บทที่ 363.1 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจิ้งต้าเฟิงอึ้งงันอยู่นาน คงเป็นเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมเข้ากับเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมดุจถ่านที่นั่งอยู่ข้างกายตนบนตอไม้ในความทรงจำได้ สุดท้ายเขาเอามือลูบหน้า หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “พูดก็พูดไปสิ ไยต้องพ่นน้ำลายเต็มหน้าข้าด้วย?”

แต่สุดท้ายแล้วเจิ้งต้าเฟิงก็ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นมา และหากเฉินผิงอันไม่ได้คุยโวโอ้อวดจนเกินไป ถ้าเช่นนั้นยาแค่สองเม็ดก็น่าจะสามารถระงับอาการบาดเจ็บของเขาลงได้ ส่วนจะตัดรากถอนโคนต้นตอของโรคร้ายหรือไม่ น่าจะยังยากมากอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าต้องกินยาวิเศษกี่เม็ดแล้ว

เผยเฉียนยื่นหัวออกมาจากตรงธรณีประตู ยกไม้เท้าเดินป่าในมือขึ้น พูดอย่างโมโห “เจ้าคนนี้ ทำไมไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากยังพูดแบบนี้อีก ระวังข้าจะโกรธล่ะ…”

เจิ้งต้าเฟิงรับขวดกระเบื้องใบนั้นมา หันหน้ามาหัวเราะกับนาง “ข้าตกใจเกือบตาย จอมยุทธ์หญิงตัวน้อยที่สุดยอดเลิศล้ำเกินใครจะเปรียบท่านนี้เป็นใครกันหนอ?”

เผยเฉียนกระแอมหนึ่งทีแล้วรีบลุกขึ้นยืนให้ดี ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะลงบนพื้นหนักๆ “ฟังให้ดีล่ะ ข้าชื่อเผยเฉียน คือองค์หญิงท่านหนึ่งที่ประสบหายนะพลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน เฉินผิงอันเป็น…อาจารย์ของข้า! ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดสำนักของสำนักพวกเรา!”

คำพูดกวนโอ้ยน่าเตะที่บอกว่าเฉินผิงอันเป็นพ่อนาง เผยเฉียนไม่เคยพูดต่อหน้าเฉินผิงอันมาก่อน

เจิ้งต้าเฟิงกลืนน้ำลาย หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน คงเพราะอยากถามว่าเจ้าเฉินผิงอันที่ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ไปหานังหนูแบบนี้มาจากที่ใด?

เฉินผิงอันกล่าว “เข้าห้องไปพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”

เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าคุยจบแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันโมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ข้ายินดียื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้ ก็ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ? อีกฝ่ายมีกองกำลังแบบใดบ้าง แต่ละฝั่งมีเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดกี่คน? กองกำลังฝ่ายใดที่นั่งภูดูเสือกัดกัน เซียนดินจากฝ่ายใดจะลงสนามเข่นฆ่า เบื้องหลังของแต่ละคนมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่คิดจะฉวยโอกาสลงมือหรือไม่ ข้าไม่ควรต้องทำความเข้าใจสักหน่อยหรือ? สภาพภูมิศาสตร์ของนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงเส้นบริเวณทางใกล้เคียงแท่นมังกร ข้าไม่ควรต้องรู้ไว้บ้างหรือไร? สามครั้งที่เจ้าประมือกับตระกูลฝู ตระกูลฟางและตระกูลติง ข้าจะไม่อยากฟังบ้างเลยหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงปวดหัวแปลบขึ้นมาทันที ควักขวดกระเบื้องออกมา “เอากลับไปๆ พวกเราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน เยี่ยวกันคนละไห!”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง

เทพหยินแซ่จ้าวปรากฏตัวอยู่ด้านในร้าน พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”

เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที ถลกขากางเกงขึ้นด้วยความเคยชิน หิ้วม้านั่งกลับเข้าไปในร้านยา เดินตามเฉินผิงอันเข้าไปในเรือนด้านหลัง ในห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันและเทพหยินแซ่จ้าวนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เผยเฉียนไม่กล้าวางก้นนั่งลงบนตำแหน่งประธานที่อยู่ทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ จึงเดินไปนั่งบนม้านั่งยาวหันหลังให้กับประตูห้อง ทิ้งตำแหน่งประธานให้เจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันยังบอกให้เว่ยเซี่ยนหลูป๋ายเซี่ยงสี่คนเอาม้านั่งของตัวเองออกมานั่งฟังในห้องหลักด้วยกัน

ก่อนเจิ้งต้าเฟิงจะนั่งลง ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของเจ้าบ้านอยู่บ้าง เขาคว้าเอาเมล็ดแตงกำมือใหญ่ใส่ในจานเล็กใบหนึ่ง เอามาวางไว้ตรงหน้าเผยเฉียน เผยเฉียนชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเจิ้งต้าเฟิงอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก

จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ยกถั่วลิสงโรยเกลือและเนื้อวัวแห้งหมักเต้าเจี้ยวสองจานใหญ่มาให้ตัวเอง

เผยเฉียนมองเมล็ดแตงในจานเล็กของตัวเอง แล้วค่อยหันไปมองเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงข้าม ขนาดจานที่ใช้ก็ยังใหญ่กว่าของนาง แบบนี้เกินไปหน่อยไหม?

เผยเฉียนชูนิ้วโป้ง “วิธีการรับรองแขกของเจ้า ข้านับถือ!”

เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาทำท่ากดลงเบื้องล่างสองที “จดจำไว้ในใจก็พอ อย่าเอาแต่พร่ำพูด”

เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง แทะเมล็ดแตงแรงๆ อย่างใส่อารมณ์

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางไว้บนโต๊ะ ถามว่า “ดื่มเหล้าได้ไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงลอกเปลือกถั่วลิสงโรยเกลือออกพลางส่ายหน้าตอบ “แตะเหล้าไม่ได้สักหยด ช่วงนี้ไม่ได้ดื่มแล้ว”

เทพหยินแซ่จ้าวเอ่ยขึ้นเนิบช้า “อีกหกวันให้หลัง อากาศจะหนาวจัด ที่แท่นมังกรของตระกูลฝู เจิ้งต้าเฟิงจะต้องเปิดศึกใหญ่ไม่ตายไม่เลิกรากับฝูฉี ซึ่งก็หมายความว่าสุดท้ายคนที่สามารถรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรแห่งนั้นได้ มีเพียงคนเดียว หากเจิ้งต้าเฟิงตายก็ง่ายหน่อย พวกเราแค่ขึ้นไปช่วยเก็บศพเขามาก็พอ ไม่มีอันตรายอะไร ในเมื่อตระกูลฝูสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าคนหนึ่งได้ ก็ถือว่าได้หน้าได้ตามากพอ ย่อมยินดีที่จะทำใจกว้างไม่ถือสาร้านยาฮุยเฉินอีกต่อไป”

เห็นว่าเฉินผิงอันมองมายังตน เทพหยินก็ยิ้มขื่น “แน่นอนว่าข้าไม่อาจมองเจิ้งต้าเฟิงไปตายอยู่บนแท่นมังกรคาตาตัวเองได้ หากเขาตายไป ข้าก็คงไม่มีทางได้เป็นเทพหยินนี่ต่อ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะปกป้องลูกหลานอะไร ดังนั้นต่อให้ถึงเวลานั้นบนแท่นมังกรจะถูกร่ายตราผนึกไว้เต็มไปหมด ข้าก็ยังมีวิธีที่จะบุกเข้าไป แต่ก็ได้แค่ช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงตายช้ากว่าเดิมครู่หนึ่ง หากถึงเวลานั้นเจ้าเฉินผิงอันยังยืนกรานจะลงมือช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นศึกใหญ่ที่วุ่นวายทันที ไม่พูดถึงโอสถทองและก่อกำเนิด เกรงว่าขอแค่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง นอกจากตระกูลฟ่านแล้ว ห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่าก็คงพากันยื่นเท้าเข้าเหยียบย่ำ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นี่คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ข้าทราบแล้ว ไหนลองพูดถึงสถานการณ์ที่ดีที่สุดบ้างสิ”

ในใจเทพหยินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ ดูเหมือนเฉินผิงอันจะเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เดิมทีรูปลักษณ์ของเทพหยินก็เป็นภาพมายาล่องลอย ใบหน้าคลุมเครืออยู่แล้ว จึงมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน เขาพูดต่อไปว่า “หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงใช้สามหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนโอสถทองอันดับหนึ่งในนครมังกรเฒ่าอย่างฉู่หยางล้มลง และยังเปิดศึกใหญ่กับบุรพาจารย์ก่อกำเนิดตระกูลฝูที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น ตระกูลฝูตั้งรกรากมีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานขนาดนี้ จวนของพวกเขาจึงถูกสร้างให้มีลักษณะคล้ายสำนักศึกษา คล้ายอารามเต๋าในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมานานแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนั้นจึงไม่ง่ายเลย”

เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “แสร้งอ่อนแอให้ศัตรูเข้าใจผิด คนที่ข้าอยากจะล้มให้ได้มาตั้งแต่ต้นก็คือฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าผู้นั้น หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับขอบเขตเอาไว้ ตาแก่ที่ถือทวนเหล็กผุๆ มาแกว่งส่ายอยู่ตรงหน้าคงถูกข้าคว่ำ แล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าเหี่ยวๆ ของเขาไปนานแล้ว”

เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงนัก เทพหยินพยักหน้ารับรองด้วยรอยยิ้ม “เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดเกินจริงสักเท่าไหร่ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจจะเปิดเผยขอบเขตที่แท้จริงออกมาเร็วเกินไปจริงๆ”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นี่ก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงดี

หากเปลี่ยนเป็นหลี่เอ้อร์บิดาหลี่ไหว อาจจะไม่มัวมาอำพรางเก็บซ่อนอยู่เช่นนี้

ในความเป็นจริงแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น นอกจากอาจารย์ฉีกับหยางเหล่าโถว รวมไปถึงหลี่ซีเซิ่งพี่ชายของหลี่เป่าผิง เกรงว่าคงเป็นคนเฝ้าประตูชายโสดขึ้นคานนี้ที่ถึงจะเป็นบุคคลที่มีความรู้มากที่สุด ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ สิ่งที่แสวงหาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ปณิธานหมัดของทั้งร่างจึงกลับกลายเป็นว่าไม่บริสุทธิ์อย่างหลี่เอ้อร์ เนื่องจากมากปรารถนา แต่จิตใจคับแคบ ดังนั้นการฝ่าทะลุขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงในเวลานั้นจึงลำบากยากเข็ญ เป็นเหตุให้ต้องมีเฉินผิงอันและบท ‘ความจริงใจ’ มาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็คือบุตรเขยตระกูลติง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงที่พาภรรยากลับบ้านเดิมคนนั้นที่ทำร้ายให้เจิ้งต้าเฟิงต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้? เหตุใดถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง กลายเป็นลงไม้ลงมือกันแทน?”

