ตอนที่ 1119 ถูกคนทำร้ายแล้ว
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ทราบแล้ว ในเมื่อถูกปลดแล้ว เรื่องการแต่งงานของซูหลีนางจะเป็นคนจัดการได้อย่างไร”
“ไม่ทราบเช่นกันอา!”
“นี่…”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นนั้นล้วนเป็นเรื่องสกุลซู ซูหลียังคงยืนนิ่งท่ามกลางกลุ่มขุนนางเหล่านี้ พวกเขาทำเหมือนคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นมิใช่นางก็มิปาน
ทว่าใบหน้าของนางยังคงสุขุมเยียบเย็น
“เหอะ! ยังมีเรื่องเช่นนี้ ดูเหมือนว่าซูไท่คนนั้นจะไม่เพียงแค่รับเงินสินบนเท่านั้น มิหนำซ้ำยังสมคบคิดกับขุนนางคนนั้น อยากที่จะให้บุตรีของตนออกเรือนให้กับคนสกุลนั้นอีก!” เซียวเก๋อเหล่าพลันหัวเราะขึ้น
เขาลุกขึ้นยืน สายตาที่เขามองไปทางซูหลีนั้นเต็มไปด้วยความดูแคลน
“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ มีหลักฐานที่ชัดเจนเช่นนี้แล้วว่า ซูไท่คนนี้รับเงินของผู้อื่นจริงๆ อีกทั้งยังต้องการจะเกี่ยวดองกับอีกฝ่าย! การกระทำเช่นนี้ คือการไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตา เช่นนั้นก็ถือเป็นการมิเห็นฝ่าบาทในสายตา!”
เซียวเสวียนก็โผล่ตามกันออกมา สาดโคลนใส่ซูหลีอย่างสุดความสามารถ
ซูหลีได้ยินคำพูดของสองพ่อลูกนี้แล้ว ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา ในขณะที่ตกอยู่ในความสนใจของทุกคน ซูหลีพลันก้าวออกมาด้านหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นเอ่ยเสียงดังว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องต้องการจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นผงกศีรษะแล้วเอ่ย “พูดเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หลังจากซูหลีได้รับคำอนุญาตจากเขา จึงหมุนกายไปเผชิญหน้าของขุนนางของศาลต้าหลี่คนนั้นแล้วเอ่ย
“ใต้เท้าท่านนี้ ก่อนที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าในหลี่ซื่อคนนั้นถูกบิดาของข้าปลดจากตำแหน่งภรรยาตั้งนานแล้ว เป็นสตรีที่ถูกสามีทอดทิ้งและไม่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลซูของข้าเลยแม้แต่น้อย”
ขุนนางคนนั้นได้ยินดังนั้น ใบหน้าจึงผงะไปเล็กน้อยและผงกศีรษะไปมาแล้วเอ่ย “เป็นอย่างที่ใต้เท้าซูพูดมิผิด ข้าน้อยทราบเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่…มีพยานบุคคลกล่าวว่า หลังจากที่หลี่ซื่อคนนั้นถูกปลดระวางแล้วก็ยังเข้าออกจวนซูอยู่บ่อยครั้ง คนสกุลซูไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน”
“แม้นางจะถูกปลดระวาง แต่ก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนกับภรรยาเอกของสกุลซูมิปาน ดังนั้น…”
ขุนนางคนนั้นเอ่ยคำพูดนี้ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าของซูหลีจึงดำคล้ำขึ้นทันใด
เรื่องนี้นางก็ไม่ทราบเช่นกัน หลี่ซื่อนั้นหย่าร้างไปแล้วแต่กลับยังเข้าออกจวนซูอยู่อีก
การกระทำเช่นนี้หากเป็นในสายตาของคนกันเองนั้นไม่มีอะไรอยู่ในกอไผ่ ทว่าในสายตาของผู้อื่นกลับคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ซื่อกับจวนซูนั้นมีความคลุมเครือ
อีกทั้งหลี่ซื่อให้กำเนิดบุตรีให้แก่ซูไท่หนึ่งคน บุตรีคนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว แม้จะถูกต้องปลดจากตำแหน่งภรรยาแล้ว ทว่าบุตรีคนนี้ก็ยังอยู่ในจวนซู!
เรื่องนี้ ซูไท่คงจะถูกหลี่ซื่อทำร้ายอย่างแท้จริง!
