ตอนที่ 473 กินไปเก้าตัว / ตอนที่ 474 งดงามราวบุปผา

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 473 กินไปเก้าตัว 

 

 

 

 

 

“นกสองสามตัว แล้วก็ยังมีปลาร้อนอีกหลายตัว” ฉู่ป๋ายคิดอยู่สักครู่ จากนั้นจึงเอ่ยตอบ 

 

 

นกสองสามตัว? ปลาอีกหลายตัว? สีหน้าของจวินเสวียนจีดูแย่ขึ้นมาในทันที นกสองสามตัวนั่นก็ช่างมันเสียเถิด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ปลาร้อนนี่สิที่เป็นของที่เสด็จพ่อหวงยิ่งนัก หากเขานำมาย่างกินสักตัวสองตัวก็คงไม่เป็นไร แต่หากหลายตัวเช่นนี้! หากเสด็จพ่อทรงทราบเข้า คงต้องพิโรธหนักเป็นแน่! 

 

 

“เหตุใดหรือ” ฉู่ป๋ายแสร้งแสดงท่าทีไม่เข้าใจ 

 

 

“ซะ…ซื่อจื่อ ท่านย่างปลาไปกี่ตัวหรือ” เสียงที่จวินเสวียนจีเอ่ยถามนั้นไม่วายสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

ฉู่ป๋ายครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แต่ก็คิดไม่ออกว่ากินไปกี่ตัวกันแน่ ดังนั้นจึงหันไปถามฉู่เกอ “กี่ตัวกันนะ?” 

 

 

“นอกจากที่ข้ากินไปสองตัวแล้ว หานสือ เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์กินกันไปคนละตัว จากนั้นท่านพี่กับพี่เหราเอ๋อร์กินหนึ่งตัว แล้วองครักษ์ก็กินกันไปคนละตัว คิดดูแล้ว…” ฉู่เกอนับนิ้วอยู่เป็นนาน 

 

 

เก้าตัว… 

 

 

กินไปเก้าตัวเชียวหรือ! 

 

 

ใจของจวินเสวียนจีตกลงไปถึงตาตุ่ม 

 

 

กินไปเพียงตัวเดียวเสด็จพ่อก็กริ้วจนจะเฆี่ยนตีแล้ว หากรู้ว่าพวกเขากินปลาไปเก้าตัวจะไม่กริ้วจนกระอั่กพระโลหิตเลยหรือ ทว่าคิดแล้วก็ไม่พ้นที่เขาย่อมโกรธเป็นแน่ พระแท่นวายุจันทราไม่เหมือนกับที่อื่นๆ แต่เกี่ยวข้องกับพระตำหนักรู่หวง และฮองเฮาก็ยังเป็นคนสำคัญของเสด็จพ่ออยู่เสมอ ครั้งนี้ คงจะ… 

 

 

จวินไหวซ่งตกใจเสียจนแทบสะดุ้ง “อะไรนะ? กินไปถึงเก้าตัวเชียวหรือ!” 

 

 

จวินไหวโหรวที่ก้มหน้าอยู่ตลอด เมื่อได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นในทันที 

 

 

คนที่นิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงหนิงจื่อเย่เท่านั้น 

 

 

อวี้อาเหราแค้นใจเสียจนเบ้ริมฝีปากออก เมื่อเห็นท่าทีตื่นตกใจของพวกจวินเสวียนจี ดูแล้วปลาพวกนี้คงไม่อาจจับกินได้ส่งเดชจริงๆ มิน่าเมื่อครู่นี้เหล่าองครักษ์จึงพากันร้องห้ามไม่หยุด พวกเขาเป็นองครักษ์ที่คอยดูแลพระแท่นวายุจันทรา หากปลาร้อนพวกนี้ถูกคนอย่างฉู่ป๋ายกินเข้าไป พวกเขาคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่ 

 

 

เหตุใดนางถึงตกหลุมพรางคนอย่างฉู่ป๋ายเสียได้นะ! 

 

 

เมื่อครู่นี้เพราะเขายั่วให้นางโมโหจนนางพลั้งปากสั่งให้คนไปจับปลา ส่วนเขาก็ทำทีแสร้งขัดขวาง… 

 

 

บัดนี้อวี้อาเหราจึงค่อยเข้าใจขึ้นมาแล้ว ที่แท้เหตุผลที่ฉู่ป๋ายพูดเช่นนี้ ก็เพื่อโยนความผิดทุกอย่างให้นางสินะ! 