เจิ้งต้าเฟิงสีหน้ามืดทะมึน เพียงแค่ฉีกเนื้อวัวหมักเต้าเจี้ยวชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก

เทพหยินแซ่จ้าวคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตัวดีนั่นมีภูมิหลังไม่เล็กเลยจริงๆ พอมาถึงร้านยาฮุยเฉินก็พูดเข้าประเด็นทันที ความหมายคร่าวๆ มีอยู่สองข้อคือ หนึ่งเขาชื่อตู้เหยี่ยน คือหลานสายตรงของบรรพจารย์จงซิ่งแห่งสำนักใบถงผู้นั้น อีกข้อหนึ่งก็คือปีนั้นเขาตู้เหยี่ยนปิดบังสถานะท่องไปทั่วนครมังกรเฒ่า บรรพบุรุษของคนหนุ่มแซ่ฟางผู้นั้น ในอดีตก็คือลูกสมุนที่คอยตามก้นเขาต้อยๆ พอมาถึงรุ่นคนหนุ่มนี้มีบุตรโทนเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงหวังว่าเจิ้งต้าเฟิงจะเห็นแก่หน้าของเขา อย่าปล่อยให้ควันธูปของคนอื่นต้องขาดหาย ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าตอบรับ เขาก็รับรองว่าสำนักใบถงจะยืนอยู่ข้างเดียวกับร้านยาฮุยเฉิน”

เทพหยินชำเลืองตามองเจิ้งต้าเฟิงที่คอยแอบตวัดตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นอยู่ตลอดเวลาแล้วแค่นเสียงหยัน “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า นึกว่าตัวเองไร้ผู้ใดทัดเทียมแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าข้างกายตู้เหยี่ยนมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยู่คนหนึ่ง ยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ยังกล้าหัวเราะเยาะคนอื่นเขาที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนว่าเต็มใจเป็นสุนัขที่เห่าคนไปทั่ว เจิ้งต้าเฟิง ทีนี้เป็นอย่างไร อยากดื่มเหล้าไหมล่ะ? อยากดื่มก็ดื่มสิ ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเจ้าได้อีกแล้ว ก็แค่ฝูฉีที่เป็นก่อกำเนิดขอบเขตสิบขั้นสูงสุด บวกกับอาวุธที่ระดับขั้นอย่างน้อยก็กึ่งเซียน นอกจากนี้ยังได้เปรียบด้านชัยภูมิบนแท่นมังกรเท่านั้น นายท่านใหญ่เจิ้งอย่างเจ้าก็ยังสามารถล้มคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่ง ยักไหล่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไม่ได้นี่ช่างทรมานซะจริง ประเด็นสำคัญคือเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ยังไร้คุณธรรมนัก ทั้งๆ ที่ตนก็บอกไปแล้วว่าแตะเหล้าไม่ได้แม้แต่หยดเดียว เจ้าเฉินผิงอันก็ไม่ดื่มเหล้า ถ้าอย่างนั้นก็เอากลับไปผูกเอวซะสิ เจ้ายังจะเปิดจุกน้ำเต้าทิ้งไว้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามอย่างใคร่รู้ “ฟ่านเอ้อร์แค่เล่าให้ข้าฟังว่าก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงไปเยือนตระกูลฟาง ประโยคที่เขาทิ้งไว้ให้คนหนุ่มผู้นั้น คืออะไร?”

เจิ้งต้าเฟิงโยนเปลือกถั่วลงบนพื้น พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “จะทำให้เจ้าหมอนั่นอยู่ไม่สู้ตาย เหล่าจ้าวเป็นวิชาลับนอกรีตบางอย่าง ถึงเวลานั้นเจ้าเด็กนั่นก็มีสุขให้เสพแล้ว”

จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้หันหน้ามาพูดกับเว่ยเซี่ยนสี่คนที่อยู่ด้านหลังด้วยรอยยิ้ม “ลืมแนะนำไป คนผู้นี้ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง เป็นคนบ้านเดียวกับข้า คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า มีหน้าที่เฝ้าประตู ทว่าตอนนั้นข้าเคยทำการค้าที่ได้เงินไม่กี่อีแปะกับเขา แต่ข้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่มีร่วมกับเขา”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “แค่ขอบเขตเก้าเท่านั้น เป็นที่ขบขันแล้วๆ”

