดีในการสั่งสอนเขาให้ระยะยาว!”
ฉินเฮ่าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาอ่อนโยนต่อบุตรมาก สุดท้ายก็ยินยอมอย่างง่ายดาย ทว่าดวงตาของซูหลีเหลือบไปเห็นมือเขาที่กำอยู่ที่รถเข็นอย่างแน่นหนา สีหน้าก็มีความตึงเครียดอย่างบอกไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ต้องการให้ฉินมู่ปิงไปด้วย
นี่ช่างน่าสนใจนัก ไม่อยากให้ฉินมู่ปิงไปแต่ต้องการให้นางติดตามไปด้วย จิ้งหนานอ๋องท่านนี้ต้องการจะกระทำสิ่งใดกันแน่
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” แค่เรื่องของการเสด็จไปตำหนักนอกเมืองหลวงก็ใช้เวลาทั้งช่วงเช้าแล้ว ขุนนางจากศาลต้าหลี่ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างรู้สึกร้อนใจอยู่ภายใน
และในที่สุดก็หาเวลาว่างนี้ได้ จากนั้นเขาจึงรีบเดินออกมา
“พูด”
“คดีที่ราชเลขากรมขุนนางซูไท่รับสินบนที่ศาลต้าหลี่ดูแลอยู่ มีผลการตรวจสอบออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางคนนั้นได้ยินดังนั้น จึงรีบนำสิ่งที่ตนต้องการจะพูด พูดออกมาในคราเดียว
ทันทีเขาพูดจบ ทั้งตำหนักอวิ๋นซินจึงตกอยู่ในความเงียบงัน คนจำนวนไม่น้อยมองไปทางซูหลีตามจิตใต้สำนึก
ซูไท่เป็นบิดาของซูหลี แม้จะกล่าวว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นทะแม่ง ๆ ทว่าอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่อาจตัดเยื่อใยกันได้!
จะสามารถแยกทางกันอย่างง่ายดายได้อย่างไร
แต่ก็ไม่รู้ว่า ครานี้ซูหลีจะสามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้รึเปล่า
“นี่คือคำให้การจากผู้ตรวจการพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร” ขุนนางของศาลต้าหลี่นั้นเตรียมคำให้การไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงมอบให้กับขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นขันทีผู้นั้นจึงมอบให้แก่ฉินเย่หาน
ในช่วงเวลานี้ภายในตำหนักนั้นเงียบเชียบมาก มีเพียงเสียงฉินเย่หานเปิดหนังสือคำให้การเท่านั้น
“ผู้ตรวจการกล่าวว่า ตนนั้นมิรู้จักกับใต้เท้าซูพ่ะย่ะค่ะ! ทว่า…”
ตอนที่ 1118 หมั้นหมาย!
ขุนนางของศาลต้าหลี่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าถึงได้มีความลังเลใจ
“ใต้เท้ามีอะไรก็สู้พูดออกมาตามตรงเสียดีกว่า อย่างไรที่นี่ก็คือท้องพระโรง ใครก็ไม่สามารถข่มขู่ใต้เท้าได้” เซียวเก๋อเหล่าที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขานั้นสูงแหลมและยังมีความนัยแปลกประหลาดในคำพูด
ซูหลีได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางเย็นชาลงอย่างฉับพลัน
นี่คือการบอกให้รู้เป็นนัยว่านางข่มขู่ขุนนางคนนั้นหรือ?
นางยังไม่คิดที่จะกระทำเรื่องแบบนี้ ศาลต้าหลี่กำลังตรวจสอบเรื่องของซูไท่มาโดยตลอด เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย นางไม่แม้แต่จะย่างกรายไปที่ประตูของศาลต้าหลี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการข่มขู่ขุนนาง
“…ทว่าคนผู้นั้นกล่าวว่า แม้เขาจะไม่เคยไปมาหาสู่กับใต้เท้าซู ทว่าก็ให้ภรรยาของตนกับภรรยาของใต้เท้าซูติดต่อกันมาก่อน! เรื่องนี้กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อขุนนางผู้นี้โค้งตัวและเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนที่อยู่ด้านล่างต่างมีความรู้สึกแตกต่างกันไป
ฟังดูแล้วเหมือนว่า ซูไท่ถูกคนของตนทรยศหรือ?
ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวแล้วว่าไม่รู้จักเขา ทว่ากับเคยไปมาหาสู่กับภรรยาของเขา นี่มัน…
“ภรรยาคนไหนกัน” หลังจากซูหลีได้ยินคำพูด จึงเอ่ยประโยคแรกของวันนี้ออกมา
“ใต้เท้าซู ใต้เท้าท่านยังพูดไม่จบ เจ้าก็พูดจาโผงผางขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งความอดทนเสียแล้ว เกรงว่านี่จะไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง” เซียวเก๋อเหล่าชำเลืองมองซูหลีที่มีอากัปกิริยาเช่นนี้ จึงพูดประชดประชันด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
ใครจะรู้ว่า ซูหลีไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาสักปราด เพียงจ้องมองขุนนางที่กำลังพูดอยู่
ขุนนางคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย ครั้นเหลือบตาก็พบว่าฉินเย่หานไม่ได้ขัดจังหวะเขาเลยแม้แต่นาง จากนั้นจึงนำคำไต่สวนพูดออกมา
“ภรรยาของซูไท่คือหลี่ซื่อ ยังมีบุตรี ซูเนี่ยนเอ๋อร์!”
ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดนี้จึงแสยะยิ้มขึ้นมาทันใด นางทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ซูไท่แฝงกายอยู่ในสนามขุนนางอยู่หลายปีและไม่ได้เลอะเลือน ไม่มีทางตัดอนาคตขุนนางของตนเอง เพราะเงินจำนวนน้อยนิดนี่ ทว่าหากเป็นคนอื่น…เรื่องนั้นนางก็ไม่แน่ใจแล้ว
นางเคยคิดแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนสกุลซู ไม่คิดว่าจะสองแม่ลูกนั่นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง
สรุปแล้ว อย่างไรก็เป็นเพราะซูไท่มีความเมตตามากเกินไป ถึงได้ให้โอกาสสองแม่ลูกนี้อยู่ตลอด ทำให้ทั้งสองคนก่อเรื่องวุ่นวายอันใหญ่หลวงเช่นนี้ขึ้น
“ขุนนางที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ยอมรับแล้วว่า ภรรยาของเขาต้อนรับซูฮูหยินมาก่อน อีกทั้งยังผลดีต่อซูฮูหยิน ก็คือเงินหลายหมื่นชั่ง นอกจากนี้ยังเคยทำสัญญาหมั้นหมายกับซูฮูหยินอีกด้วย กล่าวว่าต้องการรวมทั้งสองสกุลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน!”
“เรื่องของการหมั้นหมาย นั่นก็คือ…” ขุนนางคนนั้นพูดถึงตรงนี้กลับหยุดชะงักไป คล้ายกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง เขาเหลือบตามองไปทางฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปที่ซูหลีที่ยืนอยู่หน้าสุดของคณะขุนนางนับร้อย
ซูหลีเห็นท่าทางของขุนนางคนนี้จึงหรี่ตามอง ในใจยิ่งมีลางสังหรณ์ที่ไม่มีมาผุดขึ้น
“คืออะไร ใต้เท้าพูดออกมาเถิด” ซูหลีเอ่ยประโยคนี้ขึ้นอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ สีหน้านั้นนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก
“คือให้ใต้เท้าซูรับหมั้นบุตรคนรองของขุนนางท่านนั้น อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนใบที่บันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้นไว้แล้ว!” ขุนนางคนนั้นเห็นดังนั้นจึงก้มหัวและรีบเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา
ใต้เท้าซู!
คนที่ถูกเรียกว่าใต้เท้า ทั้งยังสามารถออกเรือนไปได้ ในท้องพระโรงแห่งนี้ก็มีแค่ซูหลีคนเดียวเท่านั้น
ทันทีที่ประโยคนี้พูดจบ ก็ประหนึ่งก้อนหินก้อนใหญ่กระทุ้งลงไปในผิวน้ำจนเกิดเป็นคลื่นมิปาน
เหล่าขุนนางโดยต่างมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าซูหลีก็มีคู่หมั้นแล้วหรือ?”
“นี่จะพูดชัดเจนได้อย่างไร ข้ายังจำได้ว่า หลี่ซื่อถูกปลดออกจากตำแหน่งภรรยาแล้วมิใช่หรือ”