“อีกทั้งเป็นเพราะก่อนหน้านี้ขุนนางคนนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่รับรู้เรื่องนี้ จนกระทั่งข้าน้อยพูดอธิบายเรื่องนี้ ขุนนางคนนั้นถึงได้ทราบว่าซูฮูหยินถูกปลดออกการเป็นภรรยาแล้ว”
อาจพูดได้ว่า หลี่ซื่อเลือกใช้ขุนนางที่อยู่นอกเมืองหลวง
ก็คือนางวิเคราะห์แล้วว่าขุนนางคนนั้นเพิ่งจะเข้ามาในเมืองหลวง และไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้ อีกทั้งไม่ทราบว่านางถูกปลดระวางแล้ว อยู่ต่อหน้าผู้อื่นจึงวางมาดเป็นซูฮูหยินและจัดการจนได้เงินมาหลายหมื่นชั่ง!
“เรื่องนี้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ใต้เท้าซูยังจะถามให้มากความอีกหรือ นี่ก็คือการร่วมมือกันระหว่างซูไท่กับภรรยาของเขาในการแสดงละครว่าหย่าร้างกันแล้ว และให้คนนำเงินไปไว้ที่หลี่ซื่อ จากนั้นจึงใช้อำนาจขุนนางของตนคัดเลือกให้ขุนนางคนนั้นเป็นขุนนางดีเด่น คงจะคิดว่าคนอื่นจะหาข้อบกพร่องไม่พบ!”
ขุนนางที่เป็นพรรคเดียวกับสกุลเซียวพูดขึ้น และสรุปผลของคดีนี้ออกมา
สีหน้าของซูหลีนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก เรื่องนี้หากดูแค่หลักฐานที่ส่งขึ้นมา คำพูดที่ขุนนางคนนี้กล่าวมานั้นล้วนเหมือนกับความคิดของคนส่วนใหญ่
อย่างไรที่ซูไท่คัดเลือกให้ขุนนางคนนั้นเป็นขุนนางดีเด่นถือเป็นเรื่องจริง เรื่องที่หลี่ซื่อรับเงินคนอื่นมาก็เป็นเรื่องจริง
ตอนที่ 1120 ซูหลีผู้โอ้อวด
“มิผิด! ทูลฝ่าบาท เรื่องการรับสินบนของซูไท่มีหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ สมควรได้รับโทษฐานสถานหนัก ควรเชือดไก่ให้ลิงดูถึงจะถูกพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อเซียวเก๋อเหล่ารู้สึกตัวจึงก้มหน้าและพูดออกมาเสียงแผ่วเบา
ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ได้ยินดังนั้นจึงมองไปทางซูหลีที่ยืนอยู่กลางตำหนักปราดหนึ่ง อีกทั้งไม่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นในทันที
สีหน้าของซูหลีเคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากชะงักค้างไปพักใหญ่ พลันเอ่ยขึ้นว่า
“ทูลฝ่าบาท เรื่องการคัดเลือกขุนนางนั้นเป็นความผิดของบิดาอย่างแท้จริง ความผิดพลาดที่เกิดจากความสะเพร่านี้สมควรได้รับโทษพ่ะย่ะค่ะ!” เรื่องนี้นางทำได้เพียงยอมรับผิด
เรื่องซูไท่ถูกใส่ร้ายนั่นเป็นเรื่องจริง ทว่าการคัดเลือกให้ขุนนางคนนั้นเป็นขุนนางดีเด่น เป็นเรื่องที่ซูไท่กระทำจริง ๆ ตำแหน่งขุนนางดีเด่นนั้น ซูไท่เป็นคนมอบให้ ในประเด็นนี้ซูหลีไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
“เหอะ!” เมื่อได้ยินซูหลีเอ่ยเช่นนี้ เซียวเก๋อเหล่าที่อยู่ด้านข้างจึงสะบัดแขนเสื้อ ดูเหมือนกับว่ากำลังดูแคลนมากมิปาน
ซูหลีไม่แยแสต่อท่าทีของเขา นางโค้งก้มลงแล้วเอ่ยว่า ”ทว่าที่กล่าวว่า บิดาของกระหม่อมรับเงินหลายหมื่นชั่งเพื่อคัดเลือกเขาเป็นขุนนางดีเด่นนั้น คำกล่าวโทษนี้ กระหม่อมมิอาจยอมรับได้!”