เฉินผิงอันพูดต่อ “กระบี่บินสืออู่ของข้าเล่มนั้น เจ้าของเดิมก็คืออาจารย์ของเขา หลายสิบปีมานี้ดูเหมือนว่าอาจารย์ของเขาจะรับลูกศิษย์แค่สองคน เจิ้งต้าเฟิงขอบเขตเก้า ศิษย์พี่ของเขาเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นไปตลอดทาง แทบไม่ต่างจากเวลาที่พวกเรากินข้าวดื่มน้ำ”

ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกายวาบ เส้นทางนี้เหมาะกับตนยิ่งนัก! กินข้าวดื่มน้ำก็เดินไปบนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบอะไรนั่นได้แล้ว ทุกวันตนยังต้องคัดตัวอักษร หากลองแอบดื่มเหล้าเพิ่มสักสองคำจะไม่ยิ่งร้ายกาจเลยหรือ?!

เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาลูบหน้า พูดอย่างอัดอั้น “ปู่ทวดเจ้าเถอะ…”

คนในม้วนภาพวาดสี่คนที่อยู่ในห้องต่างก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป

หลังจากเทพหยินแซ่จ้าวพูดเหน็บแนมเจิ้งต้าเฟิงไปแล้วก็เอ่ยต่อว่า “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเจิ้งต้าเฟิงชนะฝูฉีที่ได้ครอบครองทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพร อันดับต่อมาก็ต้องดูว่าพวกเราจะพาเจิ้งต้าเฟิงที่รอดชีวิตเดินจากแท่นมังกรนอกเมืองมาจนถึงร้านยาฮุยเฉินของเมืองชั้นในแห่งนี้ได้อย่างไร! อันตรายยิ่งนัก คงต้องดูที่บัญชาจากสวรรค์แล้ว แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป การดำรงอยู่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เป็นทั้งความอันตรายอย่างใหญ่หลวง แต่เกียรติยศหน้าตาของชนชั้นสูงที่สั่งสมมาจากตำแหน่ง ‘ต้าจู้’ หลายท่านตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็ถือว่าเป็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งของพวกเราด้วย ถึงอย่างไรหากมองภายนอก ถ้าเจิ้งต้าเฟิงโชคดีรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรได้ ก็คงไม่มีใครกล้าวาดงูเติมหางช่วยออกหน้าลงมือแทนสกุลเจียงอวิ๋นหลินหรือตระกูลฝู แม้แต่ตระกูลฟ่านก็ยังไม่กล้าทำลายสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง แต่หากคิดจะลงมือในทางลับก็มีแค่ระหว่างทางจากแท่นมังกรมาถึงร้านยาแห่งนี้เท่านั้น…”

เทพหยินแซ่จ้าวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “คนผู้นั้นไม่เต็มใจจะลงมือจริงๆ หรือ?”

ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็คือสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้เขาและเจิ้งต้าเฟิงออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาปักหลักอยู่ที่นครมังกรเฒ่า

เจิ้งต้าเฟิงเบ้ปาก “ก่อนข้าจะลงมือ คนผู้นั้นของตระกูลฟ่านก็พูดจาชัดแล้วว่า อย่างมากสุดคือจะไม่ปล่อยให้ตระกูลฟ่านผลักข้าลงหลุม นอกจากนี้จะทำให้ตระกูลฝูไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ หากข้าเจิ้งต้าเฟิงยินดีรนหาที่ตาย นางก็จะมองดูข้าตายกับตาตัวเอง”

คำพูดของสตรีชุดเขียวผู้นั้น เจิ้งต้าเฟิงนำมาปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ฟ่านจวิ้นเม่าที่ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าในร้านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด สตรีสกุลฟ่านที่โยนกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากทะเลเมฆแล้วทำลายชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของผู้ถวายงานก่อกำเนิดสกุลเจียงสำนักกุยหยกไปได้โดยตรง คำพูดเต็มๆ ที่นางพูดกับเจิ้งต้าเฟิงก็คือ ‘ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีสภาพเละเทะไม่อาจทำการใหญ่ได้สำเร็จอยู่เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดูเจ้าถูกคนปักตรึงตายอีกครั้งก็แล้วกัน’

