ตอนที่ 471 ย่างปลา / ตอนที่ 472 ละครสนุก

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 471 ย่างปลา 

 

 

 

 

 

เมื่อเดินมาถึงริมน้ำก็พบว่าพวกฉู่เกอเริ่มกินไปนานแล้ว โดยไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย 

 

 

อวี้อาเหราเห็นว่าปลาย่างเหลือน้อยเพียงแค่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ริมฝีปาก พวกนี้กินกันไหวนัก นางมาช้าไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นองครักษ์สองคนกำลังกัดเนื้อปลาย่าง กินอย่างเอร็ดอร่อย 

 

 

นางกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบเข้าไปแย่งกัดกินปลาย่างคำโต 

 

 

เมื่อเนื้อปลาเข้าปาก กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจาย ยิ่งเป็นผู้มีฝีมือในการย่างปลาแล้ว จึงอร่อยเสียยิ่งกว่าปลาย่างของหอจุ้ยเซียนเสียด้วยซ้ำ 

 

 

จะไม่อร่อยได้หรือ? ในเมื่อเป็นปลาที่ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงเอาไว้ ไม่เพียงแต่อร่อย อีกทั้งยังพาอกสั่นขวัญแขวนไปด้วย 

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นนางเข้าไปแย่งเนื้อปลาราวกับกลัวว่าเขาจะเข้ามาแย่งอีกคน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างจนใจ แล้วจึงหยิบเอาปลาอีกชิ้นขึ้นมากินตามใจชอบ 

 

 

ปลาชนิดนี้ตัวไม่ใหญ่มากนัก มีขนาดเท่ากับฝ่ามือของชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่รสชาติกลับอร่อยเสียยิ่งกว่าปลาธรรมดามากโข เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กินปลาร้อน แต่ก็ชื่นชมยินดีในเนื้อปลายิ่งนัก 

 

 

ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้ลิ้มรสปลาชนิดนี้ เมื่อได้กินแล้วอวี้อาเหราก็หยุดไม่ได้ ทั้งๆ ที่กินเนื้อนกไปจนพุงกางแล้ว แต่เมื่อได้ระบำดาบไปแล้วก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง กินหมดไปตัวเดียวก็รู้สึกไม่พอ 

 

 

พวกฉู่เกอเองก็เร่งความเร็วในการกินมากยิ่งขึ้น รีบกินเนื้อปลาร้อนที่เหลือให้หมด  

 

 

อวี้อาเหราได้แต่จ้องมองฉู่ป๋าย เพราะเขากินช้า ทำให้ในมือจึงเหลือเนื้อปลาอีกมากกว่าครึ่ง 

 

 

เพียงแค่ได้กลิ่น นางก็รู้สึกได้ถึงความอร่อย จนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอีกรอบ 

 

 

ฉู่ป๋ายหยุดกินเนื้อปลาในมือ แล้วค่อยๆ มองไปยังนาง “อยากกินหรือ” 

 

 

“อืม” อวี้อาเหรารีบพยักหน้าในทันที ไม่เห็นหรือว่านางจ้องมองเสียจนตาแทบจะถลนอยู่แล้ว? 

 

 

ฉู่ป่ายกลับส่ายหน้า “ข้าไม่ถือหรอกนะถ้าเจ้าจะยืนมองข้ากิน” 

 

 

มอง…มองหรือ? เขากล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน! ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าเขาจะแบ่งให้บ้างสักหน่อย ไม่คิดว่าเขาจะพูดเช่นนี้ออกมาได้ นี่เป็นคำพูดของคนเป็นบุรุษหรือ? หากผู้อื่นพูดก็คงไม่เท่าไร แต่คนตรงหน้านางเป็นใครกัน? 

 

 

เป็นเซิ่นซื่อจื่อน่ะซี! เซิ่นซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋อง! 

 

 

อวี้อาเหราโกรธเคือง ไม่ให้ก็ไม่ให้สิ แต่ยังพูดเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน? 