 

 

นางขมวดคิ้ว มองทุกคนที่อยู่ในนี้ 

 

 

ในยามนี้เองที่ด้านนอกเกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา จนปรากฏร่างของกลุ่มองครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา  

 

 

ดูท่า ฮ่องเต้คงทราบเรื่องแล้ว 

 

 

อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองฉู่ป๋าย เป็นเพราะนางไม่ระวังตัว จนทำให้ตกหลุมพรางอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เขาเองก็ผิดด้วย! 

 

 

องครักษ์ทำความเคารพ “คารวะองค์หญิงทั้งสาม เซิ่นซื่อจื่อ ท่านหญิงน้อย และคุณหนูรองหลิง” 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” จวินเสวียนจีคาดเดาถึงจุดประสงค์ของพวกเขาออก แต่ก็ยังถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ” 

 

 

“ฝ่าบาททรงรับฟังรายงานว่าเซิ่นซื่อจื่อและพวกคุณหนูรองก่อไฟย่างปลาในพระแท่นวายุจันทราโดยพลการ ให้กระหม่อมคุมตัวเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงขององครักษ์เย็นเหยียบ 

 

 

“คุมตัวหรือ” จวินเสวียนจีชะงักไป 

 

 

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เอ่ยซ้ำอีกครั้ง 

 

 

ฉู่เกอเบ้ริมฝีปากออก “แล้วต้องคุมตัวข้าไปด้วยหรือไม่” 

 

 

“ท่านหญิงเองก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่ทานปลาร้อนจะต้องถูกคุมตัวเข้าวังทั้งหมด เพื่อรอฟังพระราชโองการของฮ่องเต้ขอรับ” สีหน้าขององครักษ์ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ฉู่เกอกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ พลันชี้นิ้วไปที่อวี้อาเหราและฉู่ป๋าย “แต่ข้าเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น พวกเขาทั้งสองต่างหากเป็นตัวต้นเหตุ…” 

 

 

ผู้สมรู้ร่วมคิดหรือ? อวี้อาเหรากลอกตา แม่หนูนี่กล้าพูดอะไรส่งเดชกัน เป็นเพราะนางอยากกินทั้งนั้น คนอื่นจึงได้กินด้วย หากจะพูดถึงตัวต้นเหตุก็เป็นพวกเขาสองพี่น้องนั่นละ นางเองต่างหากที่น่าสงสาร ถูกคนพวกนี้ลากมาด้วยยังไม่พอ ทั้งยังโดนหางเลขเช่นนี้อีก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 474 งดงามราวบุปผา 

 

 

 

 

 

ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! 

 

 

จะโทษนางก็ไม่ช่างเถิด แต่ฉู่ป๋ายนั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนางเชียวนะ 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็คงต้องเชื่อ ที่ว่ากันว่าที่ไหนๆ ก็มีแต่คนเลวนั้นคงเป็นเรื่องจริงกระมัง 

 

 

แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสียฝ่าบาทก็คงจะไม่ประหารเซิ่นซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋องและคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่จะเป็นพระชายารัชทายาทในอนาคตเพราะปลาสองสามตัวหรอกกระมัง? 

 

 

แต่เพราะคำว่าคุมตัว ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงกริ้วน่าดู 

 

 

อวี้อาเหราแค่นเสียงออกมาอย่างจนใจ มองฉู่ป๋ายอย่างโกรธแค้น อย่างมากถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน อย่างไรเสียมีบุรุษรูปงามมาเป็นเครื่องประดับงานศพ นางตายไปก็ไม่เสียดาย มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า แม้ดอกโบตั๋นจะโรยราไปแล้วก็ยังคงตามใจตัวเองอยู่เสมอ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ พวกอวี้อาเหราจึงถูกคุมตัวเข้าวัง 

 

 

เหล่าชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างก็ไม่สนใจจะกินข้าวเย็นกันแล้ว พากันวิ่งออกมาดูเหตุการณ์หายากเช่นนี้กันยกใหญ่ 

 

 

หญิงสาวมากมาย กว่าครึ่งล้วนออกมาดูหน้าของฉู่ป๋าย 

 

 

ทว่าวันนี้อวี้อาเหราสวมชุดสีแดง แต่เดิมนางก็งดงามอยู่แล้ว เมื่อสวมชุดสีแดงสวยงามชุดนี้ก็ไม่เพียงแต่ดูสง่างาม แต่ก็ดูเลิศเลอขึ้นมาอีกมากมาย จนคนมองไม่อยากถอนสายตาไปมองอย่างอื่น ความงดงามเช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่งนัก! 