เจิ้งต้าเฟิงย่อมไม่พูดประโยคดั้งเดิมให้เฉินผิงอันฟัง เป็นอัปมงคลเกินไป แล้วก็น่าอายเกินไป

อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ ตอนนั้นแม้แต่เทพหยินแซ่จ้าวก็ยังไม่ได้ยิน ขอบเขตของฟ่านจวิ้นเม่าไต่ทะยานมาถึงขอบเขตก่อกำเนิดในทุกวันนี้ ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่า เกรงว่านอกจากเจ้าเมืองฝูฉีแล้ว ทุกคนคิดจนหัวแทบแตกก็คงไม่มีทางคิดออกว่าเหตุใดตระกูลฟ่านถึงได้กระทำการในทางที่ตรงข้ามกับผู้อื่น เหตุใดสุดท้ายถึงได้ไม่ยอมพึ่งพาตระกูลฝูแต่โดยดี?

ในตระกูลฟ่าน มีคนพูดจาได้ผลยิ่งกว่าบิดาของฟ่านเอ้อร์ หรือแม้แต่ต่อให้คนทั้งหมดในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านตะเบ็งเสียงรวมกันก็ยังไม่ดังพอเท่าคนผู้นั้น ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่เก็บตัวอย่างสันโดษ แม้จะเป็นก่อกำเนิดก็จริง แต่ไม่ถือเป็นบุรพาจารย์อะไร นางก็คือพี่สาวพ่อเดียวกันแต่ต่างแม่ของฟ่านเอ้อร์ ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวในห้องหอที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่นางกลับไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าครั้งนี้นางแค่จะรอชมเรื่องสนุก ไม่ก้าวเข้ามาในน้ำขุ่นบ่อนี้ ปล่อยให้เจิ้งต้าเฟิงกระโจนเข้าหาความตายด้วยความห้าวเหิมเอง

เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น

จากนั้นเทพหยินแซ่จ้าวก็พูดถึงเซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดของห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงวิชาอภินิหารและสมบัติอาคมคร่าวๆ ของพวกเขา

เมื่อเทียบกับตอนที่ฟ่านเอ้อร์เล่าให้ฟังในรถม้าก็มีคนเพิ่มมาแค่สามคนเท่านั้น อีกทั้งไม่มีก่อกำเนิดคนใดโผล่มากลางคันเพิ่มอีก นี่ถือว่าเป็นข่าวดีที่ไม่เล็กข่าวหนึ่ง

เทพหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แผนที่ชัยภูมิของนครมังกรเฒ่าและแท่นมังกร ข้าสามารถหามาให้ได้คืนนี้”

เฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ

เทพหยินชำเลืองมองเจิ้งต้าเฟิง แต่กลับระเบิดเสียงสบถหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แม่งเอ๊ย หากเปลี่ยนมาเป็นปกป้องเฉินผิงอันก็คงดี! ต่อให้มีศึกใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยตามเช็ดก้นทุกเรื่อง ต่อให้เป็นศึกตายก็ยังทำให้คนสู้ได้อย่างสบายใจ ไหนเลยจะต้องคอยคิดหาวิธีมาปะชุนอุดรูโหว่ ต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอยู่เช่นนี้?!”

เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามองมา “โอ้โห ลืมภาพที่นอนอาบแดดสุขสบายเป็นเพื่อนข้าผู้อาวุโสทุกวันไปแล้วหรือไง?”

เทพหยินแค่นเสียงหึ

เฉินผิงอันถามอีกรอบ “มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบหลบอยู่เบื้องหลังหรือไม่ หากมี มีกี่คน?”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตอบ “แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีขอบเขตหยกดิบเยอะนักหรือ? ไหนเจ้าลองนับนิ้วให้ข้าดูสิ?”

—–