 

 

แม้ปากของฉู่ป๋ายจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่กลับยื่นเนื้อปลาส่วนที่ยังไม่ถูกกัดมาให้ “อยากกินก็เร็วๆ เข้า มิเช่นนั้นข้าไม่ให้กินแล้วนะ” 

 

 

“เหอะ!” อวี้อาเหราไม่ถือที่เขากินไปแล้วส่วนหนึ่ง นางกัดเข้าให้หนึ่งคำ แต่กลับกัดไม่โดน จึงต้องจับมือของเขาแล้วจึงกัดเข้าที่เนื้อปลา เช่นนั้นจึงค่อยได้กินสมใจ 

 

 

ฉู่ป๋ายแสดงสีหน้าระอา “น้ำลายจะหยดลงพื้นอยู่แล้ว แล้วข้าจะกินได้อย่างไรกัน” 

 

 

“กินไม่ได้ก็เอามาให้ข้ากินสิ” อวี้อาเหรากลืนเนื้อปลาในปาก แล้วทำท่าจะกัดอีกคำ 

 

 

ปลาร้อนพวกนี้ นอกจากก้างใหญ่ๆ แล้ว ก็ไม่มีก้างเล็กๆ น้อยๆ เหลืออยู่อีกเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะติดคอ  

 

 

ฉู่ป๋ายยอมให้นางกิน ไม่พูดอะไรออกมา 

 

 

คนที่กำลังกินปลาย่างคนอื่นๆ พากันจ้องมอง ทันใดนั้นก็ตกใจเสียจนลืมกินเนื้อปลาย่างของตน ทำได้เพียงยืนมองพวกเขาทั้งสองคน 

 

 

จะสนิทสนมกันเกินไปหรือไม่นะ! 

 

 

อวี้อาเหราพลันหลงลืมไปชั่วขณะว่าที่นี่เป็นยุคโบราณ การกระทำเมื่อครู่นี้ของนางทำเอาคนโบราณตกใจกันแทบแย่ 

 

 

ฉู่เกอพยายามจะนิ่งเอาไว้ เมื่อครู่นางเพียงแค่ตกใจอยู่บ้าง จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป  

 

 

แต่คนอื่นๆ กลับไม่นิ่งงันอย่างนั้น เมื่อเห็นคนทั้งสองกินปลาตัวเดียวกันก็ได้สติขึ้นมา 

 

 

เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นอะไรกัน? เหมือนจะเห็นเซิ่นซื่อจื่อและคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องกินปลาตัวเดียวกันมิใช่หรือ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 472 ละครสนุก 

 

 

 

 

 

เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์มองหน้าสบตากัน คุณหนู อย่างน้อยก็สำรวมหน่อยดีหรือไม่! ที่นี่ก็เป็นสถานที่รโหฐาน แม้คิดอยากจะทำเช่นนี้ ก็กลับไปทำที่ห้องดีกว่านะเจ้าคะ 

 

 

คนทั้งสองที่กำลังกินปลาอยู่นั้นต่างก็ไม่รู้เลยว่าพวกคนที่จ้องมองอยู่นั้นกำลังตกใจและแปลกใจมากเพียงใด 

 

 

อวี้อาเหราหันกลับไปมอง จึงได้เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังจ้องมองนางและฉู่ป๋าย แม้แต่องครักษ์หลวงของวังหลวงเองก็จ้องมองตาแทบถลน ราวกับกำลังเห็นผีก็ไม่ปาน ดีที่ไม่ได้วิ่งหนีไปเท่านั้น 

 

 

เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเปลี่ยนไปมาก ที่แท้ก็เป็นไปเหมือนที่ข่าวลือไม่มีผิดเพี้ยน! 

 

 

เมื่อก่อนนี้นางเอาแต่วิ่งตามองค์รัชทายาท ไม่เคยกระทำเรื่องกล้าหาญใดๆ แต่ตอนนี้กลับทำเรื่องเช่นนี้ได้เสียแล้ว? 

 

 

การกระทำของอวี้อาเหราและฉู่ป๋ายนี้ทำให้พวกเขาที่ลอบสังเกตอยู่ด้วยความระมัดระวังพลันตกใจขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

“พวกเจ้าเป็นอะไรไปหรือ” อวี้อาเหราถามอย่างแปลกใจ ใบหน้าแสดงความงุนงง 

 

 

ฉู่เกอหัวเราะออกมาน้อยๆ “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อครู่นี้เพียงแค่เห็นละครสนุกๆ เท่านั้น เจ้าว่าไหมเล่าหานสือ?” 

 

 

ละครสนุกๆ หรือ? ฉากเมื่อครู่นี้เป็นละครสนุกๆ ที่ร้อยปีจะได้เห็นสักครั้งทีเดียว! 