 

 

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าอวี้เหราจะเป็นหญิงที่งดงามถึงเพียงนี้ 

 

 

ชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ด้านข้างมีท่วงท่างามสง่า ใบหน้างดงามดังภาพวาด เสื้อผ้าสีขาวที่สวมอยู่นั้นเรียบง่ายและสะอาดหมดจน เมื่อสองคนนี้ยืนอยู่ข้างกันก็งดงามกินกันไม่ลง 

 

 

ไม่ว่าใครก็ไม่คิดว่าคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง ไม่เพียงไม่มีหน้าตาขี้เหร่ แต่ยังงดงามถึงเพียงนี้ด้วย 

 

 

ข่าวลือคือเรื่องโกหกสิ้นดี! 

 

 

เห็นอยู่ว่าคุณหนูรองงดงามดังบุปผา ไหนเลยจะขี้ริ้วขี้เหร่ได้ 

 

 

นอกจากใบหน้าที่งดงามแล้ว ท่าทีที่ไม่กลัวเกรงไม่เร่งร้อนนั้นก็ยิ่งทำให้น่าชื่นชมเข้าไปอีก แม้เป็นชายร่างใหญ่ แต่หากถูกคุมตัวเข้าวังเช่นนี้ก็คงจะกลัวจนปัสสาวะรดกางเกงเสียแล้ว จะอ่อนแอขี้โรคเหมือนอย่างที่ข่าวลือกันได้หรือ? 

 

 

ที่จริงแล้วคงจะทำให้ผู้พบเห็นแปลกใจไปหน่อย หรือจะพูดอีกอย่างก็ทำเอาคนที่มองดูอยู่ตื่นตะลึงจนอ้าปากค้างเลยทีเดียว 

 

 

อวี้อาเหราเห็นว่าสายตาของทุกคนกำลังให้ความสนใจ เช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกชัน เมื่อมองไปยังฉู่ป๋าย ก็เห็นว่าเขายังคงเดินหน้าต่อไปอย่างนิ่งเฉย นางจึงอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด “เจ้าไม่กลัวเลยหรือว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วจนประหารเราทั้งสองคน?” 

 

 

“ไม่กลัว” ฉู่ป๋ายพูดเรื่อยๆ แต่ประโยคต่อมากลับทำให้คนฟังโกรธเสียจนแทบตาย “ข้าจำได้ว่าเจ้ากินมากกว่าข้าเสียอีก แล้วปลาร้อนก็เป็นเจ้าที่สั่งให้คนไปจับมา คิดว่าฮ่องเต้คงจะทรงจำได้ว่าข้าเป็นโอรสเอกเพียงคนเดียวของจวนเซิ่นอ๋อง หากจะทรงลงพระอาญาจริงๆ คงจะจับเจ้ามาประหารเสียกระมัง” 

 

 

“นี่เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่?!” เมื่ออวี้อาเหราได้ฟังเช่นนี้ ความโกรธก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น 

 

 

“อืม ข้าตั้งใจ แล้วอย่างไรเล่า” ฉู่ป๋ายไม่มีท่าทีเดือดร้อน ทั้งยังยอมรับหน้าตาเฉย 

 

 

แล้วอย่างไรหรือ? 

 

 

อย่างไรน่ะหรือ? 

 

 

แล้วนางเล่าจะเป็นอย่างไร?! 

 

 

อวี้อาเหราโกรธจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเมื่อเขายอมรับเช่นนี้แล้ว นางจะโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากไม่ให้โมโหนางก็ทำไม่ได้ ในช่วงเวลาที่แสนสับสนนี้ แม้ลังเลอยู่นานก็ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ สุดท้ายจึงเอาแต่ก้มหน้าลง ไม่ยอมเอ่ยอะไรอีก 

 

 

นางจะทำอะไรได้อีกเล่า? นั่งรอความตายเถิด 

 

 

อวี้อาเหรามองฉู่เกอด้วยสายตาตัดพ้อและจนใจ นางกลับไม่มีความกลัวอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังจะเข้าไปเที่ยวเล่นในวังเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีท่าทีนิ่งสงบเหมือนพี่ชาย แต่ความงามล้ำเลิศของนางก็ไม่แพ้เขาแต่อย่างใด 

 

 

ต้องเป็นคนแบบเดียวกันจึงจะอยู่ด้วยกันได้สินะ 

 

 

เมื่อฉู่เกอเห็นนางแล้ว ก็รีบยิ้มให้ทันที “พี่เหราเอ๋อร์” 

 

 

“เหอะ” อวี้อาเหราสบถ พี่ชายขายนางไปแล้ว น้องสาวยังมาตามง้องอนหรืออย่างไร?