“ใต้เท้าซู คำพูดนี้ช่างน่าขันนัก เจ้ากล่าวออกมาแล้วว่า เรื่องการคัดเลือกขุนนางเป็นความผิดของซูไท่ ทว่ากลับไม่ยอมรับผิดเรื่องซูไท่รับสินบน กระนั้นหากเรื่องนี้ปฏิบัติตามที่ใต้เท้าซูกล่าว ใต้หล้านี้จะมีความยุติธรรมอยู่ที่ใด”
ทันทีที่เซียวเสวียนได้ยินคำพูดหน้าหลังที่ขัดแย้งกันของซูหลี ในชั่วขณะนี้จึงอดกลั้นต่อไปไม่ไหว จึงเดินออกมาชี้หน้าด่าทอซูหลีคำรบหนึ่ง
“ใต้เท้าเซียวจะร้อนใจขนาดนี้ทำไม” ซูหลีกลับไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด และยังหัวเราะเยาะออกมา “ฝ่าบาททรงมิได้ตัดสินเรื่องนี้ ใต้เท้าเซียวก็ใจร้อนพูดแทรกขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งความอดทนเช่นนี้ หากมิทราบ ข้าคงคิดว่าใต้เท้าเซียวแอบทำอะไรบางอย่างในเรื่องนี้เสียแล้ว!”
“เจ้า!” ทันทีที่เซียวเสวียนได้ยินคำพูดของซูหลี สีหน้าของเขาพลันแดงก่ำกลายเป็นสีเลือดหมู “เจ้าใส่ร้ายผู้อื่นอย่างชั่วช้า!”
“จะใช่เช่นนี้หรือไม่ ในใจของใต้เท้าเซียวล้วนทราบดี ไม่จำเป็นต้องบอกข้า” ซูหลีชี้แจ้งกับเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน หลังจากที่พูดประโยคนี้ทิ้งท้าย นางจึงแค่นยิ้มเย็นออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ทูลฝ่าบาท แม้สกุลซูจะไม่ใช่สกุลที่เจริญรุ่งเรืองอะไรนัก ซูหลีนั้นพิจารณาตนเองแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาด สกุลซูช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เรื่องทรัพย์สินเงินทองนั้นอย่างไรก็ถือว่าพอมีอยู่บ้าง หากกระทำเรื่องเช่นนี้เพื่อเงินไม่กี่หมื่นนี้”
“นี่อาจจะประเมินสกุลซูต่ำไปเสียหน่อย” ขณะที่ซูหลีพูดพลันเลิกคิ้วของตนขึ้น นางยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วเอ่ยว่า
“สกุลซูนั้นไม่ขาดแคลนเงิน เรื่องนี้หลายคนคงจะทราบดีกว่าตัวซูหลีด้วยซ้ำ เมื่อวานในงานประมูลที่หอหร่วนเซียง ข้ายังใช้เงินสามหมื่นชั่งอย่างสบายใจ อย่างไรเสียขุนนางคนนั้นก็มอบเงินหลายหมื่นชั่งให้แก่หลี่ซื่อ บิดาของเขาจะไม่ต้องการแม้แต่อนาคตขุนนางของตนแล้วหรือ”
“นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่น่าขันเกินไปแล้ว!
ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ หลายคนมองยังซูหลีที่พูดคำพูดเหล่านั้นออกมา ในชั่วขณะนี้ไม่รู้ว่าตนควรจะแสดงอาการอย่างไรต่อหน้านางดี
คนประเภทนี้…
เรื่องที่ซูไท่ต้องเผชิญในเวลานี้ ถือว่าเป็นเวลาคับขัน นางยังสามารถพูดต่อหน้าทุกคนได้อย่างไม่เขินอาย…พูดโอ้อวด?
ทว่านี่ไม่ใช่การพูดโอ้อวดหรอกหรือ!?
นี่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าบ้านข้ามีเงิน ไม่เห็นคุณค่าของเงินไม่กี่หมื่นนี่หรอก ทำให้ขุนนางที่อยู่ด้านล่างถึงกับมุมปากกระตุก
อย่างที่จะโต้เถียงกับนาง ทว่ากับโต้เถียงไม่ออกจริงๆ
ชำเลืองเห็นสิ่งที่อยู่บนเรือนร่างของนาง เพียงแค่มงกุฎทองลวดลายดอกบัวมีที่หินปี้สี่[1]ห้อยระย้าลงมานั่น ก็ถือว่าเป็นของที่ล้ำค่ามากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับที่หู ข้อมือและเอวของนาง
นี่คล้ายกับคนที่ร่ำรวยมาก ไฉนจะเหมือนกับคนไม่มีเงินทองกัน
หากเป็นเช่นนี้ก็ตัดสินว่าซูไท่ไม่ต้องโทษหรือ?
——
[1] หินปี้สี่ หมายถึง หินทัวร์มาลีน