 

 

หานสือพยักหน้าคล้อยตามไปด้วย 

 

 

อวี้อาเหราไม่เข้าใจว่าฉู่เกอกำลังพูดเรื่องอะไร 

 

 

ฉู่เกอกินปลาจนหมด ลูบท้องแล้วยืนขึ้น แล้วหัวเราะกับอวี้อาเหราต่อ “ที่จริงก็ไม่ใช่ละครสนุกอะไรหรอก” 

 

 

แปลกเสียจริงเชียว! อวี้อาเหราให้นิยามด้วยคำสี่คำ 

 

 

“เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว” ฉู่เกอมองไปที่ท้องฟ้า แล้วหันมาพูดเรื่อยๆ 

 

 

“ไม่คิดว่าจะออกมาเที่ยวเล่นนานถึงเพียงนี้” หลังจากที่อวี้อาเหรากินจนพอใจแล้ว จึงค่อยรู้สึกกังวลใจขึ้นมา หากฮ่องเต้ทรงทราบว่าพวกนางกินปลาและนกที่นี่เข้า หากพระองค์ไม่ทรงพิโรธก็คงแปลกยิ่งนัก! เมื่อถึงตอนนั้นพวกนางคงถึงคราวซวยกันหมด อีกอย่างฉู่ป๋ายอาจจะโยนความผิดทั้งหมดให้นางก็เป็นได้ 

 

 

นางสูดลมหายใจเยือกเย็น เมื่อครู่นี้เหตุใดนางจะต้องกินปลาพวกนั้นด้วยนะ? นี่นางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่! 

 

 

หากฝ่าบาทไม่โกรธจนโบยนางถึงตายก็แปลกแล้ว! 

 

 

นางที่กำลังคิดอย่างขมขื่น ฉู่ป๋ายก็พูดขึ้นมาว่า “เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้วจริงๆ พวกเรากลับกันเถิด” 

 

 

“ตกลง” ฉู่เกอตอบรับ เมื่อเห็นอวี้อาเหรากำลังจ้องมองพร้อมทั้งเหงื่อกาฬแตกซ่านโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่นั้น  ดังนั้นจึงโบกมือแล้วเลิกคิ้วพร้อมถามขึ้น “พี่เหราเอ๋อร์คิดอะไรอยู่หรือ พวกฉู่ฉู่จะไปกันหมดแล้วนะ” 

 

 

อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นแล้วเหม่อมองออกไปไกล จึงเห็นแผ่นหลังของฉู่ป๋ายเดินจากไปไกลลิบๆ นางไม่ลังเล แล้วจึงเดินตามฉู่เกอไม่ห่าง ไฟที่ใช้ย่างปลามอดจนหมดแล้ว เหลือเพียงควันไฟที่ลอยขึ้นมาเป็นบางครั้งเท่านั้น 

 

 

แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มองเห็นพวกของจวินเสวียนจีเดินมา มีหนิงจื่อเย่เดินตามหลัง 

 

 

อวี้อาเหราจ้องมองนิ่งงัน จ้องมองไปข้างหน้าไม่วางตา 

 

 

เหตุใดเขาถึงยังอยู่ที่นี่อีก 

 

 

เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ จวินเสวียนจีที่เดินมาก็ไม่รู้ตัวจนมองเห็นฉู่ป๋ายเข้า สีหน้าก็ยินดีขึ้นมาในทันใด เดินเข้าไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เซิ่นซื่อจื่อ ยังไม่กลับกันหรือ” 

 

 

“อืม เมื่อครู่เพิ่งทานกันเรียบร้อย ดังนั้นจึงล่าช้าอยู่บ้าง” 

 

 

ทุกคำพูดของเขาล้วนเข้าสู่หูของจวินเสวียนจี เมื่อได้ยินแล้วนางก็ชะงัก เมื่อครู่นี้นางเห็นควันไฟลอยสูงขึ้น ได้ยินมาว่าองครักษ์รอบๆ ต่างก็พากันมามุงที่นี่กันหมด แต่ไม่คิดว่าพวกฉู่ป๋ายจะมากินอะไรที่นี่ 

 

 

กินอะไรกัน? แล้วกินกันอย่างไร? แน่นอนว่าต้องย่างอะไรกินกันสินะ! 

 

 

จวินเสวียนจีเข้าใจขึ้นมาในทันที ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้เป็นเซิ่นซื่อจื่อย่างอะไรทานหรอกหรือ ไม่ทราบว่าท่านย่างอะไรกัน”